ตอนที่ 7 เปลี่ยนตำแหน่ง
ตอนที่ 7 เปลี่ยนตำแหน่ง
ในบรรดาผู้ฝึกตนจํานวนมาก ลู่ชางเฉิงนั้นไม่ได้โดดเด่นเลย
ผู้ฝึกตนหลายคนเองก็ไม่รู้จักลู่ชางเฉิงด้วยซ้ำ
คราวนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าลู่ชางเฉิงกําลังจะสมัครเป็นนักจ่ายยาฝึกหัด พวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
นี่มันผ่านนานแค่ไหนกันแล้ว?
อย่างมาก พวกเขาก็อยู่ในสำนักเมียวชูได้เพียงประมาณห้าเดือนเท่านั้น
แค่ห้าเดือน พวกเขายังจําทุกคนไม่ได้เลยด้วยซ้ำแล้วนับประสาการกับการเป็นนักจ่ายยาฝึกหัด
เขาไม่รู้เหรอว่านักจ่ายยาฝึกหัดจําเป็นต้องจำชื่อ เจ้าสมบัติ และสภาพแวดล้อมการเติบโตของสมุนไพรให้ได้อย่างน้อยหลายร้อยชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเรียนรู้จากตำราเท่านั้น
หากไม่รู้วิธีอ่านแล้วจะเรียนรู้มันได้ยังไง?
แม้แต่หัวหน้าจางก็ยังขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัย "เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการสมัครเป็นนักจ่ายยาฝึกหัดน่ะ?"
"ครับ!!"
"เจ้ามั่นใจมากใช่มั้ย?"
ลู่ชางเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่กล้าพูดว่ามั่นใจ ดังนั้นเขาจึงตอบแบบไม่ให้มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป "อาจจะประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ครับ!"
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหัวหน้าจาง
โอกาสเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์นั้นหมายความว่าเขามีโอกาสได้เป็นนักจ่ายยาฝึกหัด
ลู่ชางเฉิงเองก็ยังเด็กอยู่และพึ่งเข้ามาได้เพียงห้าเดือนเท่านั้น แต่เขามีโอกาสที่จะกลายเป็นนักจ่ายยาฝึกหัด ซึ่งมันน่าประทับใจมาก!
มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะได้เป็นนักจ่ายยาหรือแม้แต่หมอได้ในอนาคต!
ในสำนักเมียวชูนั้น หมอที่ตรวจผู้ป่วยมีสถานะสูงมาก แม้แต่ผู้คุ้มครองในหน่วยรักษาความปลอดภัยก็ยังไม่สามารถเทียบกับหมอในสำนักเมียวชูได้
เมื่อนึกได้แบบนี้ การแสดงออกของหัวหน้าจางจึงจริงจังขึ้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้ ข้าอนุมัติ!”
หลังจากที่หยุดไปชั่วคราว เขาได้เสริมว่า “มันอาจจะค่อนข้างลําบากสําหรับเจ้าซึ่งเป็นผู้ฝึกตนเบ็ดเตล็ด ที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
หัวหน้าจางพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลู่ชางเฉิงอย่างชัดเจน
หมอในอนาคตของสำนักเมียวชูนั้นมีศักยภาพที่ไร้ขีดจํากัด ทําให้มันคุ้มค่ากับความพยายามของหัวหน้าจางที่จะผูกมิตรกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ
"ถ้าอย่างนั้นข้าต้องรบกวนหัวหน้าจางด้วย"
ลู่ชางเฉิงโค้งคํานับ
จากนั้นเขาก็เดินตามหัวหน้าจางออกไปจากลานกว้าง
เมื่อหัวหน้าจางจากไป ผู้ฝึกตนคนอื่นๆก็เริ่มพูดคุยกันทันที
"นี่เขาจะสมัครเป็นนักจ่ายยาฝึกหัดจริงหรือ?"
“ข้าเคยเห็นลู่ชางเฉิงถือตำราสมุนไพรมาก่อน แต่ข้าคิดว่าเขาอาจจะแกล้งทําเป็นอ่านและข้าก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใจพวกมันได้จริงๆ”
“ข้ายังจําตัวทุกคนที่นี่ทั้งหมดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ลู่ชางเฉิงกลับจำสมุนไพรได้จริงๆงั้นหรือ?”
“อาจารย์โม่เองก็ดูเหมือนจะถูกใจลู่ชางเฉิงมาก และเขามักจะสอนลู่ชางเฉิงเป็นการส่วนตัวบางครั้ง”
“ข้าไม่คิดเลยว่าลู่ชางเฉิงที่ขาดพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับมีพรสวรรค์ด้านวิชาการเช่นนี้ เมื่อเขากลายเป็นนักจ่ายยาฝึกหัด เขาจะได้รับเงินเดือนและสถานะของเขาจะดีขึ้นอย่างมากแน่ๆ...”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเรียนรู้ที่จะอ่านและจดจําชื่อสมุนไพรให้ได้ เพื่อที่ข้าจะได้เป็นนักจ่ายยาฝึกหัดด้วย”
ผู้ฝึกตนพากันคุยอย่างตื่นเต้น มีบางคนที่อิจฉาและมีบางคนที่ชื่นชม
เมื่อมี่ลู่ชางเฉิงเป็นตัวอย่าง ผู้ฝึกตนจํานวนมากจึงพยายามเป็นนักจ่ายยาฝึกหัดให้ได้โดยเร็วที่สุด
ลู่ชางเฉิงนั้นไม่สนใจความคิดของผู้ฝึกตนคนอื่นๆเลย
เขาเดินตามหัวหน้าจางไปและมาถึงห้องเก็บสมุนไพรในใจกลางสำนักเมียวชู
นี่คือที่ที่สำนักเมียวชูจะทำการจัดเตรียมสมุนไพร
ภายในนั้น มีนักจ่ายยาหลายคนกำลังดูแลผู้ฝึกตนด้านการอบแห้งและการแปรรูปสมุนไพร
"อาจารย์เหวิน"
หัวหน้าจางกล่าวคํานับแก่ชายสูงอายุที่มีผมสีขาวนวลและรูปลักษณ์ที่แก่ชรา
อาจารย์เหวินเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าจางแล้วถามว่า "หัวหน้าจาง เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ?"
“อาจารย์เหวิน นี่คือผู้ฝึกตนเบ็ดเตล็ดที่อยู่สำนักเพียงห้าเดือนและเขากําลังมาสมัครเป็นนักจ่ายยาฝึกหัด ข้าจึงพาเขามาที่นี่”
หัวหน้าจางอธิบายจุดประสงค์ในการมาของพวกเขาอย่างชัดเจน
"หืม?"
“ผู้ฝึกตนเบ็ดเตล็ดที่อยู่ที่นี่เพียงห้าเดือนงั้นรึ? นี่เขากําลังสมัครเป็นนักจ่ายยาฝึกหัดจริงๆหรือ?”
สายตาแปลกๆแววในดวงตาที่ขุ่นมัวของอาจารย์เหวินกำลังจ้องมอง
เขามองไปที่ลู่ชางเฉิงและถามว่า "เจ้าชื่ออะไร?"
"ลู่ชางเฉิงครับ"
“นั่นเป็นชื่อที่ดีนะ ว่าแต่เจ้ารู้จักสมุนไพรทั้งหมดกี่ชนิด?”
"ห้าร้อยแปดสิบสามชนิดครับ"
“ในตำราหมอได้กล่าวว่ามีสมุนไพรมากกว่าสามพันหกร้อยชนิด ความสามารถในการจําได้มากกว่าห้าร้อยนั้นสอดคล้องกับมาตรฐานสําหรับนักจ่ายยาฝึกหัด แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องทดสอบเจ้า”
อาจารย์เหวินลุกขึ้นยืนและพาลู่ชางเฉิงไปที่ห้องเก็บสมุนไพรด้านหลัง
พื้นดินบริเวณนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสมุนไพร
อาจารย์เหวินชี้ไปที่สมุนไพรสองสามชนิดและถามว่า "บอกชื่อของสมุนไพรทั้งสามนี้และผลของมันให้ข้าฟังซะ"
ลู่ชางเฉิง ตอบทันทีว่า “ไช่ฮู มีรสขม คุณสมบัติเป็นกลาง ไร้สารพิษ ส่วนใหญ่จะรักษาอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปัจจัยที่ทําให้เกิดโรคหวัด ฟื้นฟูร่างกายและเพิ่มการมองเห็นได้เมื่อกินเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง”
“ไป๋ซู่ ทําให้ม้ามกระชับขึ้น เพิ่มการย่อยของกระเพาะอาหาร ทําให้ร่ายกายไม่ขาดน้ำ และทําให้ทารกในครรภ์แข็งแรง มันบำรุงม้ามและกระเพาะอาหารได้ แก้อาการเบื่ออาหาร ความเหนื่อยล้า อ่อนแอ บำรุงช่องท้อง ท้องร่วง วิงเวียนศีรษะและเหงื่อออกง่าย”
“ฮุ่ยซิง มีกลิ่นฉุน หากบริโภคมันเข้าสู่เส้นตันเถียนจะบำรุงไตและกระเพาะอาหาร รักษาอาหารคลื่นไส้ อาเจียน และความเมื่อยล้าของกระเพาะอาหารครับ...”
ลู่ชางเฉิงพูดอย่างละเอียดตามสิ่งที่ตำราหมอบันทึกเอาไว้โดยไม่ข้ามเลย
อาจารย์เหวินพยักหน้าและดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาก็ส่งสัญญาณความพึงพอใจออกมา
อย่างน้อยที่สุด การประเมินนักจ่ายยาฝึกหัดก็ไม่ใช่ปัญหาของลู่ชางเฉิง
“ทําได้ดีมาก! การจดจําสมุนไพรที่มีมากมายนั้นไม่ใช่แค่การท่องจําเท่านั้น แต่เจ้าต้องเข้าใจและใช้สิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้อย่างแท้จริง”
“หัวหน้าจาง เจ้าได้นําคนที่มีพรสวรรค์มาให้ข้าซะแล้วล่ะนะ”
“ลู่ชางเฉิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะได้เป็นนักจ่ายยาฝึกหัด!”
