ตอนที่แล้ว1311 - ภูเขาหลิงซาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป1313 - ผู้สืบทอดศากยมุนี

1312 - เหมือนเทพเจ้า


1312 - เหมือนเทพเจ้า

พระเฒ่าหลายรูปต้องการเห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่จารึกด้วยอักษรโบราณ

เย่ฟ่านถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะเอาพระพุทธรูปหินตัวเล็กๆ แต่พระเฒ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีพลังวิญญาณมากถึงขนาดนั้น พวกเขาไม่มีทางมองเห็นตัวอักษรที่อยู่ภายในได้

เขาไม่ได้ตอบปรมาจารย์หลี่ซึ่งแก่ชรามากที่สุดแต่ถามคำถามออกไปอีกครั้ง เขาต้องการทราบว่าในพุทธศาสนายังมีการบ่มเพาะพลังปราณอยู่อีกหรือไม่

ไม่มีใครตอบคำถามไม่ได้เพราะพวกเขาไม่รู้อย่างแท้จริง แม้กระทั่งปรมาจารย์หลี่ก็ยังดูเหมือนจะบรรลุขอบเขตนี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่เคยบ่มเพาะแม้แต่ครั้งเดียว

“พวกคุณไม่เคยเจอเขาจริงๆหรือ คนที่มีพลังเหมือนกับเทพในหมู่มนุษย์?” เย่ฟ่านถาม

พวกเขาพยักหน้าบอกว่าเคยเห็นคนแบบนี้อยู่ ปรมาจารย์หลี่บอกว่าอาจารย์ของเขาดูเหมือนจะรู้บางอย่าง เพราะท่านก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

ตามที่เขากล่าว พระเฒ่าคนนี้มีชีวิตอยู่มานานกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบปี ฌานของท่านสูงกว่ามากและเคยเห็นความลึกลับทุกอย่างในชีวิตมาแล้ว

“อาจารย์ของอาตมาบอกว่ามีพระพุทธคุณอยู่ทางทิศตะวันตก(อินเดีย)และมีมารอยู่ใจกลางโลก(ประเทศจีน)”

เมื่อเย่ฟ่านได้ยินสิ่งนี้เขาก็หัวเราะทันทีและถามเขาว่า

“หมายความว่าลัทธิเต๋าของประเทศจีนเป็นจุดศูนย์รวมของความชั่วร้ายหรือไม่?”

ปรมาจารย์หลายคนรีบส่ายหน้า พวกเขาไม่มีอคติต่อลัทธิเต๋า แต่พวกเขาหมายถึงมารร้ายจริงๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนธรรมดาแต่มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง

“อาจารย์ของอาตมาอยู่ที่นี่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และท่านบอกว่าในประเทศจีนมีเทพอสูรและมารร้ายจริงๆ”

พระเฒ่าที่มีอายุหนึ่งร้อยเก้าสิบปีทรงพลังอย่างมาก แน่นอนว่าตลอดเกือบ 2 ศตวรรษที่ผ่านมาเขาย่อมท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อค้นหาผู้บ่มเพาะเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พระเฒ่าคนนี้ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเทพเทพอสูรแห่งประเทศจีน เขาเพียงตระหนักถึงตัวตนของอีกฝ่ายเท่านั้น

“ท่านจำได้ไหมว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน?” เย่ฟ่านถาม

“ต้องถามอาจารย์ของอาตมาก่อน”

เมื่อกล่าวถึงการมีอยู่ของเทพอสูรและมารร้าย พระเฒ่าอีกรูปหนึ่งก็เล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่เขาเคยประสบมาด้วยตนเอง เมื่อเขายังเด็ก เขาบำเพ็ญตบะ และเห็นชายแปลกหน้าผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่ในป่าฝนดึกดำบรรพ์ในอินเดีย เขาสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้

“ทวดของอาตมาบอกว่ามีคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม บางทีคนผู้นั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน”

อาจารย์อีกคนหนึ่งกล่าว ทวดของเขามีชีวิตอยู่ถึงสองร้อยสามสิบปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ในช่วงชีวิตของเขา เขาไปตะวันตกเพียงลำพังและพบกับสิ่งมีชีวิตที่เหมือนเทพเจ้ามากมายนับไม่ถ้วน

มีตำนานไม่รู้จบเมื่อคนคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวหลายร้อยปี แค่ตัวตนของพวกเขาก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์ชีวิตที่พบผ่านมามันจะต้องมีความแปลกประหลาดมากมายอย่างแน่นอน

