ตอนที่ 72 เทพจำแลงลี้ลับอีกครั้ง!
ทันทีที่กรีมัวร์เห็นร่างที่พิกลพิการไม่เหมือนมนุษย์ของเนียสแฟร์ วินาทีแรกคือความหวาดเกรงในพลังอำนาจของตัวตนระดับพระเจ้า ขณะที่วินาทีต่อมาหล่อนก็รู้ว่าสิ่งที่หล่อนกังวลนั้นเกิดขึ้นจริงแล้วเพราะอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ปนเปื้อนความชั่วร้ายเหลือคณานับได้โถมทับลงบนตัวหญิงชราทันทีที่เคลื่อนย้ายร่างผ่านเข้ามาภายในรอยแยกมิติ
ห้องทำงานขนาดไม่กี่ตารางเมตรก่อนหน้านั้นตอนนี้ มีเงาร่างมโหฬารของสิ่งมีชีวิตที่หล่อนคิดว่าเป็นต้นกำเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดกำลังทอดยาวไปทุกทิศทุกทาง ชั้นหนังสือและของวิเศษล้ำค้ามากมายเหมือนเป็นภาพเลือนลางกระพริบวูบวาบคล้ายไม่มีอยู่จริง กำแพงห้องสีขาวสี่ด้านกลายเป็นทะเลดวงดาวหลากสีที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นบรรยากาศของความหดหู่ โดดเดี่ยวและบ้าคลั่ง
ก่อนที่หญิงชราจะทันได้ตั้งสติและตรองดูทุกสิ่งให้แจ่มชัดมากกว่านี้ ความชั่วร้ายที่ปนเปื้อนอยู่ในอณูอากาศเหมือนหมอกแห่งความต่ำช้าที่ล่อลวงสิ่งมีชีวิตดีงามให้เลวทรามลงตามมัน ก็เริ่มส่งผลกับหล่อนเหมือนที่ทำกับเนียสแฟร์ผู้น่างสงสาร เกล็ดปลาสีดำและเทาปรากฎขึ้นบนร่างกายของกรีมัวร์ทีละจุด กลิ่นรุนแรงของคาวปลาลอยเข้าปะทะจมูกจนมึงงง ก่อนที่จะรู้ตัวว่าทุกสิ่งโดยรอบกลายเป็นก้นทะเลไร้แสง สีเงินสว่างและสีขาวราวไข่มุกเม็ดยักษ์ก็ปะทุขึ้นด้านหลังของนาง
ตรงช่องทางของรอยแยก ร่างของพ่อมดเฒ่าในชุดที่เรืองรองไปด้วยแสงสีเงินสว่างกำลังถือหินสีขาวขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงออกไปเบื้องหน้า หินสีขาวที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งกลับสามารถชำระล้างอาการปนเปื้อนใดๆรอบรัศมีห้าเมตรให้กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งได้ในทันที
หญิงชราที่เริ่มกังวลกับร่างอวตารของเทพเจ้าปริศนาตรงหน้ากลับมาเป็นปกติอย่ารวดเร็ว ก่อนจะรีบถลาไปยังร่างของเนียสแฟร์ แต่แล้วความรู้สึกเหมือนถูกกดทับก็กลับมาอีกครั้ง
“ฉันขอแสงมากกว่านี้!”
