บทที่ 9 ปล่อยให้ซอมบี้สอนกฎแห่งการเอาตัวรอด
บทที่ 9
ปล่อยให้ซอมบี้สอนกฎแห่งการเอาตัวรอด
ถึงแม้เว่ยเฉียงจะเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มอันธพาลก็ตาม แต่ถ้าเขาออกไปเสี่ยง ก็คงไม่พ้นต้องเผชิญหน้ากับพวกซอมบี้...
เว่ยเฉียงตบไหล่หลิวเหล่ย
“แต่ว่า นายคงต้องไปสำรวจเส้นทางให้ฉันก่อน”
ขณะพูดเขาก็หันไปขยิบตา พวกอันธพาลต่างเข้าใจทันที รีบย้ายของที่พิงประตูเอาไว้ออกทั้งหมด
หลิวเหล่ยใจหายไปอยู่ที่ตาตุ่ม แน่นอนว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับซอมบี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อมีปืนจ่อหัวอยู่ จะปฏิเสธไม่ไปก็คงไม่ได้
เพื่อความแน่ใจ เขาดึงหม่าเชี่ยนเชี่ยนไปที่ประตู เมื่อเขาเปิดประตู ก็ผลักหม่าเชี่ยนเชี่ยนออกไป แล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว
หม่าเชี่ยนเชี่ยนตกใจจนแทบสลบ เธอยกมือขึ้นปิดปากและหมอบอยู่ตรงหน้าประตู ไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าบนทางเดินไม่มีการเคลื่อนไหว คนไม่กี่คนที่ฟังเสียงอยู่ตรงประตู ก็เปิดประตูออกไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าหม่าเชี่ยนเชี่ยนยังอยู่ดี หลิวเหล่ยก็ถูกผลักตามออกมา เขาตกใจจนหน้าซีด ต่อให้เขาพยายามขอร้องเพื่อกลับเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ เขายืนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง ก่อนมองไปรอบ ๆ บนทางเดิน แต่ก็ไม่พบซอมบี้สักตัว
เขาหันกลับไปเคาะประตู “พี่เฉียง ออกมาได้ แถวนี้ไม่มีซอมบี้”
ขณะนั้นเว่ยเฉียงยืนพิงประตูอยู่ หลังจากเช็กกระสุนปืนแล้วพบว่าเหลือกระสุนเพียงนัดเดียว เขาจึงไม่กล้าออกไปเสี่ยง
ผ่านไปกว่าหนึ่งนาที หลิวเหล่ยก็เคาะประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้เคาะดังขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่าไม่มีวี่แววพวกซอมบี้เลย แสดงว่าชั้นนี้ปลอดภัย
“เปิดประตู”
ประตูกันขโมยเปิดออก เว่ยเฉียงเดินออกมาพร้อมกับปืน ขณะใช้มืออีกข้างปิดจมูกเอาไว้ เพราะมีแต่กลิ่นคาวเลือดเต็มไปหมด เขาและบรรดาลูกน้องค่อย ๆ เดินลงไปทีละขั้น พวกเขาเห็นพวกซอมบี้นอนอยู่บนทางเดินและขอบหน้าต่าง ร่างของพวกมันเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า จนทำให้พวกเขาอยากอาเจียนออกมา
ขณะที่เว่ยเฉียงพยายามตั้งสติ เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
ซอมบี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงขอบหน้าต่าง หัวของมันถูกบางอย่างฟาดจนหัวแตก นี่มันตายแล้วเหรอ?
เขาก้าวเข้าไปช้า ๆ โดยไม่สนใจสภาพศพเท่าไหร่นัก เขาสนใจแค่ปืนที่ตกอยู่
เนื่องจากศพซอมบี้ล้วนเป็นตำรวจที่ตายไป และพรรคพวกของเขาก็ต้องการปืน
พวกเขาเก็บสิ่งของที่ยังพอใช้ประโยชน์ได้จากซากศพ ตอนนี้ทุกคนมีปืนคนละกระบอก ทำให้มีความกล้ามากขึ้น พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง
“ลูกพี่ มาดูตรงนี้สิ พวกซอมบี้มันตายหมดแล้ว!”
ในที่สุดเว่ยเฉียงก็เดินมาถึงหน้าห้อง 301 ด้วยความฮึกเหิม เขาเคาะประตูอย่างแรง
“เปิดประตู เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ยอมเปิดให้ดี ๆ ฉันยิงแกแน่!”