มีผู้คนนับไม่ถ้วนจากศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และศาสนาอิสลามมุ่งหน้าไปที่เยรูซาเล็มทุกปี ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีสิ่งลึกลับบางอย่างอยู่แน่นอน

เย่ฟ่านหยิบพระพุทธรูปหินออกมา ทำให้ปรมาจารย์หลายคนประหลาดใจในทันที พวกเขายิ่งเชื่อมั่นว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นเทพเช่นกัน

ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นความลับภายในพระพุทธรูปหิน

เย่ฟ่านหยิบแผ่นหินเล็กๆขึ้นมาและใช้นิ้วของตัวเองขีดเขียนภาษาสันสกฤตลงไป จากนั้นเขาก็ประทับเต๋าลงไปในอักขระเรานั้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย

“นำมันกลับไปอินเดียให้อาจารย์ของพวกคุณดู บอกท่านว่าพระพุทธรูปหินนี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ผมยังมีเรื่องราวมหัศจรรย์อีกมากต้องการปรึกษากับท่าน”

ปรมาจารย์หลายคนไม่กล้าที่ปฏิเสธ พวกเขาโค้งคำนับและกล่าวคำอำลา

ในเวลาเดียวกันที่หอประมูลเศษเสี้ยวของแจกันได้ถูกผู้คนแย่งชิงซื้อหากันอย่างบ้าคลั่ง

….

เมื่อกระรอกเห็นเย่ฟ่านกลับมาอีกครั้ง ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาเย่ฟ่านอย่างรวดเร็ว

ซูเย่เป็นเด็กที่มีชีวิตชีวามาก เธอรีบวิ่งเข้าไปแยกเขี้ยวใส่กระรอก และจับมันออกมาอีกครั้ง

เย่ฟ่านเดินทางตลอดทั้งวัน ไปทางใต้เพื่อไปทำธุระเรื่องของผังป๋อ ดังนั้นเขาจึงทิ้งกระรอกไว้ที่บ้านของซูฉง

ไม่ต้องสงสัยเลย กระรอกตัวนี้สามารถดึงดูดทุกสายตาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ขนของมันนุ่มราวกับผ้าไหม ดวงตาและทั้วตัวใสราวกับคริสตัลสีม่วง ทำให้เด็กสาวอย่างซูเย่หลงไหลมันอย่างแน่นอน

ไม่ว่าซูเย่จะกินหรือนอน ก็จะอุ้มกระรอกตัวเล็กๆนี้ไว้เสมอ

ก่อนที่เย่ฟ่านจะจากไป เขาได้บอกกับกระรอกไม่ให้แสดงพลังเวทมนต์หรือเต๋าใดๆ ไม่เช่นนั้นกระรอกอาจจะไม่หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเหล่ามารที่แฝงตัวอยู่ในโลกได้

กระรอกไม่ชินกับการถูกคนอื่นจับตัวเช่นนี้ ปกติแล้วมันมักอยู่เพียงลำพังกับพระพุทธรูป มันไม่เคยอยู่ร่วมกับผู้ใดมาก่อน

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้เขามีความสุขได้คือการได้กินของอร่อยๆ ถ้าเป็นของกินแบบเมื่อก่อน กระรอดน้อยคงหนีไปนานแล้ว

กระรอกน้อยที่แอบอยู่ข้างหลังเย่ฟ่านมองซูเย่จากระยะไกล มันกลัวแม่มดตัวน้อยคนนี้จริงๆ

“เสี่ยวเย่หนูทำอะไรกันมัน ทำไมเสี่ยวซงถึงอยู่ในสภาพนี้ได้” เสี่ยวซงเป็นชื้อที่เย่ฟ่านตั้งให้กับกระรอก

“หนูใจดีกับเสี่ยวซงมาก แต่มันไม่เห็นคุณค่า มันทำให้หนูหงิดแทบเป็นบ้า”

เมื่อเย่ฟ่านเห็นกระรอกอยู่ในสภาพแห่งความคับข้องใข เขาจึงรีบปลอบโยนโดยพูดว่า จะไม่มีวันทิ้งมันไว้ตามลำพังอีกแล้ว

