1317 - ภูเขาหลิงซานเหือดแห้ง
1317 - ภูเขาหลิงซานเหือดแห้ง
พบศากยมุนีที่ปลายทาง!
มันเกินความคาดหมายของทุกคน แม้แต่เย่ฟ่านเองก็ยังตกตะลึง พระเฒ่าหลายรูปคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้น สวดมนต์ในนามของพระพุทธเจ้า ก้มศีรษะลงกับพื้นด้วยความศรัทธา
ดอกไม้บานสะพรั่งที่ร่วงหล่นเสียงดังกรอบแกรบ ต้นโพธิ์โบราณหยั่งรากอยู่ที่นี่ มีชายที่นั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ กลมกลืนกับทัศนียภาพทั้งหมดทั้งปวง
ดอกไม้อันสดใสร่วงหล่นลงมาบนร่าง ดูเหมือนเขาจะไม่เคยลุกขึ้นยืนมานานนับพันปีแล้ว แม้ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่านี่จะต้องเป็นศากยมุนีอย่างแน่นอน
ศากยมุณีและพระพุทธเจ้าคนอื่นๆ ล้วนเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว อย่างไรก็ตามการได้เห็นซากสังขารของพวกเขาล้วนทำให้ทุกคนเกิดความปราบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
แม้แต่เย่ฟ่านก็ยังสั่นสะท้านอยู่ในใจ นี่คือบุคคลในตำนาน และตอนนี้เขาได้เห็นพระองค์ด้วยตัวเอง มันเกินความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง
ศากยมุนีเป็นชายโบราณเมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว เขามีความถ่อมตนและมีสติปัญญาอย่างมาก ว่ากันว่าในตอนที่ยังเป็นเด็กเขาสามารถศึกษาคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ได้อย่างถ่องแท้แล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ออกค้นหาตัวเองจนกระทั่งกลายเป็นมหาบุรุษของโลกในปีต่อๆ มา
ชื่อของเขาได้แพร่หลายเกินขอบเขตของอินเดียทั้งในสมัยโบราณและสมัยใหม่
ปรมาจารย์หลายคนคลานเข่าไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ เข้าไปใกล้ต้นโพธิ์โบราณ เย่ฟ่านก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงเช่นกัน
แม้ว่าตัวของเย่ฟ่านจะไม่ได้มีความศรัทธาต่อศาสนาพุทธจนเกิดความลุ่มหลง แต่ในฐานะจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ศากยมุนีก็สมควรได้รับการเคารพด้วยประการทั้งปวง
เสียงระฆังบนภูเขาที่ห่างไกลดังแผ่ออกไปหลายร้อยวา แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวออกไปทุกทิศทาง
วัดโบราณ ระฆังบนภูเขาและพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์เป็นเหมือนความฝัน
“ทุกท่านมาสายเกินไปแล้ว ภูเขาหลิงซานกลายเป็นดินแดนที่แห้งเหือดไม่มีทางฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ได้อีกแล้ว”
คลื่นพลังแผ่กระจายจากพระพุทธเจ้าที่อยู่ใต้ต้นโพธิ์ มันคล้ายกับคำพูดที่พระองค์กล่าวกับพวกเขาผ่านแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลา
“พระพุทธเจ้า!”
พวกเขาได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสกับพวกเขาและทุกคนก็เกิดความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
“เหตุใดจึงช้า เรานำวัตถุศีกดิ์สิทธิ์เปิดเส้นทางโบราณเพื่อมาที่หลิงซานแล้ว”
เย่ฟ่านยืนอยู่ไม่ไกลจากต้นโพธิ์และถามออกไปด้วยความสงสัย
“ภูเขาหลิงซานที่เหือดแห้งยากที่จะค้นพบ แม้ว่าจะมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เส้นทางก็ไม่สามารถเปิดได้”
พระพุทธเจ้านิ่งเฉยราวกับว่าเขากำลังนั่งขัดสมาธิเช่นมาตั้งแต่ยุคโบราณ คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ล้นหลามจนกลายเป็นกงล้อศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังศรีษะของเขา
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจและสงสัย นี่คือศากยมุนีจริงหรือ?