กรีมัวร์ที่ออกมาพ้นขอบเขตของหินสีขาวสัมผัสได้ถึงการรุกรานของพลังงานปนเปื้อนได้ทันทีหล่อนรีบส่งกระแสจิตไปบอกออสบอร์นที่อยู่ด้านหลัง
ออสบอร์นขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขาได้ใส่พลังเวทมนตร์ระดับกลางของตนไปจนเต็มกำลังแล้ว แต่มันไม่อาจขยายขอบเขตไปได้มากกว่านี้ อำนาจกดขี่ของเทพเจ้าองค์นี้ทรงพลังเกินไป พ่อมดเฒ่าจึงทำได้แต่รีบตามกรีมัวร์ไปยังร่างที่นอนฟุบอยู่ของประธานหอการค้าเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากอาณาเขตของหินสีขาว
หญิงชราไม่ได้ถามคำถามงีเง่าประเภทที่ว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาเห็นดวงตาต้นเหตุที่ลอยไปมาอยู่เบื้องหน้าของร่างอวตารแล้ว
ออสบอร์นรีบโยนขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ขวดใหญ่ไปให้กรีมัวร์ จากนั้นจึงกางม่านพลังเป็นทรงกลมขนาดใหญ่โดยมีร่างของพวกเขาสามคนอยู่ในนั้น
เนียสแฟร์สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเข้มข้นและพลังธาตุแสงบริสุทธิ์ที่ไหลลงคอทีละน้อย ทุกที่ในร่างกายของเขาที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลลงไปจะสัมผัสได้ถึงความเย็นสดชื่นและพลังชีวิตมหาศาล จากนั้นไม่นานอำนาจที่อัศจรรย์ก็กระจายไปทั่วร่างของเขาพร้อมกับความพิกลพิการที่หายไปอย่างรวดเร็ว สติปัญญาของเขาเริ่มแจ่มชัดอีกครั้ง
“มันคือเมอราม็อก”
ประธานหอการค้าวอร์ล็อคพูดด้วยเสียงที่แหบพร่า เขาเห็นร่างของกรีมัวร์ที่กำลังประคองเขาเอาไว้ในอ้อมแขนได้ชัดเจน แต่ท่ามกลางแสงสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์เขายังรับรู้ได้ว่ายังมีร่างของอีกคนที่ยืนปกป้องพวกเขาอยู่ด้านหน้าในตอนนี้ด้วย
“คุณแน่ใจนะ?”
ชื่อของเมอราม็อกไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ มันคือเทพเจ้ายุคเก่าที่มีที่มาอันเป็นปริศนา ยังมีเทพเจ้าเช่นนี้อีกหลายองค์ซึ่งล้วนมีชื่อเสียงอยู่ในยุคเดียวกันกับเมอราม็อก
แต่ไม่ใช่ว่าเทพเจ้าเหล่านั้นร่วงหล่นไปหมดแล้วหรือ?
“เป็นมันแน่นอน รูปร่างของมันตรงกับที่บรรยายเอาไว้ในเอกสารโบราณ และมันก็บอกชื่อนี้ออกมาตอนผมถามมัน”
เนียสแฟร์อธิบาย
“คุณไม่ควรมองรูปลักษณ์ของสิ่งนั้นโดยตรงนะเนียสแฟร์ ยิ่งพูดคุยกับมันยิ่งไม่ควร มันอาจล่อลวงคุณได้”
หญิงชราไม่สงสัยเลยว่าทำไมเวลาเพียงไม่นาน ประธานหอการค้าคนนี้จึงเกือบกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดไปโดยสมบูรณ์
“ผมขอโทษ”
เนียสแฟร์มีสีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมาในทันที แต่ตอนนั้นเองเสียงของชายปริศนาอีกคนที่ยืนปกป้องพวกเขาอยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้น
“ผมว่าตอนนี้เราควรกังวลกับไอ้หน้าหนวดตัวโตตรงหน้าดีกว่า เราจะทำอย่างไรกันดี”