ชิ้นส่วนแจกันหยกทำให้เกิดการพูดถึงอย่างมากในแวดวงนักสะสม นั่นทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากที่เย่ฟ่านได้รับเงินส่วนหนึ่ง เขาขอให้ซูฉงช่วยหาบ้านสักหลัง ในบริเวณที่เงียบสงบ ปกติแล้วเมื่อเขากลับมา เขาต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกใครรบกวน

หลังจากที่เย่ฟ่านเดินทางโดยมีเสี่ยวซงติดไปด้วย เขาถูกถามหลายครั้งอย่างน่ารำคาญว่า ตัวเล็กๆสีม่วงบนไหล่ของเขาคืออะไร

มีบางคนที่ต้องการรายงานว่า เค้าเลี้ยงสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เป็นการส่วนตัว สัตว์ที่หายากเช่นนี้ควรได้รับการคุ้มครอง เย่ฟ่านรู้สึกเบื่อหน่าย ที่มีผู้เห็นอกเห็นใจต้องการแจ้งทางการเพื่อช่วยเหลือสัตว์ใกล้สูญพันธุ์

เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ทุกอย่างก็สงบลง เสี่ยวซงได้รับอิสรภาพ แต่ยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เย่ฟ่านแกะลูกโอ๊คอย่างระมัดระวังและมอบให้กับเจ้าตัวเล็ก

“ไม่จำเป็นต้องกลัว อยู่อย่างสบายใจ หากเจ้าไม่ต้องการอยู่ที่นี่ค่าจัดส่งเจ้ากลับบ้านได้ตลอดเวลา” เย่ฟ่านลูบหัวของมัน

เขาไม่รู้ว่าทำไม บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ากระรอกตัวนี้น่าสงสารมาก ความไร้เดียงสา ความไม่รู้ ความขี้ขลาดของมัน คือการแสดงออกถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุดของสิ่งมีชีวิต

เสี่ยงซงดูเหมือนจะเข้าใจ ในที่สุดมันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ในอนาคตแกจะมีชีวิตที่ดีมากกว่าที่เคยเป็น” เย่ฟ่านหยิบผลไม้สีแดงมีกลิ่นหอม ที่ดูเหมือนพระจันทร์เสี้ยวออกมา

ดวงตาของกระรอกสีม่วงสว่างขึ้นมองไปรอบๆและถามออกไปอย่างระมัดระวังว่าให้มันจริงหรือ?

“แน่นอนว่าจริง ไม่ต้องกังวลเลย ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า และถือว่าเป็นญาติเพียงคนเดียวของเจ้าในตอนนี้” เย่ฟ่านปลอบใจ

ในที่สุดความไม่สบายใจในส่วนลึกก็หายไป กระรอกหมุนตัวไปรอบๆ ถือผลไม้สีแดงยิ้มภายใต้รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสา

เย่ฟ่านตัดแก่นเงินเป็นชิ้นเล็กๆออกมา ทุบมันซ้ำไปซ้ำมา และหลอมมันเข้าด้วยกันด้วยพลังแห่งเต๋า ในที่สุดมันก็กลายระฆังเงิน แม้จะมีขนาดเล็กมากแต่ก็ส่งเสียงต้องกังวานไปไกลเมื่อถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งเต๋า

จากนั้นเขาก็ย่อขนาดของพระพุทธรูปลงและใส่เข้าไปไว้ในระฆังพร้อมกับห้อยไว้ที่คอของกระรอกตัวน้อย น้ำหนักที่มากมายมหาศาลของพระพุทธรูปนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกระรอกน้อยเลย

ในตอนแรกเย่ฟ่านยังไม่ได้เตรียมที่จะถ่ายทอดสิ่งใดให้กับกระรอกน้อย เขาต้องการรอจนกว่าจะกลับสู่เป่ยโต้วจึงจะเริ่มกระตุ้นให้มันเริ่มบ่มเพาะ ในตอนนี้เขาต้องการให้มันใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่า

เส้นทางการบ่มเพาะนั้นต้องเดินทีละขั้นรากฐานต้องมั่นคง ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมามากมาย

“คืนนี้ข้าจะสอนคัมภีร์โบราณของจักรพรรดิเทพอสูรให้เจ้าทำความเข้าใจก่อน”

เย่ฟ่านเคยคุยกับผังป๋อ เปรียบเทียบคัมภีร์โบราณและเรียนรู้เกี่ยวกับคัมภีร์จักรพรรดิชิงด้วยกัน

………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด