ตอนที่ 25 ถ้าคุณไม่รับผม ผมจะโดนลงโทษหนักมาก
เมืองฐานทัพนั้นถือได้ว่าทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถดูได้จากการที่ไม่เคยมีเมืองฐานทัพใหนล่มสลายเลยสักเมืองในช่วงหลายปีมานี้
ความคิดการเข้ายึดครองเมืองฐานทัพนั้นทำให้ทั้งสามประหลาดใจมาก มันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็สามารถทำได้
“ก่อนอื่นหาทางเข้าไปก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นอย่าพึ่งไปสนใจ”
ซูเฉินนั้นไม่ได้กังวลว่าทั้งสามจะเข้าไปได้หรือเปล่า
ทั้งสามคือคนเหนือมนุษย์ ถ้าหากพวกเขาเข้าเมืองฐานทัพไม่ได้ขึ้นมานี่ มันคงจะน่าขำมาก
แถมไม่ใช่ทุกคนในเมืองฐานทัพที่จะเป็นคนเหนือมนุษย์ ภายในนั้นมีคนธรรมดาเยอะแยะเลย ส่วนคนเหนือมนุษย์นั้นเป็นแค่ส่วนน้อย
ถ้าหากคนเหนือมนุษย์เต็มใจเข้าร่วมกับเมืองฐานทัพ ตราบใดที่พวกเขาไม่มีประวัติอาชญากรรม โอกาสที่พวกเขาจะได้เข้าเมืองฐานทัพนั้นก็นับได้ว่าสูงมาก
อย่างไรก็ตาม คนเหนือมนุษย์ที่ไม่ขึ้นตรงกับใครหรือมีครอบครัวนั้นก็ถูกบังคับให้ต้องอาศัยอยู่ภายในสถานที่รวมตัวและมีบางส่วนที่ไม่สามารถอยู่ในเมืองฐานทัพได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาอยู่กันที่เมืองฐานทัพนั่นเอง
“โอเค แล้วพวกเราจะติดต่อนายยังไงหากเวลานั้นมาถึง?”
นี่แหละปัญหา แม้พวกเขาจะเข้าไปในเมืองฐานทัพได้ แต่มันก็เปล่าประโยชน์หากพวกเธอไม่สามารถติดต่อซูเฉินได้
ซูเฉินนั้นก็ได้คิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาจึงหยิบเครื่องมือสื่อสารที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษออกมาแล้วโยนให้ทั้งสามคน
“นี่เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำขึ้นพิเศษซึ่งมันสามารถใช้งานได้ภายในระยะห้าร้อยกิโลเมตร ก็คล้ายๆกับโทรศัพท์มือถือแหละ”
ทั้งสามคนก็จ้องมองดูเครื่องมือสื่อสารที่ดูเหมือนกับโทรศัพท์มือถือด้วยดวงตาที่มีล่องรอยความตกตะลึงแฝงอยู่
กล่าวได้ว่าในตอนนี้คือโลกหลังโลกาวินาศซึ่งไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มีเพียงไม่กี่คนในยุคนี้ที่มีมือถือเพราะค่าใช้จ่ายในการสร้างเสาสัญญาณนั้นแพงมาก ในเมืองฐานทัพหน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเป็นข้างนอก เสาสัญญาณอาจจะถูกพวกสัตว์กลายพันธุ์ทำลายได้
โดยหลักแล้วมันเป็นเพราะการบ้าคลั่งของสัตว์กลายพันธุ์ แต่มันก็กรณีอื่นด้วยเหมือนกัน
ซูเฉินปล่อยทั้งสามไปเพื่อล่องูออกจากโพรง ในตอนนี้เขาไม่อาจจะจัดการกับเมืองฐานทัพได้แต่แค่ร่วมมือส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
“ความเร็วในการรวบรวมพลังงานยังช้ามาก ฉันต้องการพลังงานมากกว่านี้”
