17 โอกาสทอง
นายใหญ่แห่งตลาดค้าทาสหัวเสียพอสมควรนอกจากเขาจะไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว เขายังต้องมาเสียเปรียบให้กับเจ้าเด็กทาสคนนี้อีก วอลล็อคเลือกที่จะไม่ซักไซ้อะไรกับเกรเทลต่อ ลากขายาวเดินกลับมาที่โต๊ะนั่งเล่นแล้วคว้าเอาเอกสารงานต่าง ๆ ที่วางไว้เตรียมออกไปคุมงานในค่าย
เกรเทลเอียงคอยืนงงกับทีท่าของเจ้านายผมเขียวเพราะเขาเงียบไปหลังจากที่เธอกล่าวแบบนั้น คนตัวเล็กไม่เข้าใจความคิดของเขานัก อยากจะถามก็ถามย้ำอยู่ได้ แต่พอตัวเองจะไปก็ไปแบบเงียบ ๆ จนเธอเองยังตามไม่ทัน อย่างไรก็ตามเธอละความสนใจจากเขาแล้วหันไปสนใจงานของตนเองในวันนี้ แม้ว่าเขาจะมีท่าทางแปลก ๆ ชวนสงสัยแต่มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหางานของเธอให้เสร็จทันเวลา
เด็กสาวเริ่มชินเข้ากับค่ายแห่งนี้ได้ทีละนิดทีละน้อยจนเป็นที่รู้จักของคนทั้งตลาดค้าทาสโมเบียส เนื่องจากความน่ารักถ่อมตนและใจดีเอื้อเฟื้อแล้ว เธอมักจะเข้าไปช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกป้าแม่บ้านทั้งหลายจนกลายเป็นขวัญใจของวัยผู้สูงอายุ แค่เธอเดินผ่านก็มีแต่คนเรียกคนทักไปหมดในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน
ช่วงเย็นพอเธอไปช่วยงานครัว พวกป้ากันนาร์ก็ชวนเธอคุยสารพัดไปเรื่อย เด็กสาวจึงสบโอกาสหลอกถามข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอกดูเผื่อว่า โดยเธอจะใช้ข้ออ้างว่าตนเองอยู่แต่ที่นี่ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้างแล้ว
“ป้าข้าถามอะไรอย่างหน่อยสิ ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงกันบ้างแล้ว”
หญิงวัยกลางคนหันหน้ามามองเด็กหนุ่มหน้าหวาน ป้ากันนาร์ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะจากที่นางรู้จักเด็กนี่มาก็จริงตามที่เกรเทลบอก เด็กหนุ่มอาศัยอยู่แต่ในค่ายจะไปรับรู้ข่าวสารด้านนอกได้ไง
“เจ้าอยากรู้อะไรก่อนดีมันก็มีหลายเรื่องเลย อืม…งั้นเรื่องนี้แล้วกัน”
ป้ากันนาร์ทำหน้านึกอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นตัดสินใจมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกวักมือเรียกให้เธอเขยิบไปพร้อมให้เธอเอียงหูเข้าไปใกล้ ๆ นางจงใจลดระดับเสียงตนเองลงมาแล้วกระซิบพูดเสียงเบา
“ตอนนี้ข้างนอกกำลังวุ่นวายเลยล่ะเกรเทล เห็นว่าจะมีพวกกบฏออกมาต่อต้านกษัตริย์องค์ปัจจุบัน”
เด็กหนุ่มย่นหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูงมองหน้าป้าสงสัยนักว่าเกิดจากเหตุอะไรขึ้นกันแน่ นี่เธอดันหลงมาอยู่ยุคสมัยสงครามกลางเมืองหรืออย่างไร
“พวกทหารที่ชอบมาเที่ยวบาร์เหล้ามันพูดกันสนั่น ว่าขุนนางฝ่ายซ้ายไม่ถูกกับพระองค์จนอยากขึ้นมามีบทบาทแทน”
ป้ากันนาร์พูดอย่างออกรสชาติ ตาก็ยังสอดส่องมองเลิ่กลั่กซ้ายขวาตลอดเวลากลัวจะมีคนมาได้ยินเข้า มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกคนราชสำนักอย่างขุนนางน้อยใหญ่เริ่มสั่นคลอนระแวงกันเอง เหมือนมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังรอวันซัดเข้าฝั่งอย่างรุนแรง
“ข้าว่านะถ้ามันเกิดขึ้นจริงคงเป็นหายนะชัด ๆ เกรเทลเอย”
“เพราะอะไรเหรอป้า?”