“ออสบอร์น หน้าหนวดหรือ? คุณไม่ควรมองมันตรงๆ”
กรีมัวร์มีน้ำเสียงหวาดวิตก เธอรีบลุกขึ้นเดินไปทางออสบอร์นทันที สีหน้าของหญิงชรามีแววตื่นตระหนก
“ไม่ต้องห่วงผม ผมสบายดี แต่ให้ตายเถอะกรีมัวร์ ไอ้นี่มันอัปลักษณ์เป็นบ้า”
เสียงของพ่อมดเฒ่ายังคงบ่งบอกว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของตัวตนระดับพระเจ้าตรงหน้าเลย หญิงชราไม่รู้ว่าตนต้องทำอย่างไรกันแน่ ออสบอร์นสร้างความแปลกใจให้กับหล่อนได้เสมอ
“เราต้องทำลายดวงตานั่น มันเป็นวัตถุที่อัญเชิญร่างอวตารลงมาที่นี่”
เสียงของประธานหอการค้าดังขึ้นแทรกทุกคน
“อย่างนั้นก็ง่ายหน่อย กรีมัวร์ คุณดูแลเขาอยู่ในนี้ห้ามออกมาเด็ดขาด”
พูดจบร่างในชุดคลุมสีเงินก็กระโจนออกจากม่านพลังทรงกลม ชายชราโบกมือขึ้นไปบนอากาศว่างเปล่า สายน้ำที่ดูศักดิ์สิทธิ์เริ่มหมุนวนขึ้นเหนือม่านพลังและห่อหุ้มมันเอาไว้ทุกทิศทาง นี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ออสบอร์นเก็บเอาไว้ในพื้นที่เก็บของ การทำเช่นนี้กับม่านพลังมีเป้าหมายเพื่อป้องกันผลกระทบจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเมอราม็อก ในขณะที่เขานำหินสีขาวออกไป
หมอกควันสีเทาที่รวบรวมเหล่าวิญญาณอันน่าสงสารนับร้อยรีบผละจากหนังสือครึ่งเล่มที่เหลืออยู่และตรงมายังร่างสีเงินของออสบอร์นในทันทีที่เขาเหยียบลงบนพื้นนอกม่านพลัง ไม้เท้าระดับตำนานเรืองรองไปด้วยแสงสีเงินมากกว่าวัตถุใด มันโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าของออสบอร์นและฉายแสงสีเงินออกไปเป็นรูปใบพัดยาวนับร้อยเมตร นี่คือไม้เท้าแห่งเทลเพริออนที่ออสบอร์นเก็บเอาไว้ในที่เก็บของก่อนหน้านั้น
พายุวิญญาณขั่วร้ายมากมายถูกแสงสีเงินส่องทะลุจนเป็นรูพรุนนับไม้ถ้วน เสียงกรีดร้องทุกข์ทรมานดังขึ้นซ้อนทับกันจนสับสนวุ่นวาย เสียงเหล่านี้ดังขึ้นต่อเนื่องหลายวินาทีก่อนจะค่อยๆหายไปพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวที่ระเหยออกไปจากกลุ่มพายุวิญญาณ
ร่างอวตารสูงใหญ่เหลือประมาณชะโงกหน้าเข้าหาร่างของพ่อมดเฒ่าทันที มันไม่ได้คาดหวังว่ากลุ่มคนที่แปลกประหลาดพวกนี้จะทนทานต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ชั่วร้ายของมันได้
ตอนนั้นเองออสบอร์นก็ได้เห็นใบหน้าของมันอย่างแจ่มชัด สิ่งมีชีวิตตนนี้มีศรีษะล้านเลี่ยนแต่มีหนวดเนื้อพริ้วไหวตั้งแต่ใต้จมูกลงมา มันสวมเสื้อคลุมสีเขียวมีแขนสี่ข้างและมีปีกใหญ่โตที่คล้ายปีกของค้างคาว ชื่อหนึ่งที่แสนคุ้นเคยในโลกเก่าปรากฎขึ้นในความคิดของออสบอร์นทันที “คธูลู”
คธูลูคือเทพเจ้าชั่วร้ายที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก ความเชื่อมโยงของมันกับอวตารชั่วร้ายตรงหน้าเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ในโลกใบนี้ผู้คนกลับเรียกมันว่า “เมอราม็อก” ตัวตนที่มีบทบาทไม่ต่างไปจาก“คธูลู”ในโลกเก่าของเขามากนัก
ในช่วงรุ่งเรืองของวัยหนุ่ม ศาสตราจารย์เช่นเขาเคยศึกษาแผ่นหินของชนเผ่าโบราณที่เล่าถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของคธูลูเอาไว้อย่างละเอียด เรื่องราวลึกลับเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจของออสบอร์นมากนัก เขาได้มอบมันให้กับเพื่อนนักโบราณคดีอีกคนหนึ่งก่อนจะเลิกให้ความสนใจและลืมเรื่องนี้ไปสนิท จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย
แต่โชคชะตาไม่ใช่สิ่งบังเอิญ เขากลับมาพบมันอีกครั้งในบทบาทของร่างอวตารมีชีวิต ไม่ใช่รูปสลักนูนต่ำในแผ่นหินอายุสามพันปีอีกแล้ว
เข็มกลัดบนหน้าอกของออสบอร์นส่องสว่างขึ้นตามความนึกคิดของเขา พลังเวทมนตร์มหาศาลเริ่มไหลบ่าเข้าหาร่างกายอันแก่ชราด้วยความเร็วคงที่ หากเป็นวัตถุเวทมนตร์ปกติการบีบอัดพลังเวทย์ระดับตำนานเข้าสู่ร่างของนักเวทย์ระดับกลางล้วนเป็นหนทางสู่ความตายเท่านั้น แต่เข็มกลัดดวงดาวนั้นเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อออสบอร์นโดยเฉพาะ มันเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือเขาเหมือนเป็นอวัยวะที่สามสิบสามไม่อาจมองว่าเป็นสิ่งของภายนอกได้เลย ทำให้พลังเวทย์หนึ่งพันหน่วยถูกถ่ายโอนไปหาออสบอร์นได้อย่างราบรื่น
ร่างอวตารมโหฬารขยับแขนสี่ข้างของมันพร้อมกันอีกครั้ง ฝ่ามือใหญ่โตทั้งสี่พุ่งเข้าหาร่างของออสบอร์นจากทุกทิศทาง เพียงอึดใจก็ย้ายมาปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเขาเหมือนถูกเคลื่อนผ่านมิติที่ไม่มีอยู่เข้ามาปะทะกับร่างของออสบอร์นโดยตรง
ไม้เท้าแห่งเทลเพริออนลอยออกไปยังทิศทางของฝ่ามือหนึ่งในสี่อย่างกล้าหาญ มันที่เป็นวัตถุเวทมนต์ระดับตำนานไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อฝ่ามือของร่างจำแลงเลย เมื่อมองไปยังทิศทางตรงกันข้ามวงแหวนดวงดาวเองก็เปล่งประกายด้วยแสงสีเงินสดใส ก่อนจะวิ่งวนเป็นวงกลมรอบตัวของออสบอร์นหนึ่งรอบและพุ่งออกไปยังฝ่ามืออีกข้างที่ตรงเข้ามา
ฝ่ามือที่เหลืออีกสองข้างที่ไม่มีสิ่งใดคอยป้องกันเอาไว้ ถูกงอเข้ามาจนเป็นลักษณะกรงเล็บเตรียมตะปบไปที่ร่างในชุดคลุมสีเงิน หนวดเคราสีขาวของออสบอร์นพัดกระพือไปตามแรงลมที่ถูกผลักดันมาจากฝ่ามือมโหฬารสองข้าง เสื้อคลุมและหมวกเปล่งแสงสีเงินสว่างด้วยอำนาจของเส้นไหมวิเศษเบื้องหน้าคือหินสีขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศปล่อยรัศมีที่ดูศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังออกมาต้านทานฝ่ามือของร่างอวตารอย่างท้าทาย เป็นภาพของวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่แผ่นหลังตั้งตรงไม่หวั่นไหวเมื่อยามเผชิญหน้ากับอสููรกายยักษ์ตามนิทานก่อนนอนที่ผู้ใหญ่ชอบเล่าให้เด็กฟัง หากแต่วีรบุรุษผู้นี้เป็นชายชราไม่ใช่อัศวินหนุ่มรูปงดงามตามแบบฉบับของนิทานดั้งเดิม
