ตอนที่ 31 ความเย้ายวนของฐานทัพทหาร
“ท่านพ่อ ครั้งนี้ผมได้รับภารกิจระดับ B ไปตรวจสอบเหตุผลการพังทะลายของสถานที่รวมตัว และผมได้ค้นพบบางอย่างที่สำคัญด้วย และสิ่งีท่พบก็คือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลฉื่อของเรา…”ฉื่อเจียงก็แสดงรอยยิ้มอันมั่นใจออกมาแล้วพูดว่า “โอกาสที่จะทำให้ตระกูลเรากลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมือง
หวังฉาง!!”
เพร้ง!!
มือขวาของฉื่อฮ่าวเทียนก็สั่นสะท้านซึ่งมันทำให้เขาไม่อาจจะถือถ้วยชาได้อีกต่อไป ต่อมาเขาก็หะนไปมองฉื่อเจียงด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความตกตะลึง
โอกาสอะไรกันที่สามารถทำให้ตระกูลฉื่อกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง?
“เจียงเอ๋อ ลูกอย่าพูดอะไรเลอะเทอะนะ ก่อนอื่นเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้มาสิ”
“ได้ครับ ท่านพ่อ”
ฉื่อเจียงนั้นก็เริ่มเล่าทุกอย่างที่เขารู้ให้พ่อของเขาฟังตั้งแต่แรกสุด
หลังจากฟัง สีหน้าของฉื่อฮ่าวเทียนก็เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ข่าวที่เขาได้ยินอันนี้มันสำคัญสำหรับเขามาก
ถ้าหากมันมีฐานทัพทหารจริงๆอย่างที่ลูกชายของเขาเล่ามาหล่ะก็ นี่ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลฉื่อเลย
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ดีว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเอาไปบอกใคร มิฉะนั้นเขาก็จะไม่สามารถยึดครองคนเดียวได้นั่นเอง
“เอางี้แล้วกัน พ่อจะส่งหัวกะทิของตระกูลเราไป ส่วนลูกก็นำพวกนั้นแทรกซึมเข้าไปและเข้าควบคุมฐานทัพนั่น คนที่อยู่ในฐานทัพนั่นก็คงจะไม่ต่างจากตระกูลอื่นเท่าไหร่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องยั้งมือ”
ฉื่อเจียงนั้นก็มีความสุข มีเพียงพ่อของเขาคนเดียวที่รู้เรื่องหัวกะทิของตระกูล ส่วนเขานั้นรู้ข้อมูลลับเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น
ถ้าหากเขาจำไม่ผิด แม้กระทั่งคนที่อ่อนแอที่สุดของหน่วยหัวกะทิของตระกูลก็ยังเป็นคนเหนือมนุษย์ระดับสามดาวสูงสุด และในนั้นก็มีระดับสีดาวอยู่แยะแถมห้าดาวก็ยังมี!!
“ท่านพ่อ โปรดวางใจ ผมจะยึดครองฐานทัพนั่นให้ได้อย่างแน่นอน!”ฉื่อเจียงนั้นก็มั่นใจมากๆ
ฉื่อฮ่าวเทียนจึงรีบลงมือในทันที เขานั้นได้ใช้ความสามารถของตระกูลฉื่อทำการตบตาคนอื่นๆก่อนจะส่งหน่วยหัวกะทิของตระกูลออกไปนอกเมืองโดยที่ไม่มีใครตรวจพบ
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกค้นพบ พวกเขาจึงเลือกจะไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์แต่กลับขับรถตรงไปที่ฐานทัพนั่นแทน
ในเมืองฐานทัพนั้นมีรถขับเข้าออกทุกวันหลายพันคัน ดังนั้นมันจึงไม่เป็นที่ต้องสงสัย
“นายน้อยครับ ภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเราเลยแต่บางทีมันอาจจะทำให้ฐานทัพนั่นเสียหายได้ ผมหวังว่าท่านจะเข้าใจ”ทหารที่ติดอาวุธครบมือนั้นก็พูดกับฉื่อเจียง
ในสถานการณ์แบบนี้ การต่อสู้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แต่เขานั้นก็กังวลว่านายน้อยอาจจะไม่เข้าใจ ถ้าหากนายน้อยกล่าวโทษพวกเขาหล่ะก็ พวกเขาก็ไม่อาจจะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้
ฉื่อเจียงจึงโบกมือ “ฉันเข้าใจได้ พวกนายแค่ต้องยึดฐานทัพอย่างเดียว เรื่องความเสียหายหน่ะไม่เท่าไหร่หรอกแต่พวกนายต้องปกป้องคลังอาวุธที่อยู่ภายในดีๆด้วยหล่ะ”
ทุกฐานทัพทหารนั้นจะมีคลังอาวุธที่บรรจุอาวุธเป็นจำนวนมาก และนี่ก็เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด
“รับทราบครับ!!”
หลังจากใช้เวลาหนึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง
ทันทีที่รถหยุดลง กลุ่มทหารก็รีบวิ่งออกมาหาที่หลบซ่อนของแต่ละคนก่อนจะหยิบกล้องส่องทางไกลออกมามองดูลาดลาว
“บังเกอร์กับปืนป้องกันเมืองนั่นตรงกับที่นายน้อยกล่าวเลย พวกนายสองคนไปที่นั่นแล้วจัดการคนข้างในบังเกอร์ภายในหนึ่งนาที ส่วนอาวุธทั้งหมดที่ยึดได้ให้โหลดลงรถบรรทุก”
ในครั้งนี้พวกเขาได้เอารถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถขนปืนป้องกันเมืองได้มากกว่าสิบกระบอกเลย
ทหารสองนายก็ค่อยๆเคลื่อนที่เข้าใกล้อย่างช้าๆ ประสาทสัมผัสของพวกเขาในฐานะคนเหนือมนุษย์นั้นอ่อนไหวเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงสามารถใช้เสียงสื่อสารกันในแบบที่แทบจะไม่มีเสียงได้
แต่ในขณะที่พวกเขาเคลื่อนที่อยู่ไม่ห่างจากบังเกอร์ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ทันใดนั้นก็มีกระสุนปืนยิงออกมา
“อะ-อึก พวกเราถูกเจอตัวแล้ว!!”
ทั้งสองคนก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนจะรีบหาที่กำบังพร้อมกับใช้อาวุธปืนของพวกเขาต่อกรกลับซึ่งเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หัวหน้าทีมที่อยู่ด้านนอกก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่ด้วยการที่เขาสวมหน้ากากไว้ จึงไม่มีใครมองเห็น
เมื่อครู่ เขานั้นอยากจโอ้อวดให้นายน้อยได้เห็นแต่ก่อนที่คนของเขาจะได้เข้าใกล้กว่านี้ พวกนั้นกลับถูกพบ ซึ่งมันน่าอับอายมาก
“อีกสองคนไปได้!!”
อีกสองคนก็ออกตัวสนับสนุนแต่พวกเขากลับยังไม่สามรรถยึดบังเกอร์ได้ซึ่งมันทำให้หัวหน้าทีมไม่พอใจมาก
“นี่หรอหัวกะทิของตระกูลฉื่อ?”ฉื่อเจียงก็ขมวดคิ้ว
ในความคิดของเขา เมื่อหน่วยหัวกะทิของตระกูลฉื่อปรากฎตัว คนพวกนี้ก็น่าจะยึดฐานทัพทหารนี้ได้ในไม่ช้า แต่นี่แค่พึ่งเริ่ม กลับโดนขวางไว้แล้ว มันเป็นอะไรที่น่าละอายมาก
พอเห็นว่าอาวุธปืนของตัวเองใช้ไม่ได้ผล สมาชิกหัวกะทิทั้งสี่ของตระกูลฉื่อก็หันมามองหน้ากัน สองคนแรกนั้นจะคอยทำหน้าที่ยิงสนับสนุนส่วนอีกสองคนเป็นฝ่ายเข้าปะทะ
พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นคนเหนือมนุษย์ที่มีร่างกายอันแข็งแกร่งและความว่องไวดุสายฟ้า พวกเขาจึงใช้เวลาแค่ห้าวินาทีในการวิ่งระยะทางหนึ่งร้อยเมตรซึ่งทำให้พวกเขาไปประจันหน้ากับบังเกอร์ในทันที
“ตายซะ!!”ในขณะที่หนึ่งในคนเหนือมนุษย์หยิบเอาลูกระเบิดมือพิเศษออกมาเพื่อจะโยนใส่บังเกอร์ คลื่นความร้อนก็ได้พุ่งใส่หน้าเขา
นี่มันเครื่องพ่นไฟ(Flamethrower)!!
ในเกมส์ บังเกอร์นั้นสามารถสลับการโจมตีหลากหลายรูปแบบขึ้นแอยู่กับศัตรู และในโลกความจริง บังเกอร์นี้ก็บรรจุอาวุธไว้หลากหลายซึ่งรวมไปถึงเครื่องพ่นไฟที่เป็นอาวุธธรรมดาอันนึง
อาวุธปืนนั้นใช้สำหรับศัตรูระยะไกล ส่วนเครื่องพ่นไฟใช้กับศัตรูระยะประชิต
ในทันที ทหารสองนายก็กลายเป็นมนุษย์คบเพลิงแต่ร่างกายของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากจึงไม่ได้ตายในทันที พวกเขาจึงเกลือกลิ้งลงบนพื้นอย่างทรมาน เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของพวกเขานั้นก็ก้องกังวาลไปทั่ว
“ใช้เครื่องยิงจรวดซะ!!”สีหน้าของหัวหน้าทีมก็เปลี่ยนไปในทันทีพร้อมกับที่เขาสั่งการ
หลังจากได้รับการสั่งการ ทหารสองนายด้านหลังของเขาก็หยิบเครื่องยิงจรวดออกมายิงโดยไม่สนใจชีวิตของทหารสองคนข้างหน้าอย่างสมบูรณ์
บู้ม!!
ด้วยเสียงระเบิดดังก้อง จรวดสองลูกก็พุ่งเข้าใส่บังเกอร์ และในทันทีพวกเขาก็มองเห็นรูขนาดใหญ่ปรากฏบนบังเกอร์ซึ่งมันดูเละเทะมาก
พวกเขานั้นไม่เชื่อว่าคนที่อยู่ข้างในจะสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ในสถานการณ์แบบนี้
น่าเศร้าที่พวกเขาดูถูกพลังป้องกันของบังเกอร์เกินไป ตราบใดที่บังเกอร์ไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ทหารข้างในก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บถึงตาย มากสุดก็แค่บาดเจ็บร้ายแรง
ในขณะที่พวกเขาจะก้าวเดินออกไปที่บังเกอร์ที่ถูกทำลาย พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นบังเกอร์ซ่อมแซมตัวเองด้วยความเร็วสูง
“ไอ้แม่เย็…”ฉื่อเจียงก็ก่นด่าออกมา นั่นมันอะไรกัน? ทำไมบังเกอร์ที่กำลังจะถูกทำลายถึงได้ฟื้นฟูตัวเองแบบนั้น?
นี่มันเทคโนโลยีอะไรกัน?
ฉื่อเจียงสาบานเลยว่าเขานั้นไม่เคยได้ยินเมืองฐานทัพใหนที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำแบบนี้ และแม้กระทั่งโลหะเมมโมรี่(Memory Metal)ก็ยังไม่ทรงพลังแบบนี้เลย