ตอนที่ 30 สามหน่อหวาดกลัว
“เจ้านี่มันล้ำสมัยกว่าปืนใหญ่ป้องกันเมืองอีก? แต่ไม่ใช่ว่ามันถูกนำออกมาจากฐานทัพทหารหรอกหรอ? แล้วมันจะล้ำสมัยกว่าปืนใหญ่ป้องกันเมืองได้ไง?”หยานเฟยนั้นก็ไม่เข้าใจเลย ยังไงซะ ปืนใหญ่ป้องกันเมืองนั้นก็ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน และมันก็เหมาะกับการตั้งรับในการต่อสู้มากกว่าซึ่งเจ้านี่สามารถสร้างพลังทำลายล้างสูงออกมาได้โดยใช้พลังงานแค่เพียงเล็กน้อย
หยานเฟยที่ไม่อาจจะทำความเข้าใจได้นั้นก็มึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลมากกว่านี้ก่อนจะส่งมอบให้กับฉื่อเฉา นอกจากนั้นแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะใส่ใจ
แม้เขาจะรู้ว่าที่นี่จะมีฐานทัพทหารอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าคิดอะไรเยอะ เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถไปข้องเกี่ยวได้
ในขณะที่หยานเฟยค่อยๆเข้าใกล้ปืนใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในเนินดินข้างๆปืนใหญ่ พอมองใกล้ๆแล้ว เขาก็มองเห็นปืนยื่นออกมาจากหลุมเล็กๆที่ด้านหน้าเนินนี่!!
เวรเอ้ย นี่มันบังเกอร์หนิ!!
หยานเฟยนั้นไม่เคยเห็นบังเกอร์มาก่อน การต่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์โดยไม่มีความคล่องตัวนี่จะส่งผลให้ต้องประสบกับความตายสถานเดียว และบังเกอร์นั้นก็ไม่เหมาะจะเอาไว้ใช้สู้กับสัตว์กลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม พวกนี้กลับมีประโยชน์ในการต่อสู้กับมนุษย์ซะมากกว่า
“หรือว่าคนพวกนี้รู้ว่าจะมีคนพบสถานที่แห่งนี้เลยจงใจสร้างบังเกอร์ขึ้นที่นี่?”หยานเฟยก็คิดขึ้น
หยานเฟยนั้นเป็นคนที่ระแวงมาก ดังนั้นเขาจึงทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครพบเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขารู้ว่าซูเฉินกำลังซูมมองเขาหล่ะก็ เขาก็คงได้กระอักเลือดแน่
“หืม หมอนี่ดูจะเชี่ยวชาญดีแหะแต่น่าสงสารจริงๆ”ซูเฉินก็พูดแสดงความคิดออกมา
หยานเฟยนั้นเหมาะเหมาะกับการเป็นทหารที่มีความสามารถรอบด้านมากๆแต่น่าเสียดายที่มาเจอกับซูเฉิน
ในขณะที่หยานเฟยกำลังคิดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงปืนพุ่งทะลุต้นไม้ที่เขาซ่อนตัวอยู่
“ไม่ดีแล้ว!”หยานเฟยก็ตกตะลึง เขาจึงรีบหมอบลงกับพื้นทันทีเพื่อหลบกระสุนปืนโดยไม่มามัวเสียเวลาคิดว่าตัวเขาถูกตรวจพบได้ไง
“เป็นไปได้ พวกนั้นเจอฉันได้ไงเนี่ย? หรือว่าพวกนั้นมีเครื่องอินฟาเรตงั้นหรอ?”หยานเฟยก็สงสัย
เขานั้นก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไปมากกว่านี้เพราะนั่นเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย เขานั้นก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีแต่กลับคลานออกไปอย่างเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาคลานออกไปได้สักครู่ เขาก็มองเห็นเท้าหลายครู่ตรงหน้าเขา
เขาจึงเงยหน้ามองและได้เห็นทหารเร้ดอะเริ้ดจ้องมองเขาอย่างเย็นชา
เขาก็ยิ้มอย่างโง่ “หวัดดี”
เปรี้ยง!!