ในขณะที่ซูเฉินกำลังคิดถึงวิธีหาพลังงานมาเพิ่ม ซูยี่ก็เดินเข้ามาหา “ผู้บัญชาการครับ เจ้าหมาชีพด็อกตื่นแล้วครับ โปรดสั่งการต่อด้วย”
ดวงตาของซูเฉินก็เป็นประกายขึ้นมา เขาพาเจ้าหมาชีพด็อกที่ยังไม่ตายกลับมานั้นไม่ใช่เพราะอยากจะตรวจสอบสัตว์กลายพันธุ์แต่เขาหวังว่าจะเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับสัตว์กลายพันธุ์จากเจ้าหมาชีพด็อก
มนุษ์นั้นแทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์กลายพันธุ์เลยแถมข้อมูลส่วนใหญ่ของเขานั้นก็มาจากสถานที่รวมตัวด้วย ดังนั้น เจ้าหมาชีพด็อกที่สามารถพูดคุยได้นั้นก็เป็นประโยชน์กับเขาพอตัว
ซูเฉินก็เดินไปยังห้องขังชั่วคราวโดยการนำของซูยี่ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดเล็กที่ขุดไว้ในถ้ำและปิดกั้นไว้ด้วยรั้วเหล็กซึ่งประกอบเป็นกรงขัง
เมื่อซูเฉินเห็นเจ้าหมาชีพด็อก เขาก็พบว่าตัวมันทั้งตัวถูกมัดไว้แม้กระทั่งปากยังโดนใส่ตะแกรงเหล็กครอบปากซึ่งทำให้มันไม่สามารถส่งเสียงได้
สิ่งที่ซูเฉินรู้สึกประทับใจมากที่สุดคือเจ้าหมาชีพด็อกตัวนี้มีบาดแผลมากมายตามตัวของมัน
“เกิดอะไรขึ้น?”ฉันจำได้ว่าเจ้าหมาชีพด็อกนั้นไม่มีบาดแผลพวกนี้ ไม่ใช่ว่าตัวมันดำปี๋เลยไม่ใช่หรอ?
“ผู้บัญชาการครับ หลังจากเจ้าหมาชีพด็อกตื่น มันพยายามจะหลบหนีจากห้องขังโดยใช้ความสามารถของมันแต่คนของเราพบเข้าเลยใช้มีดสลักเครื่องหมายลงบนร่างของมันเป็นการสั่งสอน ทุกครั้งที่มันหลบหนีก็จะมีรอยหนึ่งแผลครับ”ซูยี่พูด
ซูเฉินก็จ้องมองเจ้าหมาชีพด็อกอย่างเงียบๆ บนร่างของมันนั้นมีบาดแผลอยู่หลายแผล นี่มันดื้อด้านอะไรขนาดนั้นกัน?
“แกะที่ครอบปากมันออก”
ซูยี่ก็เดินไปแกะที่ครอบปากของมันออก และตอนนี้เจ้าหมาชีพด็อกก็พูดได้เสียที
“เวรเอ้ย ตรูเกือบจะหายใจไม่ออกตาย”เจ้าหมาชีพด็อกก็สูดหายใจเข้า
“ตราบใดที่แกตอบคำถามฉัน ฉันจะปล่อยแกไป”ซูเฉินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เจ้าหมาชีพด็อกก็เย้ยหยัน “เอ็งคิดว่าตรูกลัวงั้นหรอ? ถ้าอยากจะให้ข้าผู้นี้เป็นสปายของเอ็งหล่ะก็ อย่าได้ฝันเลย”
“งั้นหรอกหรอ?”
ซูเฉินก็ยิ้มแล้วโบกมือให้ซูยี่ ซูยี่จึงชักมีดออกมาแล้วชี้ใส่ร่างของเจ้าหมาชีพด็อก
“ฉันได้ยินมาบ่อยว่าเนื้อหมามีคุณค่าทางอาหารสูง งั้นเนื้อหมากลายพันธุ์จะต้องมีคุณค่าทางอาหารสูงมากแน่ๆ สงสัยต้องหั่นมาลองทำหม้อไฟกินแล้วหล่ะ”ซูเฉินก็พูดออกมาอย่างชิวๆ
แต่ดวงตาของเจ้าหมาชีพด็อกกลับเบิกกว้าง หูตั้งและขนลุซู่วเลย มนุษย์นี่สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างที่มันได้ยินมาจริงๆ นี่พวกมนุษย์อยากกินเนื้อของพวกมันด้วยงั้นหรอ?
“ไม่ๆ เนื้อตรูไม่อร่อยหรอก หลังจากกลายพันธุ์ เนื้อตรูเป็นพิษนะ!!”เจ้าหมาชีพด็อกก็ตะโกนออกมา
ซูเฉินก็ประหลาดใจแล้วมองเจ้าหมาชีพด็อก สัญชาตญานเอาชีวิตรอดของเจ้าหมาตัวนี้มันใช้ได้เลย
“ไม่ว่ามันจะมีพิษหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก ถ้าหากแกไม่อยากโดนเอาไปทำหม้อไฟ งั้นก็รีบคลายทุกอย่างที่แกรู้มาซะ”
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกพูดถึง เจ้าหมาชีพด็อกก็แสดงสีหน้าอันซื่อสัตย์ออกมา “จะฆ่าตรูก็ฆ่าเลย ตรูไม่พูดหรอก”
“หืม กล้าดีนี่ ตัดน้องชายมันซะ ฉันเคยได้ยินว่ามันเป็นของดีสำหรับทำไวน์”
โฮ่ง?
เจ้าหมาชีพด็อกก็หวาดกลัวทันที นี่แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า? ถึงขั้นอยากกินน้องชายตรูเนี่ย?
ในฐานะหมาตัวผู้ หากมันไม่มีน้องชาย แล้วมันจะเอ็นดูน้องๆในฮาเร็มได้ไงกัน?
ไม่ มันจะต้องไม่โดนตัดน้องชายของมันเด็ดขาด
“นายท่านขอรับ ต้องการทราบอะไร โปรดถามมาได้เลยขอรับ”
พอเห็นท่าทางของเจ้าหมาชีพด็อกในตอนนี้ ซูเฉินก็ยิ้มออกมา สมแล้ว ไม่ว่าจะคนหรือหมาจะเก่งกล้าขนาดใหนก็มีจุดอ่อนกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซูเฉินพบว่าเวลาเจ้าหมาชีพด็อกตอบ มันจะหลีกสายตาหลบ นี่มันหมายความว่าไงกัน?
“พอมาถึงขั้นนี้แล้ว แกยังจะกล้าโกหกฉันสินะ ถ้าหากไม่ยอมสารภาพดีๆ แกได้เจอลงโทษแน่”ซูเฉินก็พูดขู่
ก่อนหน้านี้ เขาถามถึงเรื่องความแข็งแกร่งของสัตว์กลายพันธุ์ เจ้าหมาชีพด็อกมันก็กล่าวอ้างว่าสัตว์กลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งสุดนั้นมีแค่ระดับแปดดาวเอง และพวกมันมีพรรคพวกเป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวไม่เกินสิบตัว ซูเฉินนั้นก็พบว่ามันช่างน่าขันมากสัตว์กลายพันธุ์มันจะอ่อนแอขนาดนี้ แล้วมนุษย์จะเสียเปรียได้ไง?
กล่าวได้ว่าไม่ควรจะเชื่อเจ้าหมาชีพด็อกที่กล้าโกหกเขาเลยด้วยซำ
เจ้าชีพด็อกก็ตระหนักได้ว่ามันถูกเปิดโปงมันจึงแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แต่ซูเฉินก็ยิ้มเย้ยใส่
“ซูยี่ ปิดประตูแล้วปล่อยหมาล่าเนื้ออกมา!!”
ด้วยคำสั่งของซุเฉินเงาสีดำหลายตัวก็พุ่งเข้ามาในกรงขัง พร้อมกับเสียงกริ้ก ประตูกรงขังก็ถูกปิดลง
เงาสีดำพวกนั้นก็คือหมาล่าเนื้อของซูเฉิน และพวกมันก็จ้องมองเจ้าหมาชีพด็อกด้วยสายตาดุร้ายซึ่งมันทำให้เจ้าหมารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“พูดๆ ตรูยอมพูดแล้ว รีบๆเอาพวกมันออกไป ตรูไม่ชอบหมาตัวผู้!! โฮ่ง!!”