เด็กหนุ่มร่างเล็กขยับตัวเข้าไปใกล้ป้ามากขึ้น พูดกระซิบงุ้งงิ้งอยู่สองคน จนบาสเตียนได้ยินจึงหันหลังมามอง แต่ยังไม่เดินมาจับแยกเพราะอยากดูไปเรื่อย ๆ ว่าสองคนนี้จะพูดคุยไปสิ้นสุดกันตรงไหน
“เพราะพระองค์ก็มีพวกหนุนหลังเยอะพอ ๆ กับขุนนางฝ่ายซ้าย ถ้ามีการโค่นล้มอำนาจคนที่โดนหางเลขไปด้วยคือประชาชน”
“…”
“บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ สินค้าและอาหารอาจขาดแคลนส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจากสงครามกลางเมืองที่ไม่มีใครยอมใคร”
สถานการณ์ยังต้องรอดูต่อไป พวกกบฏกำลังจะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในไม่ช้าจะมีคนโดนลูกหลงจากเหตุการณ์ครั้งนี้จำนวนมากแน่ ถ้าไม่มีคนมาจัดการโดยด่วนเราคงได้เห็นเหตุการณ์นองเลือดกันทั้งประเทศ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างใส่ความกันไปมาจับมือใครดมไม่ได้แบบนี้
หัวทุยเล็กพยักหน้าหัวสั่นพอเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้วแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้เรื่องราวความเป็นอยู่โลกด้านนอกเท่าไร เอาไว้เธอแอบไปหลอกตามจากเพื่อน ๆ ในค่ายแทนก็แล้วกัน
“นี่พวกเจ้าสองคนจะยืนคุยกันอีกนานไหม อาหารไม่ได้เสร็จได้เองนะเว้ย”
เสียงทุ้มใหญ่ของบาสเตียนกล่าวตักเตือนเสียงดัง จนร่างเล็กและร่างท้วมอย่างป้ากันนาร์สะดุ้งสุดตัวเพราะรู้ตัวว่าทำผิดกฎมัวแต่คุยไม่ทำงาน ทั้งสองต่างหันหน้ามาสับผักและเนื้อสัตว์ต่อทันที
เกรเทลเดินเปิดประตูบ้านพักเข้ามาด้านใน หางตาเห็นร่างสูงของอารอล์ฟกำลังตบหมอนตนเองให้เข้าที่เพื่อเข้านอน ช่วงหลายวันมานี้เธอเจอหน้ารูมเมตแค่ตอนที่เธอแจกอาหารมื้อเช้าเย็นกับอีกเวลาคือก่อนเข้านอนไม่กี่นาที เนื่องจากเธอต้องช่วยทำความสะอาดครัวให้เสร็จก่อนกลับบ้านพัก กว่าจะมาถึงเขาก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว
“ไงเจ้าหนูงานช่วงนี้หนักไหม? เฮ้อ…ข้ากับเจ้าไม่ค่อยมีเวลาคุยกันเลย”
เขาอุตส่าห์ได้รูมเมตมานอนเป็นเพื่อนในบ้านพกทั้งที แต่ต่างคนต่างดันไม่มีเวลาแม้กระทั่งคุยกันบ่อย ๆ ขนาดเขากับไรเดอร์ไม่ได้พักบ้านเดียวกัน ยังมีเวลาเจอหน้าคุยกันบ่อยกว่าเกรเทลอีกหลายเท่า
“ข้าว่าไม่เยอะเท่าวันแรกที่มาทำที่นี่หรอกอารอล์ฟ อย่างน้อยก็สองถึงสามงานนิด ๆ ไม่ยากเกิน”
ชายหนุ่มยิ้มพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าตนเองจะถามอะไรสักอย่างจากเกรเทล แต่พอเห็นเจ้าตัวเดินเข้ามาในบ้านพักปุ๊บพลันสิ่งที่อยู่ในหัวก็ปลิวหายไปเสียแล้ว คงต้องไปนั่งนึกใหม่พรุ่งนี้แล้วกันว่าจะถามอะไรเพราะตอนนี้เขาง่วงนอนมาก