หินสีขาวส่องแสงเรืองรองประดุจดวงจันทร์ยามค่ำ มันยิ่งมายิ่งใหญ่โตจากรัศมีไม่กี่เมตรก็กระจายออกไปทุกทิศทุกทางกลายเป็นดาวเคราะห์สีเงินขนาดย่อมใต้ผืนจักรวาลที่ชั่วร้ายบ้าคลั่ง
ฝ่ามือสองข้างจากที่ใหญ่โตมโหฬารจนคล้ายกับว่าสามารถปิดผนึกท้องฟ้าได้ทั้งผืน กลับไม่อาจปิดผนึกแสงสีขาวของหินวิเศษเอาไว้ได้ ร่างที่แก่ชราโบกฝ่ามือเหี่ยวแห้งไปเบื้องหน้า ไม้เท้าสีเงินก็เร่งเร้าแสงออกมาและปะทะเข้ากับฝ่ามือข้างหนึ่งโดยตรง
เสียงคล้ายกับฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากทิศทางเดิมหลายร้อยเมตรก่อนที่ไม้เท้าจะลอยกลับมาเบื้องหน้าของออสบอร์นอีกครั้ง
ฝ่ามืออีกข้างตะปบลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน หมายจะบดขยี้ร่างในชุดคลุมสีเงินให้ย่อยยับเหมือนกับหนังสือวิเศษทั้งสามเล่มก่อนหน้านั้น แต่วงแหวนดวงดาวไปอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ มันที่มีจิตวิญญาณของวัตุถเวทมนตร์ระดับตำนานรีบเปล่งพลังอำนาจของดวงดาวออกมาอย่างรีบร้อน ลำแสงสีเงินนับร้อยแฉกสาดส่องไปยังฝ่ามือใหญ่โตดุจขุนเขา เสียงฉ่าๆเหมือนเสียงเนื้อถูกเผาบนกะทะเหล็กที่ร้อนจัดดังขึ้นต่อเนื่องหลายวินาที อำนาจกดขี่ของฝ่ามือถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ในวินาทีต่อมาวงแแหวนดวงดาวก็เร่งความเร็วและลอยออกไปโดยทิ้งเส้นแสงสีขาวเป็นทาง มันพุ่งทะลุกลางฝ่ามือยักษ์จนเป็นรอยแตกร้าวไปครึ่งหนึ่ง
ฝ่ามือสองข้างถูกวัตถุเวทมนตร์ระดับตำนานของออสบอร์นสกัดกั้นเอาไว้ได้ ในขณะที่อีกสองข้างถูกหินแสงสีขาวต่อต้านเอาไว้อย่างแข็งขัน
พ่อมดเฒ่าไม่รีรอให้ร่างอวตารตั้งรับได้ทัน เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ในมุมหนึ่งที่เหนือขึ้นไปหลายพันเมตร แสงสีแดงของอุกาบาตพุ่งทะลุห้วงอวกาศดำมืดมายังทิศทางของร่างอวตารอย่างรวดเร็ว วงแหวนดวงดาวที่ทำร้ายฝ่ามือไปหนึ่งข้างกำลังสั่นสะท้านเพราะอำนาจวิเศษของมันถูกออสบอร์นบังคับใช้
อุกาบาตสีแดงดุจเปลวเพลิงของดวงอาทิตย์ ส่องสว่างแดนนิมิตบิดเบี้ยวจนแดงโร่เหมือนเตาเผาของช่างตีเหล็ก อากาศร้อนระอุลามเลียไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่าของห้วงอวกาศ พายุวิญญาณที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยถึงกับระเหยหายไปจนหมดหลังจากที่อุกาบาตปรากฎขึ้นภายในไม่กี่วินาที ร่างอวตารค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มันเคยกำแหงโอหัง ฟองอากาศเหมือนบรรยากาศใต้นำผุดพลายขึ้นนับไม่ถ้วน ก้นทะเลลึกที่เกิดจากอำนาจของเทพเจ้าชั่วร้ายองค์นี้กำลังเดือดปุดๆเหมือนถูกต้มด้วยเปลวเพลิงจากภูเขาไฟลูกยักษ์ตามรอยแตกของเปลือกโลก