จากสิ่งที่เย่ฟ่านรู้เกี่ยวกับจักรพรรดิอู่ซือ ดูเหมือนจะเป็นภาพเงาที่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตทิ้งไว้ บางทีสถานการณ์นี้อาจเป็นเช่นเดียวกัน
“เส้นทางสู่หลิงซานสิ้นสุดลงแล้ว จงหันหลังกลับไป”
ชายวัยกลางคนกระซิบ ดวงตาของเขายังคงหลับ สีหน้าแสดงถึงความสงบ ดอกไม้ที่ร่วงหล่นทุกดอกสองแสงเจิดจ้า ทุกคนปฏิบัติตามตามคำสั่งและถอยกลับ
แต่เย่ฟ่านไม่ได้ทำตาม เพราะในเวลานี้เขาเห็นต้นโพธิ์โบราณสีเขียวนั้นกลายเป็นหิน แม้แต่คนที่อยู่ใต้ต้นไม้เองก็กลายเป็นรูปปั้น ดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นกลายเป็นดอกไม้หิน
ความผันผวนหายไป ทุกสิ่งที่เขาเห็นกลายเป็นประติมากรรมหิน แตกต่างจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง
เย่ฟ่านโล่งใจ ศากยมุนีเดินไปตามถนนสายโบราณ ท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้า เป็นไปไม่ได้ที่เขายังคงอยู่อยู่บนโลก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” พระเฒ่าหลายรูปจากอินเดียตัวสั่น
ร่างของพระพุทธเจ้านี้สามารถแสดงพลังวิเศษบางอย่างได้ เมื่อมาถึงตรงนี้พวกเขาก็ตระหนักว่าหลิงซานอยู่ไม่ไกลแล้ว
แต่ซีมาติและคนอื่นๆ ปฏิเสธที่จะไปต่อ พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าโดยไม่กล้าฝ่าฝืน
“ภูเขาหลินซานอยู่ข้างหน้า พวกท่านไม่อยากเข้าไปหรือ” เย่ฟ่านสอบถามอีกครั้ง
“เราจะปฏิบัติตามคำพูดของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด”
ปรมาจารย์หลายคนพนมมือแล้วแนะนำเย่ฟ่านว่าอย่าไปเลย สาเหตุก็เพราะพระพุทธเจ้าหวังดีต่อทุกคนอย่างแน่นอน การที่จะเดินหน้าต่อย่อมไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแต่อย่างใด
เย่ฟ่านเมินเฉยต่อต้นโพธิ์และพระพุทธเจ้าที่กลายเป็นหินแล้วเขาเดินต่อไปในข้างหน้า ปรมาจารย์หลายคนตกตะลึง พวกเขาทั้งหมดยืนจ้องมองไปยังเส้นทางโบราณที่คดเคี้ยวอย่างว่างเปล่า
สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่เดินตามหลังเย่ฟ่าน นั่นก็เพราะหากไม่มีพระพุทธรูปหินพวกเขาก็ไม่สามารถออกจากที่นี่ได้เช่นกัน
หลังจากเดินไปอีกสองสามลี้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงภูเขาอันกว้างใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า มันเหมือนดินแดนที่เป็นจุดสิ้นสุดของโลก
ไม่มีสิ่งชีวิตใดๆ อยู่ที่นั่น มีแต่คลื่นพลังแห่งพุทธะ ภูเขานั้นไม่มีชีวิต แม้แต่นกตัวเดียวก็ไม่สามารถเห็นได้
เย่ฟ่านเปิดตาที่สามของเขาและพบว่ามันพร่ามัวมาก ภูเขาหลิงซานอันกว้างใหญ่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เขารู้เพียงว่าวิหารโบราณแห่งอวิ๋นหนิงตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา
เย่ฟ่านรู้ดีว่าเส้นทางที่อยู่ข้างหน้านั้นถูกตัดขาดแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช้ความพยายามมากเพียงใดก็ไม่สามารถเปิดภูเขาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นได้
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปก้าวแรก เขาก็สัมผัสได้ถึงความวุ่นวายพลุ่งพล่านทันทีและพลังแห่งจิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น
เย่ฟ่านเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีเสียงคำรามของราชสีห์ดังก้องสวรรค์พิภพ จากนั้นภาพเงาของพระอรหันท่องถือไม้เท้าปราบมารก็ปรากฏขึ้นบนภูเขา
ทุกเส้นทางในวิหารทองไม่อาจเข้าใกล้ได้ มีเสียงจากท้องฟ้าที่เหมือนจะพังทลายลงมา
คนอื่นๆตกตะลึง นี่คือการเผชิญหน้ากับเทพและพระโพธิสัตว์ คนเหล่านั้นไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าสู่ภูเขาหลิงซานหรือไม่?