“ดีแล้ว ถ้างั้นข้าขอปิดไฟนอนก่อนนะเกรเทล มีอะไรก็ค่อยเรียกข้าแล้วกันนะ”
มือหนาเอื้อมไปปิดไฟที่หัวเตียงตนเอง จัดการดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างแล้วค่อย ๆ เอนตัวล้มลงนอนเหยียดยาวในท่าที่สบายผ่อนคลาย
“อืม ฝันดีอารอล์ฟ”
“ฝันดีเช่นกัน”
เดือนกว่าแล้วที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ จะว่าเวลาเดินไปเร็วก็คงจะจริง เธอไม่คิดว่าตนเองจะปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าสถานการณ์เหมือนถูกบีบบังคับไปบ้างก็ตาม เวลาเธอเลิกงานหรือว่างจากทำความสะอาดเกรเทลมักออกมาเดินเล่นสำรวจในค่ายเป็นประจำ
ตารางงานของเธอค่อนข้างจะมีแบบแผนเป๊ะ ๆ ไม่มีอย่างอื่นเข้ามาแทรก นอกจากว่าเธอเป็นคนเสนอตัวออกไปช่วยงานคนอื่นนั่นแหละ แต่พอเสนอตัวจะไปช่วยงานอื่นนอกจากงานที่วอลล็อคสั่งทีไร เจ้านายเธอก็แทบจะแยกเขี้ยวกินหัวเธอทันที
“ข้าสั่งเท่าไหนเจ้าก็ทำเท่าที่ข้าสั่ง อย่าออกนอกลู่นอกทาง อย่าเสนอตัวโดยไม่ผ่านปากข้า”
ก็ตามที่เขาพูดใส่หน้าเธอเมื่อสองสามวันก่อนเลย นอกจากนี้เขายังพูดเสริมเล่นเอาเธอเสียวสันหลังพรึบ
“ก็ลองขัดคำสั่งข้าดูแล้วกันเกรเทล มาดูกันว่าสถานะเจ้ากับข้าใครจะทำอะไรได้มากกว่ากัน”
แล้วเขาก็แสยะยิ้มมุมปากทำสีหน้าเจ้าเล่ห์จนเธอไม่กล้าเสนอตัวช่วยใครอีกเลย แต่บางวันพวกป้า ๆ ก็ชอบมาขอให้เธอช่วยทำนั้นทำนี้ให้ตลอด แล้วเป็นไงล่ะเธอก็ต้องคอยหลบสายตาสับปะรดของอีกตาหัวเขียวไง มีอย่างที่ไหนมาขู่คนอายุน้อยกว่าได้ลงคอคิดว่าตัวเองเจ๋งนักหรือไง
…โคตรใจร้าย!…
ซึ่งเธอได้แต่สบถบ่นก่นด่าเขาภายในใจอยู่ดี เด็กสาวเดินหอบข้าวของเพื่อมาทำความสะอาดบ้านพักเจ้านายเหมือนตามปกติเพิ่มเติมเธอยังมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเอามาให้เขาด้วย แต่พอก้าวขาเข้ามาภายในบ้านกลับพบว่าบ้านเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่
“นายขอรับ”
เกรเทลเดินไปตามทางเดินตะโกนเรียกหาเจ้านายผมสีเขียวสุดจี๊ด เธอเดินตะโกนเรียกวนไปวนมาในบ้านแต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงขานตอบกลับมา โดยปกติของทุกวันเวลาเธอมาทำความสะอาดบ้านพักของเขา วอลล็อคมักจะอยู่รอเธอมาก่อนถึงจะออกไปคุมงานข้านนอกเสมอ
“นายอยู่ไหนขอรับ”
ทว่าสำหรับวันนี้ดูเหมือนเจ้านายใหญ่คนดีของเธอจะไม่อยู่บ้าน เกรเทลลองเดินขึ้นไปเช็กชั้นบนก็แล้ว หลังบ้านก็แล้ว ระเบียบหน้าต่างก็แล้ว หรือแม้กระทั่งในห้องน้ำ ก็ไม่มีแม้แต่เงา
“เกรเทลนั้นเจ้าใช่หรือเปล่า?”
