1324 - ยังคงกลับคืนสู่เต๋า
1324 - ยังคงกลับคืนสู่เต๋า
เย่ฟ่านเปิดตาที่สามของเขา เห็นได้ชัดเจนว่ามีบางอย่างอยู่ในโลงศพ ลวดลายเต๋าบางอันเคลื่อนไหว สิ่งที่ถูกเก็บไว้ในโลงศพไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์แต่กลับเป็นกล่องหยกชิ้นหนึ่ง
เขาตกใจมาก ต้นกำเนิดของฉือซ่งจื้อนั้นยิ่งใหญ่เกินไป นี่คือผู้ที่ได้รับการเคารพว่าเป็นเซียนอมตะที่แท้จริง ต่อให้นี่จะไม่ใช่ร่างกายของเขา แต่หากมันมีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้เพียงเล็กน้อยมันจะต้องเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดอย่างแน่นอน?
“ฉือซ่งจื้อขจัดสิ่งเก่าดูดซับสิ่งใหม่ ยึดมั่นในแนวทางเดิมเพื่อฟื้นฟูความจริง ข้าเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในครั้งเดียว”
นี่คือข้อความที่ถูกบันทึกไว้ด้านหน้ากล่องหยก
“เจ้าของเมล็ดที่เป็นต้นกำเนิดของเถาวัลย์นี้คือเสินหนง กล่องหยกนี้ก็มีลักษณะเดียวกันกับกล่องหยกของเสินหนง พวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นยอดคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคโบราณ!
เสินหนงคือใคร?
นี่คือหนึ่งในสามเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนร่วมกับ เทพบิดรฝูซี เทพมารดรหนี่วา การที่บุคคลหนึ่งจะได้รับการยกย่องถึงขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าตัวตนของเขาจะต้องน่าทึ่งมากเพียงใด
ความสำเร็จของเสินหนงยังเหนือล้ำกว่าจักรพรรดิเหลืองซึ่งเป็นบิดาแห่งชาวจีนทั้งปวงอีกด้วย
ฉือซ่งจื้อก็ถือเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน หากกล่าวกันตามตรงมรดกที่พวกเขาทั้งสองทิ้งไว้มีแต่จะยิ่งใหญ่กว่ามรดกของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หลายร้อยหลายพันเท่า
ไม่มีใครบอกได้อย่างแท้จริงว่าประเทศจีนดำรงเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่เมื่อใด ทุกคนในโลกล้วนคาดเดาว่าสมัยจักพรรดิเหลืองนั้นน่าจะอยู่ในช่วงประมาณสามพันปีก่อนคริสตกาล
ซึ่งเสินหนงยังมีชีวิตอยู่ในยุคก่อนหน้านั้นนับพันปีด้วยซ้ำ การค้นพบมรดกอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เย่ฟ่านจะไม่เกิดความรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร!
เสี่ยวซงเองก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเย่ฟ่านปัดเป่าเปลวไฟที่อยู่รอบๆ ออกไปมันก็สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเถาวัลย์ที่พันรอบโลงศพ พวกมันดูเหมือนจะเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านทำลายเถาวัลย์ไฟไม่ได้ นี่ไม่เพียงเป็นการทำลายสมบัติอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นการดูหมิ่นต่อฉือซ่งจื้ออีกด้วย
เย่ฟ่านไม่กล้าที่จะยั่วยุสิ่งมีชีวิตระดับนั้น ต้องเข้าใจว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เกือบทุกคนที่เขารู้จัก ยังไปไม่ถึงขอบเขตเซียนอมตะที่แท้จริงด้วยซ้ำ แต่ฉือซ่งจื้อและเสิ่นหนงเป็นเซียนอมตะที่แท้จริงอย่างแน่นอน
เย่ฟ่านเคยได้ยินคำเล่าขานว่าเซียนอมตะที่แท้จริงนั้นจะมีชีวิตยืนยาวอย่างไม่รู้จบ หากฝ่ายตรงข้ามยังมีชีวิตอยู่และรู้ว่าเขาทำสิ่งนี้ มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
เย่ฟ่านไม่ต้องการที่จะทำลายโลงศพเขา แค่ต้องการนำกล่องหยกออกมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะออกแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถงัดฝาโลงศพขึ้นมาได้
เย่ฟ่านพยายามหลายครั้ง แต่มันยากที่จะเปิดออกด้วยพลังศักดิ์ศิทธิ์ของเขา เว้นแต่จะใช้หมัดหกสังสารวัฏเพื่อทำลายเถาวัลย์ที่อยู่รอบๆ ออกไปก่อน
นี่คือสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ดูดกลืนเลือดเนื้อของเซียนอมตะเป็นอาหาร ความแข็งแกร่งทางร่างกายของมันนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายได้ด้วยพละกำลังเพียงอย่างเดียว
ร่างกายของเสี่ยวซงถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง มันดึงมุมเสื้อของเย่ฟ่านเบาๆ ดวงตากลมโตเป็นประกายและชี้ไปที่รากของแผ่นทองแดงซึ่งดูเหมือนจะฝังลงไปใต้ดิน
เจ้าตัวเล็กมีความละเอียดรอบคอบอย่างมาก มันขุดหินออกมาและทำให้รากที่ถูกฝังอยู่ของแผ่นทองแดงปรากฏออกมา และที่นั่นยังมีอักษรตัวเล็กๆ มากมายขีดเขียนไว้
เย่ฟ่านดีใจเป็นอย่างมาก ใต้แผ่นทองแดงนั้นบันทึกวิธีการเปิดโลงศพไว้ มันบรรยายไว้อย่างชัดเจนว่าเถาวัลย์นี้หากฝ่าฝืนทำลายออกไปตรงๆ ต่อให้เป็นเสมือนจักรพรรดิก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้
นี่คือสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง มีเพียงต้องใช้เลือดของราชาผู้ยิ่งใหญ่เพื่อบูชายัญมันเท่านั้น เถาวัลย์จึงจะคลายออกด้วยตัวเอง
หลังจากที่เย่ฟ่านมองดูอย่างระวัง เขาไม่สามารถหาเลือดของราชาผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ได้ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเขาเกินกว่าขอบเขตของราชาผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้เลือดของตัวเองทดลองดู
เย่ฟ่านกรีดนิ้วของเขา เพราะร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณมีเลือดสีทองที่มีพลังแห่งเต๋ามากกว่าราชาผู้ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
เลือดสีทองหยดลงบนเถาวัลย์ ใบไม้สีแดงของมันกลายเป็นหมอกควัน จากนั้นเถาวัลย์ที่โอบล้อมโลงศพอยู่ก็ค่อยๆถอยกลับด้วยความอ่อนแอ
เย่ฟ่านตื่นเต้นมาก หากไม่มีเสี่ยวซงอยู่ที่นี่ด้วยเขาคงลงมือทำลายเถาวัลย์อย่างหักโหม และอาจทำให้สิ่งมีชีวิตวิญญาณนี้เกิดความคุ้มคลั่งจนต่อสู้กับเขาไปแล้ว
ในกล่องหยกที่อยู่ภายในโลงศพนั้นคือความลับแห่งความเป็นอมตะหรือไม่?
เย่ฟ่านค่อยๆดันฝาโลงออก จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมภายใน เสี่ยวซงเองก็กระโดดไปข้างหน้าเพื่อดูเช่นกัน
เย่ฟ่านถอนหายใจ เมื่อเปิดโลงศพขึ้นมาเขาก็เห็นขี้เถ้าจำนวนมากอยู่ภายใน เห็นได้ชัดว่าฉือซ่งจื้อกลับคืนสู่เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงกล่องหยกนี้เท่านั้น
“แม้แต่เซียนอมตะก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปหรือ?”
เย่ฟ่านถามกลับตัวเอง ในทุ่งดวงดาวเป่ยโต้วนั้นผู้คนเชื่อกันว่าผู้อมตะที่แท้จริงสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายล้านปี หากไม่ถูกสังหารจากผู้อมตะที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาล
อย่างไรก็ตามฉือซ่งจื้อได้กลับคืนสู่เต๋าไปแล้ว หรือว่าคนผู้นี้ยังไม่สามารถไปถึงขอบเขตของเซียนอมตะที่แท้จริงได้!
“เขาไม่ใช่ผู้อมตะ แต่เป็นเพียงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น” เย่ฟ่านขมวดคิ้ว
จากมุมมองนี้แล้ว ความลึกลับในเรื่องของความเป็นอมตะนั้นดูเหมือนจะเลื่อนลอยมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่ามีผู้อมตะที่แท้จริง
แม้กระทั่งจักรพรรดิอมตะบิดาของเทียนหวงจื่อซึ่งถูกเล่าขานว่ากลายเป็นอมตะไปแล้วสุดท้ายก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายไม่ใช่หรือ?
เย่ฟ่านถอนหายใจ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ยังต้องตาย ดูเหมือนความหวังในการเป็นอมตะจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ไม่รู้ว่าในประวัติศาสตร์นั้นมีผู้คนมากน้อยเท่าใดที่ต้องตายจากความปรารถนานี้
ฉือซ่งจื้อเป็นเพียงหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จากยุคโบราณ เขาไม่ได้เป็นเซียนอมตะที่แท้จริง แต่ผู้คนรุ่นหลังยังเล่าขานเรื่องราวของเขาให้ดูเกินจริงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามคนผู้นี้ยังคงเป็นหนึ่งในผู้บ่มเพราะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างแน่นอน
ถัดจากขี้เถ้าซึ่งมาจากร่างกายของฉือซ่งจื้อคือโกร่งกระบี่เจ็ดชิ้น พวกมันน่าจะเป็นซากของกระบี่เจ็ดเล่ม
แต่น่าเสียดายที่กระบี่ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอาวุธครึ่งก้าวเต๋าสุดขั้วก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วเช่นกัน
เย่ฟ่านหยิบกล่องหยกออกมา นี่คือมรดกของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะกลับคืนสู่เต๋าไปแล้ว แต่เย่ฟ่านเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะปล่อยของล้ำค่าชิ้นนี้ไป
เขาแสดงความเคารพต่อโลงศพ และดันฝาโลงเข้าสูตำแหน่งเดิม จากนั้นเถาวัลย์โบราณก็เลื่อนขึ้นมาเพื่อปิดโลงศพอีกครั้ง
“นักโบราณคดีที่ถูกเรียกตัวเข้ามาไม่ถึงสถานที่แห่งนี้ ด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงที่ปิดกั้นห้องอยู่ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะอาณาจักรตำหนักเต๋าก็เข้ามาข้างในไม่ได้”
วัตถุทั้งสองอย่างนี้มีพลังเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะสัมผัส ดังนั้นเย่ฟ่านจึงไม่ต้องการให้ใครเข้ามาที่นี่อีก
เย่ฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ใช้ความแข็งแกร่งทางของตัวเองผลักดันโลงศพเข้าไปในสวนลึกของห้องโถงซึ่งเป็นบริเวณที่เปลวไฟโอบล้อมอย่างหนาแน่นมากที่สุด
หลังจากที่ออกมาจากห้องเขาก็กระแทกฝ่ามือเข้าไปภายในเพื่อปิดกั้นห้องโถงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปข้างในอีก
เย่ฟ่านเดินไปรอบๆ พระราชวังใต้ดินอีกครั้ง เขาทำลายทุกอย่างที่อาจจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ จากนั้นเย่ฟ่านก็กลับขึ้นไปด้านบน
เนื่องจากไม่มีอันตรายใต้ดินแล้ว นักโบราณคดีจึงสามารถลงไปขุดค้นในถ้ำได้อย่างอิสระ สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่อยู่ภายใน หรือค่ายกลโบราณที่พยายามขับไล่ผู้คนออกมาข้างนอกล้วนถูกทำลายจนสิ้นซาก
แผ่นยกที่ถูกทิ้งไว้ในสุสาน เสียงระฆัง หินแกะสลัก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นมรดกที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อกลุ่มนักโบราณคดีได้เห็นสมบัติเหล่านี้พวกเขาก็เกิดความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
……