หนึ่งในทหารเร้ดอะเริ้ดก็ใช้ท้ายปืนฟาดใส่หัวเขาจนหมดสติแล้วพาตัวเขาออกไป
ส่วนชะตากรรมของคนอีกสามคนนั้นก็เหมือนกัน คนเหนือมนุษย์ระดับสามดาวนั้นถือได้ว่าเป็นมาตราฐานสำหรับทหารเร้ดอะเริ้ด ถ้าหากพลังงานของพวกเขาพอ ให้อัพเกรดเป็นทหารระดับสี่ดาวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ทั้งสามคนนั้นก็ถูกมัดแล้วนำตัวไปยังที่ที่เดียวกับกลุ่มที่โดนจับก่อนหน้านี้ และเมื่อพวกเขาได้ยินจากคนกลุ่มก่อนว่าที่นี่เป็นฐานทัพที่สมบูรณ์และมีกองทหารอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ถึงกับมึนไปเลย
พอคิดได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนเหนือมนุษย์ ซูเฉินก็ตัดสินใจทรมาณพวกนั้นทุกวัน เพราะหากไม่ทำให้เชื่อง พวกนั้นก็คงไม่ยอมทำอะไรแม้ว่าพวกนั้นจะแข็งแกร่งก็ตาม
โชคดีที่ทั้งสามนั้นเต็มใจไปร่วมงานกับทีมขุดเหมืองซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการเพิ่มพลังงานให้กับซูเฉินอยู่พอสมควร
ในระหว่างทางไปขุดเหมือง ทั้งสามคนนั้นก็หวาดกลัวมากเมื่อได้เห็นอาคารสูงใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาพึ่งจะเตรียมตัวแอบลอบเข้ามาในฐานที่คุ้มกันแน่นหนาอย่างนี้อยู่เลย นี่มันแส่หาที่ตายชัดๆเลยไม่ใช่หรือไง?
หลังจากรออยู่หนึ่งชั่วโมง ฉื่อเฉานั้นก็ไม่เห็นวี่แววของทั้งสามคนเลย เขาขมวดคิ้วและตระหนักได้ว่านี่มันผิดปกติแล้ว
ทั้งสามคนนั้นไม่เพียงจะแข็งแกร่งแต่ยังเชี่ยวชาญในการสะกดรอยและซ่อนเร้นเป็นอย่างมาก ในเมืองฐานทัพ มีไม่กี่คนที่จะมีความสามารถเท่าเทียมกับพวกเขา
นี่ก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วและพวกนั้นยังไม่กลับมาสักที
ด้วยเหตุนี้ ฉื่อเฉาจึงตัดสินใจเดินทางไปกลับขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก่อนจะออกบินกลับไปที่เมืองฐานทัพอย่างไม่ลังเล
“ฮิๆ หมอนี่สมกับเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตเสียจริง โหดเหี้ยมถึงขั้นทิ้งคนของตัวเองโดยไม่คิดจะช่วยเลย”ซูเฉินก็ยิ้มอย่างดูถูก
ซูเฉินนั้นก็พอจะเข้าใจความคิดของคนในโลกนี้ ทุกคนต่างก็สนใจแค่ตัวเองและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด
ในโลกโลกาวินาสนี้ การเป็นคนดีมีแต่จะทำให้พบกับจุดจบอันน่าเศร้า มีเพียงพวกเห็นแก่ตัวเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้
จากนั้นแล้ว เสียงของระบบก็ดังขึ้น “ยินดีด้วย พลังงานของโฮสต์เพิ่มขึ้นถึงระดับที่ตั้งไว้ ทำการปลดล็อคผู้บัญชาการระดับ 4 โฮสต์จะได้รับโอกาสในการสุ่มยูนิตต่อสู้ของเร้ดอะเริ้ทวันละหนึ่งครั้ง”
ดวงตาของซูเฉินก็เป็นประกาย ในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้บัญชาการะดับ 4 สักทีแถมเขายังสามารถสุ่มยูนิตต่อสู้ออกมาได้ด้วย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโอกาสอันดี
ดังนั้นซูเฉินจึงได้ใช้โอกาสสุ่มของวันนี้เลย วินาทีต่อมา ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“ทำความเคารพ ผู้บัญชาการครับ!!”