ปีกสองข้างของเมอราม็อกเริ่มพัดไปยังทิศทางของอุกาบาต มันคิดจะใช้อำนาจของเทพเจ้าพัดเอาอุกาบาตสีแดงออกไปหรือหมายจะทำลายดวงอาทิตย์เล็กๆดวงนี้โดยตรง เสียงเสียดสีของลมพายุดังขึ้นตามจังหวะของปีกค้างคาวที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดน่าขยะแขยง ใบมีดสายลมที่ประกอบขึ้นจากดวงวิญญาณชั่วร้ายนับหมื่นเริ่มแจ่มชัดขึ้น ใบหน้าของดวงวิญญาณเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน อารมณ์เชิงลบมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายในกำลังพยายามหาช่องทางระบายความโกรธแค้นของมันออกไปอย่างบ้าคลั่ง จนเมื่อสายลมคมกริบนับกิโลเมตรก่อตัวจนเสร็จสิ้น พวกมันก็รีบพุ่งตรงไปยังอุกาบาตด้วยความเร็วที่ตาของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
เสียงแหวกอากาศดังสะเทือนห้วงมิติเหมือนเสียงของขบวนรถไฟนับร้อยวิ่งออกไปพร้อมกัน ทุกเสียงมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียว นั่นคือทิศทางของอุกาบาตสีแดงเพลิง
เมื่อใบมีดสายลมอันชั่วร้ายปะทะกับดวงอาทิตย์จำแลงของออสบอร์น เสียงดังดุจฟ้าถล่มก็สะท้านสะเทือนไปทั่วห้วงอวกาศ พร้อมกันนั้นแรงปะทะรุนแรงก็ระเบิดขึ้นจากจุดศูนย์กลางของอำนาจอันยิ่งใหญ่ทั้งสอง มันกระจายออกไปเป็นวงกว้างรอบทิศ พัดเอาอณูเล็กอณูน้อยที่ไม่มีอยู่จริงกระจายหายไปคนละทิศทาง
ร่างอวตารจับจ้องไปที่จุดปะทะเหนือท้องนภาดำมืด เศษอุกาบาตเริ่มร่วงหล่นจากฟากฟ้าลงมาเบื้องล่างเป็นสะเก็ดดาวดวงเล็กดวงน้อย อากาศร้อนระอุเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วตามอำนาจกดขี่ของอุกาบาตที่สลายหายไปหลังการปะทะ
อุกาบาตที่เกิดจากวงแหวนดวงดาวไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงหน้าได้ พ่อมดเฒ่าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคาถาระดับตำนานจะสามารถหยุดยั้งร่างอวตารของเทพเจ้าองค์นี้เหมือนกับการสะกดข่มต่อศัตรูที่ผ่านมา
ดวงตาชั่วร้ายของร่างอวตารเลื่อนลงมาจากทิศทางของอุกาบาต มันจับจ้องมองไปยังร่างในชุดคลุมสีเงินที่หาญกล้าท้าทายอำนาจของเทพเจ้าอย่างเยาะเย้ยและสมเพช ถึงแม้คาถาระดับตำนานจะสร้างความแปลกใจให้กับมันได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายของมัน ในช่วงเวลาที่ผ่านมานับไม่ถ้วน พ่อมดเป็นตัวตนที่มันเกลียดมากที่สุดเพราะผู้ที่กักขังมันเอาไว้ในห้วงมิติคับแคบนี้ก็คือข้ารับใช้ของผู้ทรงพลังในดินแดนต้นกำเนิดอย่างพวกพ่อมด ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรับรู้ถึงเวลาที่ผ่านพ้นไปในโลกภายนอกได้แต่มันก็คาดเดาได้ว่าเวลาที่ล่วงเลยไปนั้นย่อมยาวนานเกินอายุขัยของพ่อมดระดับตำนานอย่างแน่นอน แต่จนถึงวันนี้พ่อมดระดับตำนานกลับมาปรากฎตรงหน้ามันอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงอาการปนเปื้อนจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจระคายผิวของร่างในชุดคลุมสีเงิน