“บูม!”
คลื่นพลังที่แข็งแกร่งลุกลามไปทั่วภูเขาหลิงซานอันตระหง่าน ทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงคำรามดังก้องและกระแทกหมัดหกสังสารวัฏเพื่อบดขยี้ภาพเงาเหล่านั้นให้แหลกละเอียด
เย่ฟ่านตะโกนเสียงดัง คลื่นสะท้อนกลับมาทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นร่างศักดิ์ศรีเซียนโบราณแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้เขาได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
นี่คือพลังของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ความผันผวนของพลังที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคโบราณยังเพียงพอที่จะปิดกั้นไม่ให้เขาเข้าไปข้างในได้
ยักษ์ อสูร นาคราช ครุฑ ฯลฯ แปดสิ่งมีชีวิตโบราณซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ธรรมของพุทธศาสนาได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อต่อสู้กับเย่ฟ่านโดยตรง
เย่ฟ่านถอยกลับเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว แม้แต่ร่างกายอันสิทธิ์ของเขาไม่สามารถหยุดยั้งผู้พิทักษ์ธรรมทั้งแปดได้ เขาเชื่อว่าหากเป็นคนอื่นของถูกทำลายจนแหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว
หลิงซานเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพุทธศาสนาแห่งอินเดีย กล่าวกันตามตรงมันมีความผูกพันกับพุทธศาสนามากกว่าเขาพระสุเมรุด้วยซ้ำ
เย่ฟ่านมองดูพระพุทธรูปหินในมือและขมวดคิ้ว หากไม่มีอักษรที่อยู่ข้างในวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้ หากไม่มีพระพุทธรูปชิ้นนี้คงไม่มีทางที่เขาจะมาถึงที่นี่ได้
เขารู้ว่ามันยากที่จะเข้าไปข้างใน แต่เขาต้องการเข้าไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงซานกันแน่ บางทีเขาอาจจะรู้จุดหมายปลายทางของศากยมุนีพุทธเจ้าก็ได้
เสียงระเบิดดังกึกก้องสวรรค์พิภพอีกครั้ง เย่ฟ่านต่อสู้กับผู้พิทักษ์ธรรมทั้งแปดและในที่สุดเขาก็ใช้ทักษะซิงจื่อพุ่งเข้าไปข้างในภูเขาหลิงซานได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่มีหญ้าหรือต้นไม้ ทุกอย่างเหี่ยวเฉา แห้งแล้งไม่มีชีวิต ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคยเหยียบย่ำมาตั้งตั้งแต่สมัยโบราณ
ภูเขาหลิงซานเหี่ยวเฉาไปแล้ว!
วัดโบราณที่ตั้งตระหง่านกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ไม่มีพระอรหันต์อาศัยอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าโบราณ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดให้เห็นอีกต่อไป
การดำรงอยู่ของวัดโบราณนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพระพุทธศาสนามาถึงจุดเสื่อมโทรมโดยสมบูรณ์
สุดท้ายภายใต้การผลักดันของผู้พิทักษ์ธรรมทั้งแปด เย่ฟ่านก็ถูกผลักดันออกจากภูเขาหลิงซานโดยไม่สามารถสำรวจสิ่งใดได้มากนัก
……..