ซูเฉินก็นิ่งเงียบและจ้องมองทหารที่แต่งตัวเหมือนกับชุดอวกาศ เขานั้นอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรเลย
เขานั้นไม่รู้เลยว่ายูนิตต่อสู้นี้มันคือตัวใหน นี่มันยูนิตใหนฟะเนี่ย?
โชคดีที่ ระบบนั้นได้บอกเขาว่าเจ้ายูนิตต่อสู้นี้เรียกว่า แมกเนติคบลาสทูปเปอร์(Magnetic Blast Trooper)
ซูเฉินก็ดีใจ เจ้าแมกเนติคบลาสทูปเปอร์เป็นสิ่งที่เขารอคอยอยู่ มันแตกต่างจากในเกมส์อยู่ ซึ่งเขาเกือบจะจำมันไม่ได้เลย
พลังของแมกเนติคบลาสทูปเปอร์นั้นก็คือความสามารถในการปล่อยคลื่อนสนามแม่เหล็กที่สามารถบดขยี้ศัตรูได้ ด้วยความสามารถผู้บัญชาการของเขา เขาจึงสามารถยืมความสามารถของแมกเนติคบลาสทูปเปอร์มาได้ เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก
“ไม่เลว จากนี้ไป นายมาเป็นคนคุ้มกันฉันแล้วกัน”
“ครับผู้บัญชาการ”
แมกเนติคบลาสทูปเปอร์เป็นสิ่งที่ประหลาดใจเขามากๆ หากไม่มีโอกาสสุ่มยูนิต เขาก็คงจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะสร้างแมกเนติคบลาสทูปเปอร์ขึ้นมาได้ ดังนั้นการมีมันก่อนได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก
แมกเนติคบลาสทูปเปอร์นั้นทำตัวราวกับบอดี้การ์ดที่ติดตามซูเฉินอยู่ด้านหลังทุกฝีก้าว เขานั้นรู้สึกพึงพอใจมากโดยเฉพาะแมกเนติคบลาสทูปเปอร์ดูโดดเด่นและเท่ห์มากเนื่องจากชุดที่ดูเหมือนชุดอวกาศนั่นเอง
ซูเฉินเดินทางมายังพื้นที่ว่างเปล่า “สร้างท่าอากาศยานกับโรงรถถัง”
“ท่าอากาศยานใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ส่วนโรงรถถังใช้เวลาสี่ชั่วโมง ผู้บัญชาการ กรุณารอสักครู่”
อีกแค่เพียงวันเดียว เขาก็จะได้เห็นสิ่งก่อสร้างทั้งสองอันแล้ว
จากนั้นแล้ว ทันใดนั้นซูเฉินก็ตระหนักได้ว่าแมกเนติคบลาสทูปเปอร์กับเตาปฏิกรณ์แม่เหล็ก(Magnetic Reactor)นั้นมีความเข้ากันได้ เนื่องจากเขายังจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้า เขาจึงตัดสินใจเลือกเตาปฏิกรณ์แม่เหล็ก(Magnetic Reactor)มาเป็นโรงไฟฟ้าที่เขาจะสร้างต่อ
สิ่งก่อสร้างทั้งสามนั้นใช้พลังงานของซูเฉินไปมากแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรนัก เมื่อกองทัพจากเมืองฐานทัพมาถึง รถถังของเขาก็คงจะพร้อมแล้ว
อีกด้าน ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ของฉื่อเฉานั้นก็เดินทางมาถึงเมืองฐานทัพหลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง
เขานั้นก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไปโดยมุ่งหน้าตรงไปที่ตระกูลฉื่อเพื่อไปพบพ่อของเขา ฉื่อฮ่าวเทียน ประมุขตระกูลฉื่อคนปัจจุบัน
“เจียงเอ๋อ ลูกรีบกลับมาทำไมกัน? มีเรื่องอยากจะบอกพ่องั้นหรอ?”ฉื่อฮ่าวเที่ยนก็จ้องมองลูกชายของเขาฉื่อเจียง
เขานั้นรู้สึกพอใจที่ลูกชายของเขารู้จักปลอมตัวเวลาออกไปข้างนอก คงไม่มีใครสงสัยหรอกว่าลูกชายที่ไร้ประโยชน์ของเขานั้นคือคนที่เขาโปรดปรานมากที่สุด