ตัวตนของบุคคลนี้ย่อมไปธรรมดา
ร่างอวตารถอนฝ่ามือทั้งสี่ข้างกลับไป มันค่อยๆยันกายลุกขึ้นจากบัลลังก์หัวกะโหลกขนาดยักษ์ น้ำหนักของฝ่าเท้าสัมผัสลงบนพื้นผิวที่เป็นแอ่งน้ำเบื้องล่าง จนเกิดเสียงของผิวน้ำที่กระทบพร้อมกับเสียงของพื้นดินแตกแยกดังขึ้นตามท่าทางการลงน้ำหนักของมัน ปีกค้างคาวม่วงคล้ำถูกเก็บเข้าไปเบื้องหลัง เมื่อก้าวแรกถูกย่างลงไปเบื้องหน้าร่างทั้งร่างก็พร้อมจะกระโจนออกไปตลอดเวลา
ออสบอร์นเริ่มมีสีหน้ากดดันมากขึ้น เขาเหลียวมองไปด้านหลัง ร่างกายของเนียสแฟร์ตอนนี้เริ่มฟื้นคืนกลับมาโดยสมบูรณ์ กรีมัวร์เห็นสายตาของออสบอร์นมองมาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ
จิตสัมผัสของหญิงชราสร้างเสียงขึ้นในหัวของออสบอร์นทันที
“คุณถ่วงเวลาร่างอวตารไว้ เราจะกำจัดดวงตานั่นเอง”
พ่อมดเฒ่าพยักหน้าอย่างเร่งรีบก่อนจะเดินออกไปเบื้องหน้าเพื่อประจันบานกับร่างอวตารยักษ์ของเทพเจ้า
เข็มกลัดบนหน้าอกของออสบอร์นเรืองแสงสีเงินออกมาพร้อมกับไม้เท้าที่ลอยอยู่เบื้องซ้ายและวงแหวนดวงดาวที่ลอยอยู่เบื้องขวา เหนือศรีษะคือหินสีขาวเท่ากำปั้นที่ส่องแสงปกคลุมไปทั่วรัศมีห้าเมตร ร่างเล็กจ้อยเท่าเล็บมือของเมอราม็อกเรืองรองไปด้วยอำนาจแห่งแสงที่บริสุทธิ์และเข้มข้น อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเทพชั่วร้ายไม่อาจย่างกลายเข้ามาได้แม้แต่นิดเดียว
“ตาย…ให้…ข้า”
เสียงขาดห้วงของร่างอวตารเอ่ยขึ้นขณะที่ตัวของมันเดินเข้ามาใกล้ออสบอร์นมากขึ้นทุกขณะ
“ติดอ่างแล้วอยากจะพูดมากอีก”
พ่อมดเฒ่าเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย เข็มกลัดบนหน้าอกของเขาเริ่มส่องแสงสว่างเรืองรองมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
เมอราม็อกขมวดคิ้วที่ไม่มีอยู่ของมันจนหน้าตาบูดบึ้ง มันไม่เข้าใจคำพูดของพ่อมดตัวเล็กจ้อยตรงหน้า
ตอนนั้นเองเหนือแดนมิติบิดเบี้ยวที่จะว่าเล็กเท่าห้องห้องหนึ่งหรือจะกว้างใหญ่เท่าอวกาศไร้ขอบเขตก็ยากจะเข้าใจได้ กลับปรากฎร่างจำแลงใหญ่โตขึ้นด้านหลังของออสบอร์น ร่างนั้นเป็นเงาดำสนิทไร้ใบหน้าไร้ความรู้สึก เมฆหมอกหลากสีสันพร้อมกับดวงดาวนับล้านฉาบทาเป็นพื้นหลังของเงาดำขนาดใหญ่ แสงและเงามากมายเกิดความปั่นป่วนโกลาหล อำนาจแห่งกฎเริ่มสับสนและวุ่นวาย จากเดิมที่เป็นแดนก้นทะเลไร้แสงในทุกตารางเมตร บัดนี้ดินแดนมิติครึ่งหนึ่งเริ่มปกคลุมไปด้วยกฎและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตแห่งแสงอย่างรวดเร็ว พวกเนียสแฟร์และกรีมัวร์ที่อยู่ด้านหลังออสบอร์นหลุดพ้นจากดินแดนที่ปนเปื้อนจากพลังของเมอราม็อกและเข้าสู่ขอบเขตของดินแดนแห่งแสงในทันที
ร่างเทพจำแลงลี้ลับปรากฎขึ้นอีกครั้ง!