1321 - วังใต้ดินแห่งภูเขาลู่ซาน
1321 - วังใต้ดินแห่งภูเขาลู่ซาน
เย่ฟ่านเข้าใจถึงตัวตนของเผ่าพันธุ์นี้อย่างถ่องแท้ บรรพชนของพวกเขาคือวิหคมังกรซึ่งดำรงเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ย คนเหล่านี้มีเลือดของเทพอสูรไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
“ต้าเซี่ย วิหคมังกร...”
เขารู้สึกถึงบางอย่างแปลกๆ และนึกถึงราชวงศ์เซี่ยแห่งจงโจว ราชวงศ์เซี่ยทั้งสองแห่งมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?
“วิหคมังกรที่เป็นบรรพชนของเจ้ามีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน?”
เย่ฟ่านหันกลับมาสอบถามกับผู้คนที่ยังรอดชีวิตของเผ่าพันธุ์วิหคมังกร
“ได้ยินมาว่าเป็นปราชญ์โบราณ พวกเราที่เป็นลูกหลานไม่เข้าใจขอบเขตนี้มากนัก” ชายชราในอาณาจักรสะพานวิญญาณตอบตามตรง
ความแข็งแกร่งของบรรพชนวิหคมังกรน่าทึ่งอย่างมาก เย่ฟ่าน ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะในโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตระดับปราชญ์เพียงน้อยนิดเท่านั้น
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” เย่ฟ่านถามอีกครั้ง
"พวกเราไม่ทราบ ในอดีตบรรพชนของข้าต่อสู้กับเก่อหง..."
เย่ฟ่านตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เก่อหง! หนึ่งในบุคคลที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋า เขาเป็นมหาปุโรหิตแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันออกและผู้แต่งคัมภีร์ “เป่าปู้จื่อ”
"เป่าปู้จื่อ" ซึ่งตกอยู่ในมือของมนุษย์กล่าวถึงความลับทั้งเก้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกว่าความลับเหล่านี้มีประโยชน์อะไร แต่ขอเพียงท่องมันออกมาก็จะทำให้ความชั่วร้ายทั้งปวงถูกปัดเป่าออกไป
ความลับทั้งเก้าประการนี้ประกอบด้วยคำว่า หลิน ซิง โต้ว เจ้อ เจี่ย เจิ้น หลิน ไจ้ เฉียน
เย่ฟ่านเป็นผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ยุคโบราณดังนั้นเขาจึงมีการศึกษาอักษรเหล่านี้มาบ้าง ตามที่เขาเข้าใจความลับทั้งลับเก้าประการนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากเก่อหง แต่พวกมันมีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว
บรรพชนวิหคมังกรแห่งต้าเซี่ยในฐานะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขามีความสามารถมองผ่านดวงดาวโบราณทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตามเขายังไม่อาจเอาชนะเก่อหงได้
ในเผ่าพันธุ์วิหคมังกรแห่งต้าเซี่ยยังมียอดฝีมือที่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคน เมื่อได้รับการสอบถามจากเย่ฟ่านพวกเขาก็ยินยอมเปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่ออกมา
บรรพชนของพวกเขายังไม่ตายแต่ถูกเก่อหงปิดผนึกไว้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าสถานที่ที่ถูกปิดผนึกนั้นอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่ามันอยู่ในโลกใบนี้อย่างแน่นอน
เก่อหงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋าที่โลกยกย่องตลอดยุคสมัย
ในโลกมนุษย์นั้นมีผู้คนจำนวนน้อยมากที่ถูกยกย่องว่าเป็นเซียน แต่เก่อหงคือหนึ่งในนั้นซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีความยิ่งใหญ่มากเพียงใด