เสียงเรียกชื่อเธอดังมาจากทางหน้าบ้านพักทำให้เธอต้องเดินออกไปดูว่าใครเรียก เสียงคุ้นหูนะแต่นึกไม่ออกว่าใคร ยังไงเสียงนี้ก็ไม่ใช่อีตาวอลล็อคหรอก
“เฟียซเหรอ?”
ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่มร่างหนาอย่างเฟียซ จากวันแรกที่เจอกันเธอก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย คราแรกคิดว่าจะได้เจอบ่อย ๆ อย่างช่วงเวลาพักกินข้าว แต่ผลลัพธ์คือเธอไม่เห็นแม้แต่เงาเขาเลยสักครั้งที่โรงครัว เกรเทลเดินออกมาทางประตูแล้วยืนบนระเบียบหน้าบ้านห่างจากรุ่นพี่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ในมุมมองของเฟียซตัวเขางานยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปเจอหน้าใครโดยเฉพาะวันที่เจ้านายของเขาไม่อยู่ในค่าย เขาจะกลายเป็นคนคุมจัดการทุกอย่างด้วยตนเองทันที
การเป็นคนสนิทมือขวาหรือเลขามันก็จะงานหนักกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาสองเท่า ถึงนายเคยสั่งให้เขาคอยจับตาดูเด็กใหม่อย่างเกรเทลก็ตาม พอมาลองนับสถิติดูแล้วเขาคงเพิ่งจะได้เริ่มจับดูมันก็ครั้งนี้นี่แหละ
“ใช่ข้าเองเกรเทล”
สำหรับเกรเทลไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนเธอก็ยังเห็นว่าเฟียซเป็นผู้ชายที่เนื้อตัวสะอาดจริง ๆ ต่างจากไรเดอร์ที่มักจะไปคลุกกับอะไรบางอย่างมาทำให้ตัวมอมแมมเสมอ ไหนจะรอยยิ้มที่อบอุ่นดูเป็นมิตรของเฟียซให้ฟีลอปป้าเกาหลีใจดีดูแลน้องสาวมาก ซึ่งต่างจากพี่ฮันเซลรายนั้นหล่อแบบคมเข้ม ดุดันเหมือนป๊าไม่มีผิด นอกจากเข้มงวดแล้วยังปากจัดอีกด้วยผู้ชายอะไรก็ไม่รู้
“ท่านมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยเหรือเปล่าขอรับ”
เกรเทลเห็นเม็ดเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้าเฟียซเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะมายืนรอตรงนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว อากาศวันนี้แดดแรงแต่เช้าถ้าเขาไม่ได้วิ่งมาก็คงยืนตากแดดนาน
“ข้าแค่จะมาบอกว่านายจะไม่อยู่คุมงานที่นี่ 2-3 วัน ท่านเลยฝากมาให้ข้าแวะมาดูเจ้าเรื่อย ๆ แทน”
คนผมสั้นที่ยืนอยู่บนระเบียบหน้าบ้านทำปากเป็นรูปตัวโอพร้อมพยักหน้าเข้าใจ ถึงว่าตั้งแต่เธอเดินเข้าบ้านมาเรียกหาอีตาหัวผักเท่าไรก็ไม่เห็นหัวสักทีที่แท้ก็ไม่อยู่ค่ายหลายวัน แสดงว่าแบบนี้เป็นโอกาสทองของเธอแล้วที่จะได้ชิ่งหนีออกไปข้างนอก!