โดยปกติ นักจ่ายยาฝึกหัดจะได้รับมอบหมายให้เรียนรู้จากนักจ่ายยา
แต่อาจารย์เหวินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ฝึกตนส่วนตัวของข้าหรือไม่?"
“ครับ เต็มใจครับ! ข้าเต็มใจมากๆและข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์เหวินสําหรับโอกาสในครั้งนี้ครับ!!”
ใบหน้าของลู่ชางเฉิงตอนนี้เต็มไปด้วยความสุข
เมื่อเห็นการปฎิบัติของหัวหน้าจางก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เหวินนั้นอยู่ในตําแหน่งที่สําคัญ
การได้เป็นผู้ฝึกตนส่วนตัวกับอาจารย์เหวินนั้นเป็นโอกาสหายากที่ลู่ชางเฉิงนั้นไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลย
“ลู่ชางเฉิง เจ้าโชคดีมากที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์เหวินโดยตรงเพราะอาจารย์เหวินสามารถระบุชื่อของสมุนไพรได้มากกว่าสมุนไพรที่ระบุไว้ตำราแพทย์ด้วยซ้ำ”
“เจ้าจงเรียนรู้จากอาจารย์เหวินให้ดี ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่เพียงแต่เป็นนักจ่ายยาเท่านั้น แต่เจ้าจะต้องเป็นหมอ และจะต้องเป็นหมอที่มีชื่อเสียงอีกด้วย!”
หัวหน้าจางตบไหล่ลู่ชางเฉิงเป็นการให้กําลังใจเขาแล้วเดินจากไป
ส่วนลู่ชางเฉิงติดตามอาจารย์เหวินไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะนักจ่ายยาฝึกหัด
นักจ่ายยาฝึกหัดนั้นมีเวลาว่างและพวกเขาก็มีวันหยุดด้วย
พวกเขาได้หยุดหนึ่งวันต่อหนึ่งเดือน
และพวกเขาได้รับค่าจ้างเป็นงั้นเงินสามเตลต่อเดือน
แม้ว่าเงินจะไม่มากนักแต่ลู่ชางเฉิงก็ไม่เกี่ยง
สิ่งที่เขาสนใจคือเวลาว่างในหนึ่งเดือน
ด้วยเวลาที่เขามี ในที่สุดเขาก็สามารถไปที่ภูเขาหวู่นี่ฉานเพื่อไปเอาเงินที่เขาซ่อนเอาไว้ได้
ลู่ชางเฉิงจึงพยายามอดทนอย่างมาก
แทนที่เขาจะรีบ แต่เขากลับรอให้ครบหนึ่งเดือนแล้วใช้ข้ออ้างว่าจะออกไปเที่ยวในวันหยุด
จากนั้นเขาก็ไปที่ภูเขาหวู่นี่ฉานและได้พบกับถ้ำเดิม
ภายในถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและไม่มีวี่แววว่ามีใครเคยมาที่นี่เลย
ลู่ชางเฉิงจึงได้นำทองคําและเงินที่ซ่อนอยู่ออกมา
เขาไม่ได้เอาเครื่องประดับออกมา
แต่เขาเอาแค่ทองคําและเงินเหรียญและเงินที่เป็นธนบัตรไปแทน
เพราะการขายเครื่องประดับนั้นจะมีหลักฐานที่สาวมาถึงตัวเขาได้
เนื่องจากเครื่องประดับเหล่านี้เป็นของที่โดนปล้นและไม่รู้ที่มา เขาจึงไม่กล้าเอาขายสุ่มสี่สุ่มห้า
ดังนั้น ลู่ชางเฉิงจึงคิดจะเอาทองคําและเงินจำนวนหนึ่งกลับไปที่สำนักเมียวชู
นอกจากเครื่องประดับที่ไม่ได้เอาไปด้วยแล้ว เขามีเงินอยู่ประมาณแปดร้อยเตล ซึ่งเขาจะนำมาใช้แค่ห้าร้อยเตลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เงินห้าร้อยเตลก็มากเกินพอสำหรับเขาแล้ว
ตอนนี้เขาเหลือเพียงสองอย่างที่ต้องทํา
หนึ่ง ไปที่สำนักศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้หรือซื้อทักษะการต่อสู้พื้นฐานมาสักอย่าง
สอง ไปซื้ออาหารสมุนไพรเพื่อฝึกฝนวิชามหาสายธาร
ลู่ชางเฉิงปลอมตัวเล็กน้อยโดยติดหนวดปลอมไว้ใต้จมูกของเขาและใช้สมุนไพรเพื่อทําให้ใบหน้าของเขาดูเหลืองซีดราวกับเป็นชายวัยกลางคน
จากนั้น ลู่ชางเฉิงก็ออกไปจากถ้ำและมุ่งหน้าไปยังร้านสมุนไพร