เก่อหงอาศัยอยู่อย่างสันโดษบนภูเขาลู่ซาน เขาเป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่อดีตและปัจจุบันอย่างแน่นอน ทักษะการฝึกพลังปราณของเขามีชื่อเสียงเลื่องลือตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้เย่ฟ่านคิดว่ามันเป็นเพียงตำนานโบราณที่ไม่สามารถหาความจริงได้ แต่ตอนนี้ความคิดของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว
เย่ฟ่านไม่ได้ทำให้ตระกูลวิหคมังกรอับอายมากเกินไป เขาเพียงสอบถามถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเก้าความลับเท่านั้น เมื่อรู้ว่าเก้าความลับนี้มีความเกี่ยวข้องกับเก้าญาณวิเศษลึกลับเย่ฟ่านก็มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ในความคิดเขา เผ่าพันธุ์วิหคมังกรนี้เพียงอาศัยอยู่ในเส้นเลือดมังกรที่กำลังแห้งเหือดเท่านั้น บรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันก็อยู่เพียงแค่อาณาจักรสี่สุดขั้ว ซึ่งไม่เพียงพอจะทำอะไรได้
เมื่อเขามาถึงที่นี่ในคราแรก เขาขวมดคิ้วสงสัย มังกรสีม่วงนั้นอ่อนแอมาก ปราณสีม่วงใต้ดินก็เหลือไม่มากแล้ว เกรงว่าหลังจากผ่านไปอีกหลายสิบปีสถานที่แห่งนี้คงเป็นเพียงดินแดนอันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คาดคำนวณได้ สาเหตุหลักก็เพราะเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ตายไปแล้ว นั่นทำให้โลกกำลังดำเนินไปถึงจุดจบ หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ร้อยปีเกรงว่าในโลกใบนี้คงไม่มีใครสามารถบ่มเพาะได้อีก
…
เย่ฟ่านมุ่งหน้าสู่ลู่ซานด้วยรถยนต์ เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรวบรวมเก้าญาณวิเศษลึกลับทั้งหมดเข้าด้วยกัน หากเขาทำสำเร็จมันจะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของเขาขึ้นสู่ขอบเขตใหม่อย่างแน่นอน
หลายคนรู้จักภูเขาลู่ซานจากบทกวีนิรันดร์ของหลี่ไป๋ บทกวีนี้ได้ชื่อว่าเป็นบทกวีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ผู้คนรู้จักเขียนตัวอักษรขึ้นมา
เย่ฟ่านนิ่งเงียบ สัมผัสได้ถึงความอ้างว้าง เขารู้สึกว่าเส้นเลือดมังกรของภูเขาอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ก็กำลังแห้งเหือดเช่นกัน
ทันที่ที่ลงจากรถเย่ฟ่านรู้สึกตกใจเล็กน้อย ในถ้ำโบราณบนยอดเขามีจิตสังหารเข้มข้นแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา หากเป็นผู้บ่มเพาะระดับต่ำเผชิญหน้ากับจิตสังหารนี้พวกเขาอาจไม่มีความกล้าที่จะขยับตัวด้วยซ้ำ
แม้ว่าเสี่ยวซงจะมีนิสัยเรียบร้อย แต่มันก็ฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขอบเขตสะพานวิญญาณแล้ว แต่เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้แม้แต่ตัวมันก็ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้
เย่ฟ่านก้าวไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น เขาต้องการดูว่ามีค่ายกลชนิดใดที่สามารถบรรจุจิตสังหารอันแข็งแกร่งแบบนี้ไว้ได้
ถ้ำที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นลึกมาก เขาเดินเข้าไปข้างในและเห็นทางแยกมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ภายในถ้ำโบราณ หากเป็นคนธรรมดาถ้าไม่มีคนนำทางพวกเขายากจะมองหาทางออกได้
ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งพวกเขาเดินลึกเข้าไปเท่าใดก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
“ภูเขาลู่ซานแทบจะไม่มีปราณมังกรหลงเหลืออยู่แล้ว เห็นได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้ามันก็จะกลายเป็นเพียงดินแดนแห่งความตาย แล้วคนที่ตั้งค่ายกลอยู่ที่นี่มีความปรารถนาอะไรกันแน่?”
เย่ฟ่านเดินลึกลงไปในถ้ำและรำพึงรำพันด้วยความสงสัย
หลังจากติดตามจิตสังหารอันชั่วร้ายลึกเข้าไปไม่กี่ลี้เขาก็มองเห็นพระราชวังใต้ดินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง พระราชวังใต้ดินที่กว้างใหญ่นั้นเงียบสงบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาถึงสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
ในที่สุด เย่ฟ่านก็มาถึงส่วนลึกของพระราชวังใต้ดินที่เป็นใจกลางของภูเขาลู่ซาน เปลวไฟที่กำลังลุกโชนไม่มีชีวิตชีวา ด้านหน้ามีแท่บูชาขนาดใหญ่ที่ถูกโซ่เหล็กตรึงอยู่
สถานที่แห่งนี้คือจุดศูนย์กลางแห่งจิตสังหารที่แผ่ออกไปด้านนอก กล่าวกันตามตรงต่อให้เป็นปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยากที่จะเข้ามาที่นี่ได้
หากไม่ใช่ว่าเย่ฟ่านแข็งแกร่งมากกว่าเซียนเทียมขั้นสามเขาคงไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่
เสี่ยวซงคว้าเสื้อของเย่ฟ่านด้วยความประหม่า ดวงตากลมโตกลอกไปรอบๆ
เย่ฟ่านก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ในที่สุดเขาก็เห็นได้ว่ามีอะไรอยู่แท่นบูชาที่ปลายสุดของพระราวังใต้ดิน เมื่อเห็นสิ่งนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ภายในแท่นบูชานั้นมีโซ่สีดำสนิทวางอยู่ โซ่เส้นนี้คล้ายกับผูกมัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนนับพันนับหมื่นอยู่ภายใน และทำให้ความเครียดแค้นของผู้คนที่ถูกจับตัวไว้แผงออกมาข้างนอก
เย่ฟ่านก้าวเข้าไปอย่างช้าๆและสังเกตอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าที่ปลายโซ่นั้นผูกมัดชายคนหนึ่งไว้ ร่างของเขาผอมแห้งเหลือเพียงผิวหนังหุ้มกระดูกแทบไม่มีเลือดเนื้อแม้แต่น้อย ผมเผ้าของเขาดูยุ่งเหยิงและไม่สามารถสัมผัสพลังชีวิตได้
ดวงตาเย่ฟ่านเป็นประกาย เขารู้ดีว่านี่จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเซียนอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะเป็นบรรพชนของเผ่าวิหคมังกร
เขาถูกกักขังอยู่ที่นี่ เพียงแค่พลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายอันแห้งเหี่ยวของเขาก็ทำให้เย่ฟ่านเกิดความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุดแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ชายคนนี้น่าจะถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายพันปี พลังชีวิตของเขาแห้งเหือดไปแล้ว และร่องรอยของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หายสาบสูญไปด้วย
ดูเหมือนว่าเขาจะถูกปิดผนึกไว้ที่นี่เพราะคู่ต่อสู้ไม่อาจสังหารเขาได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงทำได้เพียงปล่อยให้พลังชีวิตของเขาร่อยหรอลงไปทุกวัน
เย่ฟ่านไม่ได้เข้าใกล้มากนัก เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตายแล้วหรือยังหากเขาเดินเข้าไปใกล้และถูกทำร้ายอย่างไร้สาระคงเป็นเรื่องน่าหัวเราะอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ!”
เย่ฟ่านตกใจ เมื่อเขายืนอยู่แล้วมองจากบนลงล่าง เขาเห็นรูปแกะสลักหินบนแท่นบูชาที่มีลักษณะจำเพาะเจาะจงอย่างมาก
“นี่คือ…”
เขาเปิดตาที่สามแล้วเห็นว่ามันดูเหมือนมุมหนึ่งของแผนที่ภูมิประเทศ มันซับซ้อนมากแต่อยากจะมองออกว่ามันเป็นสถานที่ใดกันแน่
สิ่งที่เขาตกใจมากที่สุดคือเวลาของภาพนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มันเทียบไม่ได้กับอายุของโซ่เหล็กและแท่นบูชาซึ่งถูกสร้างมานานนับหมื่นปี
เย่ฟ่านมองอย่างระมัดระวัง เขาประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือภาพของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยแขนขา ศีรษะ ที่ถูกแยกออกจากกัน ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าร่างกายที่ถูกจับแยกนั้นจะต้องเป็นของชายคนที่ถูกมัดอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน
“คนผู้นี้คือใคร เขาถูกขังอยู่ที่นี่มาแล้วอย่างน้อยก็ห้าพันปี แล้วภาพนี้ปรากฏขึ้นได้อย่างไร…”
………..