“อ่อ ขอบคุณท่านมากเฟียซ ไม่ต้องห่วงข้ายังตั้งใจทำงานเป็นอย่างดี”
เธอแสร้งฉีกยิ้มกว้างตาเป็นรูปสระอิให้คนตรงหน้า เฟียซกวาดตามองอย่างละเอียดรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางดี๊ด๊าของเกรเทล
“ไว้ข้าจะแวะมาใหม่นะ ข้าขอไปคุมงานก่อนมีอะไรก็วิ่งไปเรียกข้าที่กระโจมนะ”
มือหนายกมือชี้นิ้วไปทางกระโจมใหญ่ที่อยู่ละแวกด้านหน้าของตลาดค้าทาส มันเป็นกระโจมชั่วคราวเห็นว่าเอาไว้พูดคุยงานต่าง ๆ อย่างพวกมาติดต่อขอซื้อขายทาส ซึ่งเกรเทลยังไม่เคยเข้าไปเพราะไม่มีธุระอะไรที่นั่น
“ได้ขอรับ”
เมื่อเสร็จธุระเฟียซก็เดินกลับไปทำงานของตนที่ยังสะสางไม่เสร็จดี เขาต้องเร่งทำให้ทันเวลาก่อนนายเขากลับมาจากธุระ มิฉะนั้นคงมีหูชากันไปข้างแน่ แต่ในเวลาแบบนี้นายเขายังกล้าออกไปข้างนอกได้ทำไมก็ไม่รู้แทนที่จะอยู่คุมงานก่อน
ข่าวลือหนาหูเรื่องการใส่ร้ายป้ายสีเริ่มรุกรามมาทางเขตนี้ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีธุระสำคัญอะไรข้างนอกนั้นก็ไม่ควรเดินออกไปเพ่นพ่านนักหรอก นายเขาควรเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในค่ายมากกว่าไม่รู้อะไรไปดลใจให้เขาออกไปข้างนอก
เกรเทลจัดการงานทุกอย่างเสร็จทันก่อนมื้อเที่ยงเพราะวันนี้งานทำความสะอาดไม่มีอะไรต้องทำมากมาย ปัด กวาด เช็ดถูฝุ่นเล็กน้อยก็สะอาดแล้วเพราะมาทำทุกวัน เพียงแต่เสียดายที่วันนี้เธอเอาวัตถุดิบมาจากโรงครัวเยอะไปหน่อยกลายเป็นว่าต้องทำกินเองทั้งหมด ระหว่างทำมื้อเที่ยงของตนเองเธอก็ยืนคิดแผนที่จะหลบหนีออกไปด้วย
ช่วงหลายวันมานี้เธอสังเกตพฤติกรรมการทำงานของคนในค่ายทั้งโรงครัว หน่วยแพทย์ โซนกรงขังทาส หรือแม้กระทั่งการลงชื่อเข้าออกตลาด ทุกอย่างมีการควบคุมเป็นระบบ ไหนจะมีผู้ดูแลตรวจตราที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ใช่ว่าใครจะเข้าออกโดยง่ายถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปข้างนอก แต่มีอย่างหนึ่งที่เข้าออกได้โดยไม่ต้องมีการลงชื่อขออนุญาตจากผู้ดูแล
…คนส่งของพัสดุ…
โดยในอีก 3 วันข้างหน้าเขาจะมาส่งลังไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเอาไว้กับพวกของใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นในค่าย จังหวะนี้แหละที่เธอจะแอบติดรถออกไป อย่างไรก็ตามเด็กสาวค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับโลกภายนอกมากเพราะเธอไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นจะมีอะไรรออยู่ แต่อีกใจหนึ่งถ้าเธอยังอยู่ที่นี่เธอก็จะไม่มีวันได้เจอหน้าครอบครัวตนเองอีกเลย
เธอจะยอมเสี่ยงดวงดูไปตายเอาดาบหน้า อย่างน้อยเธอยังพอมีทักษะเอาตัวรอดที่พี่ฮันเซลเคยสอนเอาไว้บ้างแถมเธอยังอยู่ในสภาพที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเด็กหนุ่ม ฉะนั้นตัดปัญหาเรื่องโดนข่มเหงรังแกไปได้เลย
แต่ทว่า 3 วันนั้นมันก็พอดิบพอดีที่วอลล็อคเสร็จธุระกลับมาในค่ายแล้ว ถ้าเธอไม่รีบหาทางปลีกหลบเลี่ยงตัวออกมาหรือซ่อนตัวจากสายตาอีกฝ่าย เธออาจโดนจับได้ว่ากำลังหนีออกไป จุดนี้เธอต้องแก้ปัญหาให้ได้ก่อนวันที่คนส่งพัสดุมา
พอคิดอะไรเพลิน ๆ ก็เกือบทำอาหารที่อยู่ในกระทะไหม้ จนเธอต้องวุ่นรีบปิดเตาไฟแล้วยกอาหารขึ้นจัดใส่จานแล้วย้ายตนเองไปนั่งกินที่โต๊ะภายในบ้านอันเงียบเชียบ
ระหว่างนั่งทานอาหารเธอนั่งคิดถึงวันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นที่ป้ายรถเมล์กันแน่ เนื่องจากเธอก็ว่างงานแล้วไม่จำเป็นต้องทำอะไร แต่นั่งนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที เกรเทลจำได้ราง ๆ ว่าเย็นวันนั้นทะเลาะกับพี่ฮันเซลในสาย เธอเอาแต่โฟกัสเรื่องของตนเองจนไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้างเอาแต่พูดความในใจออกมาให้พี่ฟัง หลังจากนั้นเหมือนภาพถูกตัดฉับพลัน
ร่างเล็กสะบัดหัวเรียกสติกลับมา เธอรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนเบ้หน้าเลยตัดสินใจไม่คิดเรื่องวันนั้นต่อแล้วหันโฟกัสทานอาหารในจานให้หมดก่อนจะไปนั่งคัดตัวหนังสือต่อให้เสร็จ
พอพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวต่ำลงก็ถึงเวลาที่เธอต้องปิดล็อกบ้านหลังนี้ให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปช่วยงานที่โรงครัว ขณะกำลังจะเดินไปทางประตูหน้าบ้านหูของเกรเทลได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังลอยมาจากหลังบ้าน คราแรกเธอว่าจะไม่เดินไปดูแล้วเพราะคิดว่ามันคงเป็นเสียงจากต้นไม้โดนลมพัด
แต่พอยืนฟังไปเรื่อย ๆ มันเป็นเสียงเหมือนบางอย่างกำลังดิ้นเสียดสีไปมากับใบไม้แห้ง เพราะช่วงนี้ต้นไม้ผลัดใบร่วงลงมาเยอะเธอจึงกวาดมันมากองรวมกันไว้
เกรเทลหันเท้าไปทางหลังบ้านทันทีดูให้เห็นกับตาว่ามันคืออะไรกันแน่ให้หายข้องใจ แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เธอเข่าอ่อนได้อีกครั้ง มันคืองูตัวเดิมที่เธอเคยเจอบนห้องนอนเจ้านาย ขนาดใหญ่เท่านี้ สีแบบนี้ หน้าตามีเอกลักษณ์แบบนี้
เอาหัวเป็นประกันเลยว่ามีอยู่ตัวเดียวแน่ ๆ เธอกล้าฟันธง!
ดูเหมือนว่ามันจะเลื้อยมาติดตาข่ายที่เธอทำความสะอาดแล้วตากไว้ แต่เดิมมันจะอยู่บนราวไม้ที่เธอเอาไว้ตากผ้า ไม่รู้เพราะลมพัดแรงจนตาข่ายลอยปลิวตกไปแถวใบไม้แห้งหรือเปล่าจนงูตัวนี้เลื้อยผ่านมาติดเอง
เนื่องจากลำตัวงูค่อนข้างยาวมากทำให้ยิ่งดิ้นมันยิ่งพันอีนุงตุงนัง เกรเทลกุมขมับทันทีที่เห็นภาพตรงหน้านอกจากงูแล้วเธอยังต้องมาช่วยชีวิตมันอีกเหรอ
‘คราวหลังถ้ารู้ว่ากลัวก็ไม่ต้องไล่’
แต่เสียงของวอลล็อคก็ลอยเข้ามาในหัว ทำให้เด็กสาวชั่งใจว่าจะเอายังไงดีเพราะถ้าเธอไม่ช่วย มันก็อาจถูกตาข่ายรัดพันตัวจนตายได้ สภาพมันในตอนนี้ดิ้นแรงมากเหมือนพยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
เกรเทลสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตัดสินใจว่าจะช่วยมันเท่าที่ทำได้แล้วกัน ร่างบางหันซ้ายหันขวามองไปรอบบริเวณเพื่อหากิ่งไม้หรือท่อนไม้ยาว ๆ ที่พอจะสร้างระยะห่างตัวเธอกับงู เกรเทลยังไม่อยากถูกมันฉกเอาตอนนี้ วัดดูจากขนาดแล้วแค่เธอเดินเข้าไปใกล้นิดเดียวมันก็เตรียมขู่ฟ่อแล้ว
ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอเห็นกิ่งไม้ยาวท่อนหนึ่งตกอยู่จึงเดินไปเอามา มือบางจับกิ่งไม้แน่นอย่างมั่นคงแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปเขี่ยตาข่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เธอไม่กล้ารีบร้อนกลัวว่างูจะตกใจตื่นหันมาฉกเธอแทน แต่พอยิ่งเขี่ยมันก็ยิ่งดิ้นจนตาข่ายพันหนักกว่าเดิมจนเธอชักหงุดหงิดขึ้นมา
“ถ้าแกยังอยากรอดก็เลิกดิ้นซะ”
------
คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขติชมโปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
***
Talk with writer
หนูเกรเทลนางเตรียมหนีแล้วค่ะ แม้ว่ามันจะอยู่สุขสบายพอสมควร แต่อย่างที่เรารู้กันค่ะว่ามันไม่ใช่บ้านเธอ มันเป็นที่ไหนก็ไม่รู้จัก เป็นใครก็คงอยากกลับเหมือนกันค่ะ ไม่ได้มีแรงใจอยากอยู่ขนาดนั้น(เว้นแต่มีใครอยากให้อยู่) แต่น้องเกรเทลหนูใจบุญมากค่ะ งูยาว 3 เมตรหนูยังใจดีจะช่วยอีก พี่ว่าเวลานี้หนูเอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหม อ่อไม่ได้สิเพราะพล็อตมันมาแบบนี้เราก็ต้องตามน้ำไป แต่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไปเรียกหน่วยกู้ภัยมาแล้วจ้า5555
ไรท์หายไปเพื่อเขียนผังตัวละครกับวางทรีตเมนต์เรื่องนี้เพิ่มมาค่ะ เพราะหลังจากนี้ตัวละครจะเริ่มทยอยออกกันมาเยอะขึ้น จากนิยายทะลุมิติสวย ๆ กลายเป็นหนังชีวิตไปแล้วค่ะคุณผู้อ่าน ฮ่า ๆ ๆ หัวจะปวดกับตนเองเขียนอะไรออกมากันเทียน่า!!🫣
ใครอยากอ่านเกร็ดเล็กผสมน้อย อย่าลืมแวะมากดไลก์ กดติดตามเพจนะคะ จะมีอะไรที่เป็นเบื้องหลังการทำงานเยอะมากจริง ๆ เผื่อรี้ดบางคนเหงาในวันที่ไรท์ไม่ได้อัปนิยายก็มาชวนคุยกันที่เพจได้ค่ะ✨
****
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัพเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana