ตอนที่ 3 เพิ่มความเข้าใจ
ตอนที่ 3 เพิ่มความเข้าใจ
ทันใดนั้นลู่ชางเฉิงก็หยุด
เนื่องจากค่าความเข้าใจของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว
ลู่ชางเฉิงจึงรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดเข้ามา
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่แตกต่างกันได้นั้น แต่เขากลับมีความรู้สึกคลุมเครือว่าสภาพจิตใจของเขานั้นดีขึ้นมาก
หรือว่ามันแตกต่างกันแค่นี้นะ?
"คงงั้นล่ะมั้ง…"
ลู่ชางเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไรมากนักที่เกิดขึ้นกับเขา
หรือเป็นเพราะว่าค่าความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนั้นยังน้อยเกินไป?
ลู่ชางเฉิงส่ายหัวและหยุดคิดก่อนที่เริ่มฝึกวิชาด้านกำลังขาต่อ
ในทุกวัน เขาจะฝึกวิชาหมัดพื้นฐานและวิชาด้านกำลังขาในช่วงเวลากลางคืน
แม้ว่าเขาจะติดอยู่กับวิชาด้านกำลังขาและไม่สามารถสัมผัสถึงแก่นแท้ของเสือที่ดุร้ายได้ แต่เขาก็ยังพยายามฝึกฝนมันทุกวัน
ลู่ชางเฉิงจึงเริ่มสันนิษฐานถึงกระบวนท่าเริ่มต้นวิชาด้านกำลังขาทันที โดยนึกถึงการเคลื่อนไหวที่อาจารย์หลิวสอน
ร่างกายของเขาค่อยๆหมอบลงเล็กน้อยเหมือนกับเสือที่กำลังสะกดรอยตามเหยื่อของมัน
"ย่ะ!"
ทันใดนั้น ลู่ชางเฉิงได้พุ่งไปข้างหน้า
การจู่โจมในครั้งนี้ทําให้ดีใจอย่างมาก ราวกับว่าเขาได้กลายร่างเป็นเสือที่ดุร้ายจริงๆ
"โอ้ววว"
ลู่ชางเฉิงตะครุบไปที่พื้นโดยที่ทิ้งรอยประทับลึกๆไว้
"หือ อะไรน่ะ?"
ลู่ชางเฉิงจ้องมองไปที่มือของเขา
แม้ว่าเขาจะสัมผัสถึงพลังฉีและเลือดของตัวเองไม่ได้ แต่เขากลับสร้างรอยลึกๆไว้บนพื้นได้
แม้แต่พื้นที่แข็งยังเป็นขนาดนี้ ถ้าเขาใช้ท่านี้กับคนจริงๆมันคงจะน่ากลัวน่าดู
"แก่นแท้ของเสือที่ดุร้าย... นี่แหละคือแก่นแท้ของเสือดุร้ายของจริง!"
“นี่ที่สุด ข้าก็เข้าใจแก่นแท้ของเสือที่ดุร้ายแล้ว ดูซิว่าวิชาด้านกำลังขาของข้าจะดีขึ้นหรือไม่?”
ลู่ชางเฉิงเปิดแผงคุณลักษณะของเขาทันที
[โฮสต์: ลู่ชางเฉิง]
[ค่าความเข้าใจ : 99 (ค่าเฉลี่ย)]
[วิชาหมัดพื้นฐาน : สมบูรณ์แบบ]
[วิชาด้านกำลังขา : เชี่ยวชาญเล็กน้อย]
[วิชามหาสายธาร : ยังไม่ได้เริ่ม]
ในแผงคุณลักษณะ ความเข้าใจของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 99 แต่การประเมินยังคงเป็น "ค่าเฉลี่ย" อยู่
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ทําให้วิชาด้านกำลังขาของเขาเปลี่ยนเป็น “เชี่ยวชาญเล็กน้อย” แล้ว
เมื่อเขาเข้าใจแก่นแท้ของเสือที่ดุร้ายได้ ตราบใดที่เขาฝึกฝนต่อไปมันก็จะไปถึงระดับสมบูรณ์แบบได้แน่ๆ
เมื่อเห็นแบบนี้ ในที่สุดลู่ชางเฉิงจึงเข้าใจวิธีการใช้แผงคุณลักษณะที่ถูกต้อง
ตราบใดที่เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หรือวิชาต่อสู้ให้สมบูรณ์แบบได้ ค่าความเข้าใจของเขาจะเพิ่มขึ้น
ด้วยความเข้าใจที่สูงขึ้น การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้และวิชาต่างๆก็จะง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
ถ้าศิลปะการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ค่าความเข้าใจของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มันเป็นวงจรที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปได้เรื่อยๆ!
ถ้าเขาทำแบบนี้ต่อไป ค่าความเข้าใจของเขาจะสูงแค่ไหนกัน?
ลู่ชางเฉิงที่คิดแบบนี้เริ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ความเสียใจที่ไม่เชี่ยวชาญวิชามหาสายธารและไม่ถูกรับเลือกให้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของเขาได้หายไปหมดแล้วในตอนนี้
เมื่อเทียบกับเอฟเฟกต์ของแผงคุณลักษณะ หน่วยรักษาความปลอดภัยจะสำคัญกว่าได้ยังไง?
หลังจากนั้น ลู่ชางเฉิงจึงกลับไปนอนในห้องของเขา
เขานอนหลับสนิทด้วยความดีใจ
ในเช้าตรู่ ลู่ชางเฉิงก็ลืมตาตื่นขึ้นตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีอาจารย์หลิว เขาก็ไม่สามารถจดจ่อกับการฝึกวิชามหาสายธารได้อีกต่อไป
เขาจึงต้องทํางานหนักและฝึกฝนให้หนักขึ้น
โชคดีที่เขามีงานไม่มากนักในช่วงเช้า
ลู่ชางเฉิงจึงยังคงสามารถหาเวลาฝึกฝนวิชามหาสายธารได้
เขาจดจําทุกการเคลื่อนไหวของวิชามหาสายธารได้ดีจนเขาสามารถทำมันได้แม้ว่าจะหลับตาอยู่ก็ตาม
ตอนที่เขาฝึกแรกๆ ลู่ชางเฉิงมักจะพบว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้มันดูน่าอึดอัดใจสำหรับเขา
แต่ในช่วงเช้าวันนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไป
เขาสามารถได้ยินเสียงเลือดของเขาที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขาได้อย่างคลุมเครือราวกับเป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ในร่างกาย
ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวที่น่าอึดอัดใจเหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเส้นเลือดภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้ยินเสียงเลือดไหลราวกับเป็นแม่น้ำสายใหญ่”
“ถ้าเป็นตามที่อาจารย์หลิวกล่าว ข้าน่าจะใกล้สัมผัสพลังฉีและเลือดของข้าได้แล้ว”
“ดูเหมือนว่าภายในอีกสิบวันหรือน้อยกว่านั้น ข้าอาจจะสัมผัสได้ถึงพลังฉีและเลือดของข้าได้!”
ลู่ชางเฉิงเริ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาคาดเดาได้ว่าความคืบหน้านี้อาจเกี่ยวข้องกับค่าความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้
ค่าความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนั้นมีผลมาก ไม่เพียงแค่เป็นประโยชน์ต่อทักษะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย
เช่นเดียวกับลู่ชางเฉิง เพราะยังมีผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่พยายามอย่างหนักในการฝึกวิชามหาสายธาร แม้ว่าจะไม่ได้รับถูกเลือกให้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยก็ตาม
แต่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่นั้นกลับพูดจาประชดในความพยายามของพวกเขา
“เฮ้ๆ ดูเจ้าพวกนั้นสิ พยายามหนักมากจริงๆ แต่แล้วจะได้อะไรล่ะ? หากไม่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนหนักแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาเวลาไปพักผ่อนยังดีกว่าตั้งเยอะ”
“ใช่ แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปในหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ ถ้าเข้าหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่ได้ ก็ไม่ได้กินอาหารบํารุงและไม่ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้อีก”
"มาดูกันดีกว่าว่าพวกเขาจะยังฝึกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?"
ลู่ชางเฉิงเลือกที่จะเมินคำพูดที่ประชดประชันนั้น
บางคนก็แค่ขี้เกียจและชอบที่จะพักผ่อนมากกว่าที่จะฝึกฝน แต่พวกเขากลับมาเยาะเย้ยผู้ที่ฝึกฝนอย่างหนัก
แต่สุดท้ายเวลาจะตอบแทนแก่ผู้ที่ฝึกฝนอย่างหนักเอง!
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้ไม่ได้อยู่เฉยๆ
นอกจากจะทำงานประจำวันแล้ว ผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ได้ยังใช้เวลาร่ำเรียนได้
เพราะท้ายที่สุด การเป็นหมอและวินิจฉัยผู้ป่วยได้นั้นจะต้องมีความรู้ขั้นสูง
ถ้าหาว่าอ่านหนังสือวิชาแพทย์ไม่ได้ แล้วจะเป็นหมอได้ยังไง?
ดังนั้น ทุกช่วงบ่ายจะมีชั่วโมงที่สำนักเมียวชูจัดให้อาจารย์มาบรรยายแก่ผู้ฝึกตน
ลู่ชางเฉิงเองก็จริงจังกับการเรียนของเขาด้วย
ไม่ว่าจะที่ไหนหรือในสถานการณ์ใด ความรู้คือขุมทรัพย์ที่ดีที่สุด
การอ่านและการเขียนก็เป็นทักษะพื้นฐานที่สุด
มิฉะนั้น ต่อให้จะได้รับคู่มือลับของศิลปะการต่อสู้ แต่ก็คงไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้
และในทุกวัน ลู่ชางเฉิงจะอุทิศตนเพื่อการอ่านเขียนควบคู่ไปด้วย
ในด้านศิลปะการต่อสู้ ลู่ชางเฉิงเองก็มีความสามารถอยู่ในระดับเฉลี่ยทั่วไป
แต่ในวิชาวัฒนธรรม เขาเก่งมากๆในหมู่ผู้ฝึกตนหลายคน
เพราะเขาเคยเรียนวิชานี้มานานกว่าสิบปีในชีวิตก่อนหน้านี้
แม้ว่าจะอยู่ในร่างที่แตกต่างกัน แต่ความรู้ที่ได้เรียนมากลับยังไม่หายไป
และลู่ชางเฉิงก็ขยันมาก ซึ่งทําให้อาจารย์โม่ชอบเขามาก อาจารย์โม่มักจะพูดชมลู่ชางเฉิงเป็นประจำ
“อ่า น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ฝึกตนที่สำนักเมียวชู มิฉะนั้นด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าอาจจะผ่านการสอบของจักรพรรดิในอนาคตด้วยซ้ำ”
อาจารย์โม่ถอนหายใจ
เขาเชื่อว่าลู่ชางเฉิงนั้นมีศักยภาพที่เก่งมากในด้านการศึกษา
แต่ลู่ชางเฉิงนั้นรู้ตัวของเขาดีอยู่แล้ว
เขาเพียงแค่พึ่งพาความทรงจําในชีวิตที่ผ่านมาของเขาเพื่อให้เป็นประโยชน์เบื้องต้นในการอ่านและการเขียน ถ้าเขาพยายามสอบข้อสอบของจักรพรรดิ โอกาสสอบติดของเขาคงมีน้อยมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ลึกๆแล้วลู่ชางเฉิงเองก็เริ่มมีความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้มากขึ้น
ความก้าวหน้าทีละเล็กน้อยในด้านศิลปะการต่อสู้นั้นทำให้ลู่ชางเฉิงเริ่มคลั่งไคล้มัน!
“ถ้าข้าต้องการบรรลุความสมบูรณ์แบบในวิชาด้านกำลังขา บางทีมันอาจจะใช้เวลาสามถึงห้าเดือนแน่ๆ”
"ทําไมข้าถึงไม่มองหาวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่คล้ายกับวิชาหมัดพื้นฐานนะ?"
“การทําให้วิชาต่อสู้ที่ง่ายที่สุดสมบูรณ์แบบได้นั้นง่ายและใช้เวลาน้อยมาก ที่สําคัญไปกว่านั้น มันยังสามารถพัฒนาค่าความเข้าใจของข้าได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”
เป้าหมายของลู่ชางเฉิงก็คือการเพิ่มความเข้าใจของเขา
เมื่อความเข้าใจของเขามากขึ้น การฝึกศิลปะการต่อสู้ต่างๆก็จะง่ายขึ้น
สําหรับวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ลู่ชางเฉิงนั้นไม่มีปัญหาในการค้นหามัน
เพราะที่สำนักเมียวชูมีคนมากมายที่รู้วิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐาน
เนื่องจากมันเป็นวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐานทั่วไป นักศิลปะการต่อสู้เกือบทุกคนจึงได้ฝึกฝนมันมาบ้างแล้ว
ลู่ชางเฉิงใช้อาหารเพื่อแลกเปลี่ยนและได้รับวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐานมาสามอย่าง : วิชามีดพื้นฐาน วิชาดาบพื้นฐาน และวิชาตะบองพื้นฐาน