1316 - พบพระพุทธเจ้าปลายทาง
1316 - พบพระพุทธเจ้าปลายทาง
ในระหว่างกระบวนการนี้ เย่ฟ่านมักจะท่องมนต์อย่างเงียบๆ เสมอ และใช้พลังของเขาเองเพื่อกระตุ้นพระพุทธรูปหินให้สร้างเส้นทางในการเดินไปสู่ภูเขาหลิงซาน แต่ในที่สุดเขาก็ยังไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้
“เอาล่ะ ข้ามไปกันเถอะ”
เย่ฟ่านเคยเดินทางข้ามจักรวาลเพียงลำพังเขาย่อมไม่มีความหวาดกลัวต่อหุบเหวเล็กๆ นี้ ต่อให้มันแข็งแกร่งจริงๆมันก็ไม่อาจเทียบได้กับหุบเหวในดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิต
“อ๊า...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ในเหวนี้หมอกดำปกคลุมท้องฟ้า มีภูตผีนับหมื่นนับพันตัวพยายามปีนออกมาจากเหวลึก
“นี่คือเหวอสูรแห่งความโกลาหล อสูรและปีศาจจำนวนมากที่ถูกศากยมุนีปราบปรามก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ล้วนถูกจองจำอยู่ที่นี่” ซีมาติกล่าวด้วยความตกใจ
เหวแห่งนี้ไม่สามารถบินข้ามไปได้ และเจตจำนงอันชั่วร้ายของอสูรนับหมื่นนับพันได้ก่อตัวเป็นพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว วิธีเดียวที่จะข้ามมันไปได้คืออาศัยความกล้าและเดินเข้าไปในหุบเหวโดยตรง
“จริงหรือ? เช่นนั้นให้ข้าดูว่าอสูรที่พุทธะปราบปรามไว้แข็งแกร่งมากแค่ไหน” เย่ฟ่านกล่าว
จากนั้นร่างกายของเขาก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง เขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และก้าวลงไปในหุบเหวโดยไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
เหล่าอสูรร้ายพยายามจะฉีกร่างกายของเขาออกเป็นชิ้นๆ!
พวกมันล้วนเป็นอสูรและปีศาจที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง พวกมันถูกขังอยู่ที่นี่จนตายและมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ยังคงอยู่ วิญญาณร้ายของอสูรเหล่านี้พยายามจะทำร้ายทุกชีวิตที่เข้าใกล้ภูเขาหลิงซาน
“ปัง!…”
กำปั้นสีทองของเย่ฟ่านมีขนาดใหญ่โตนับหมื่นวา ด้วยหมัดหกสังสารวัฏที่โจมตีไปข้างหน้าต่อให้มีอสูรมากกว่านี้หลายสิบเท่าก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของเขาได้
“ปัง”
วิญญาณอสูรที่พยายามพุ่งเข้าหาเขาถูกกวาดล้างออกไปทั้งหมด วิญญาณที่เหลือกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง
“กระดูกนี้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ!”
ดวงตาของเย่ฟ่านเป็นประกาย นี่เป็นของหายากมาก มันมีอสูรตัวหนึ่งที่ร่างกายเป็นโครงกระดูกทั้งหมด และมันสามารถต้านทานการโจมตีจากหมัดหกสังสารวัฏของเขาได้
เย่ฟ่านเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า เขาโจมตีออกไปทุกทิศทางเพื่อสร้างถนนที่ราบรื่นให้กับกลุ่มปรมาจารย์ที่ติดตามอยู่ทางด้านหลัง
เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของภูตผีดังก้องสวรรค์พิภพ พวกมันพยายามหลบหนีออกจากหุบเหวแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายวิญญาณอสูรเกือบทั้งหมดก็ถูกเย่ฟ่านกวาดล้างออกไปอย่างง่ายดาย
พระเฒ่าชาวอินเดียหลายรูปต่างตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์นี้ สุดท้ายซีมาติก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า
“ถ้าอาตมาคาดคำนวณไม่ผิดโครงกระดูกนี้เป็นของผู้พิทักษ์วัชระจากศาสนาพุทธของเราที่กลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย ในอดีตเขาเคยเป็นพระอรหันต์ดังนั้นกระดูกของเขาจึงเป็นอมตะตลอดกาล!”
พลังการโจมตีของเย่ฟ่านนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก พวกเขาเชื่อมั่นว่าเย่ฟ่านคนนี้จะสามารถบดขยี้โลกทั้งใบได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามโครงกระดูกลึกลับนั้นกลับสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้!
หุบเหวอสูรแห่งความโกลาหลเป็นสถานที่ที่อันตรายจริงๆ อสูรและภูตผีต่างวิ่งกันไปกันมาโดยไม่สามารถหลุดออกจากการควบคุมของสถานที่แห่งนี้ได้
พวกมันถูกเย่ฟ่านไล่ล่าคล้ายกับจะไม่อนุญาตให้ใครรอดชีวิตอย่างเด็ดขาด
ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นเกือบจะเหมือนกับเทพเจ้าในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเขาปราบปรามอสูรและปีศาจทั้งหมดพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น
“บูม”
คลื่นพลังที่แข็งแกร่งกวาดไปทั่วหุบเหวและบดขยี้กลุ่มอสูรที่ยังไม่ถูกสังหาร ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ไม่มีอสูรและปีศาจตนใดหลบรอดพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไปได้
จากนั้นทุกคนก็ข้ามหุบเหวขนาดใหญ่ไปข้างหน้าโดยไม่มีสิ่งใดต่างกัน หลังจากเดินไปกว่าครึ่งวันในที่สุดพวกเขาก็ไปหยุดยืนอยู่ที่ทะเลสีดำสนิทขนาดใหญ่
การปรากฏขึ้นของทะเลสีดำสนิทนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกท้อแท้ใจเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเฒ่าซึ่งกลายเป็นภูตผีจะรู้สึกคับแค้นใจจนตาย
“นี่คือทะเลแห่งความทุกข์ หากเจ้าต้องการเข้าใกล้ภูเขาหลิงซาน เจ้าต้องผ่านมันไป ว่ากันว่านี่คือโลกที่แท้จริงและสิ่งที่เราเห็นในชีวิตประจำวันอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น” พระเฒ่าท่านหนึ่งกล่าว
“ทะเลแห่งความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด เรายังต้องข้ามไปอีกหรือ?” พระเฒ่าอีกรูปกล่าว
“อย่ามองย้อนกลับไปจนกว่าเจ้าจะเห็นภูเขาหลิงซาน” เย่ฟ่านกระซิบ
หลายคนเคยเห็นพลังวิเศษอันยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว และการที่เขากล่าวแบบนี้ย่อมแสดงถึงความลึกลับบางอย่างที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้
เย่ฟ่านยื่นมือออกไปข้างหน้า และเรือรบทองแดงก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าจากการใช้เก้าญาณวิเศษลึกลับทักษะการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด
จากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปบนเรือและข้ามทะเลแห่งความทุกข์ไปโดยไม่กล้าหันหลังกลับ
“ปัง”
คลื่นพายุซัดเข้าฝั่ง คลื่นความโกรธเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง มหาสมุทรสีดำทำให้ผู้คนตื่นตระหนก ทุกคลื่นดูเหมือนจะทำให้โลกพลิกคว่ำ จริงๆ แล้วมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามให้มีสิ่งใดสามารถคุกคามความปลอดภัยของเรือรบทองแดงได้!
เย่ฟ่านหยิบตะเกียงทองแดงที่มีใบหน้าผีออกมาแล้ววางไว้บนหัวเรือ ภายใต้อำนาจของจอมภูตผีระดับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ปีศาจร้ายทั้งหมดที่พยายามโจมตีเรือต่างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ทะเลแห่งความทุกข์นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง หากไม่มีอำนาจของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คอยควบคุมอยู่ต่อให้เป็นเสมือนจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นด้วยตัวเองก็ยังยากที่จะเอาตัวรอดได้
ทะเลทุกข์สีดำปั่นป่วนไม่มีวิกฤติอีกต่อไป แต่ทุกคนรู้สึกได้ว่าใต้ทะเลมีสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง มีอสูรว่ายไปรอบๆ แอบมองเบื้องบน เป็นบางครั้งบางคราว แต่พวกพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้เรือเท่านั้น
ตะเกียงไฟทองแดงนี้มีแสงสีฟ้ายาวที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างยิ่ง ใบหน้าของจักรพรรดิภูตผีกวาดมองไปรอบๆภายใต้เปลวไฟที่เต้นระบำอยู่เหนือตะเกียง
ในเวลาต่อมาชายร่างเล็กคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนเรือ นี่คือจักรพรรดิภูตผีที่ถูกควบคุมโดยตะเกียงวิเศษ การปรากฏตัวของเขาทำให้ปรมาจารย์จากอินเดียทุกคนร่างกายสั่งสะท้านด้วยความกลัว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่ฟ่านเห็นถ้าร่างเล็กคนนี้ สีหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนไป ต้องบอกว่าตะเกียงทองแดงนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่และสามารถปราบปรามความชั่วร้ายทั้งปวงได้ ดังนั้นทุกคนจึงเดินหน้าต่อไปในทะเลแห่งความทุกข์โดยปราศจากอันตราย
เก้าวันต่อมาในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นฝั่ง มีภูเขาใหญ่สูงนับหมื่นวาปรากฏขึ้นตรงหน้า นี่คือภูเขาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เย่ฟ่านเคยเห็น มันยิ่งใหญ่มากกว่าเขาพระสุเมรุด้วยซ้ำ
“หลิงซาน เราเกือบจะถึงดินแดนโบราณอันยิ่งใหญ่แล้ว!”
พระเฒ่าหลายรูปรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เพราะแม้แต่พระอรหันต์ในยุคบรรพกาลก็ยังไม่มีโอกาสมองเห็นสถานที่แห่งนี้ได้
เย่ฟ่านไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ เขาสำรวจภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาที่เขาประกายลึกล้ำ จากนั้นเขาก็ถือตะเกียงวิเศษเดินนำหน้าทุกคนไปด้วยความมุ่งมั่น
“นั่นก็คือ…”
หลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวันผ่านภูเขาใหญ่น้อยลูกแล้วลูกเล่าพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นได้แห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากภูเขาลูกเล็กที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เย่ฟ่านก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาได้บ่มเพาะดวงตาสวรรค์สำเร็จแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นได้ไกลฝากผู้คนทั่วไปหลายเท่า
เขามองเห็นเทพที่นั่งอยู่ในแสงสว่างภายในภูเขาลึกลับ เทพคนนี้มีร่างกายที่เปล่งประกายสีทองน่าเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
ที่นั่นมีต้นโพธิ์โบราณต้นหนึ่ง มีกิ่งก้านดุจร่างกายของมังกร กิ่งก้านของมันทอดยาวไปทุกทิศทาง ใบไม้เขียวชอุ่ม มีคลื่นแห่งความศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกไปรอบทิศทาง
เทพที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้นมีลักษณะคล้ายชายอายุประมาณสามสิบ ร่างกายของเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน กล่าวกันตามตรงนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาเย่ฟ่านยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเหมือนคนผู้นี้
“ศากยมุนีพุทธเจ้า!”
หลังจากที่ซีมาติและคนอื่นๆ เดินเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์และเห็นชายคนนั้นนั่งอยู่พวกเขาก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นและสรรเสริญพุทธคุณด้วยความตื่นเต้น
เย่ฟ่านก็ประหลาดใจเช่นกัน การปรากฏตัวของชายผู้นี้พิเศษจริงๆ นอกจากศีรษะที่ล้านเลี่ยนแล้วลักษณะของเขาไม่แตกต่างอะไรจากพระพุทธรูปที่ตั้งเป็นพระประธานอยู่ในวัดโบราณต่างๆ!
…………….