ตอนนี้มีกระสุนเหลือเฟือ เขาไม่สนหรอกว่าจะต้องเสียกระสุนแค่นัดเดียว
เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ เว่ยเฉียงก็หงุดหงิดมากขึ้น ก่อนชักปืนออกมาเล็งที่กลอนประตูแล้วลั่นไก “ปัง”
...
ขณะเดียวกันเฉินเทียนเซิงยังอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เขาใส่น้ำแร่ อาหารกระป๋อง ช็อกโกแลต และของใช้ที่จำเป็นเข้าไปในกระเป๋าเป้อวกาศให้ได้มากที่สุด จนกว่าเขาจะแบกไม่ไหว ก่อนนำของทั้งหมดกลับขึ้นไป
ก้าวหนึ่งก้าวหายใจหนึ่งที เขาพยายามเดินกลับมาถึงทางขึ้น เมื่อลองไต่เชือกดูแล้ว เขาพบว่าการไต่เชือกครั้งนี้เหนื่อยกว่าการฆ่าซอมบี้ซะอีก
เขาต้องใช้ความทุ่มเทอย่างมากในการไต่เชือกกลับขึ้นมา เมื่อเขานำของทั้งหมดออกจากกระเป๋าเป้อวกาศ ภายในห้องครัวและห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยของที่ขนขึ้นมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต
“ไต่เชือกรอบนี้เหนื่อยเป็นบ้า ถึงได้ของกลับมาเยอะ แต่มันเหนื่อยกว่าฆ่าซอมบี้ไปหลายขุมเลย”
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งดังมาจากนอกโถงทางเดิน กำลังโวยวายส่งเสียงดังอยู่หน้าประตูห้อง
“พวกโง่นี่ เสียงดังมาสองนาทีแล้วยังไม่หยุดอีก!”
ไหนจะกระแทกประตู ไหนจะโวยวายลั่น ทำเหมือนกับซอมบี้เป็นอากาศเนี่ยนะ?
“เปิดประตู บอกให้เปิดประตูไงเล่า ถ้าไม่ยอมเปิดดี ๆ ฉันยิงอีกแน่!”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง
“ปัง!”
เสียงปืนดังสนั่นก้องกังวานไปทั่วทั้งตึก
แววตาของเฉินเทียนเซิงเย็นชาลง พร้อมกับแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
“พวกแกหาเรื่องตายกันชัด ๆ!”
นอกประตู เว่ยเฉียงและคนอื่น ๆ ยังคงทุบประตูและส่งเสียงดังไม่หยุด โดยไม่รู้เรื่องเลยว่าการยิงปืนอย่างอุกอาจจะนำไปสู่อะไร
“ตึง!”
“ตึง ตึง”
“ตึง ตึง”
กลุ่มคนข้างนอกยังคงเคาะประตูครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินเทียนเซิงก็ได้แต่ทนฟังอยู่เงียบ ๆ
ท้ายที่สุดเฉินเทียนเซิงแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้พวกซอมบี้แถวนี้สอนพวกเขาถึงกฎแห่งการเอาตัวรอดก็แล้วกัน
ในขณะที่พวกอันธพาลเริ่มส่งเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ซอมบี้บางตัวก็คำรามพร้อมวิ่งตรงเข้ามา
“พี่เฉียง มีซอมบี้ รีบหนีเร็ว!”
กลางโถงทางเดิน หลังจากพวกอันธพาลเห็นซอมบี้ ความโกลาหลก็เริ่มต้นขึ้น
การต่อสู้ เสียงฝีเท้า ทุกคนต่างวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่มีการเหลียวหลังกลับไปมองใครทั้งนั้น
หลิวเหล่ยวิ่งกลับมาถึงห้อง 601 เป็นคนแรก ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตู ก็พบว่าตัวเองทำกุญแจห้องหาย
“ตึง ตึง ตึง”
“รีบเปิดประตู เปิดประตูให้ฉันเร็วเข้า!”
มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมเปิดประตูให้ หลังจากที่พวกเขาออกจากห้องไปแล้ว
ไม่นานพวกอันธพาลที่เหลือก็วิ่งตามกันขึ้นมา พวกเขาต่างทุบประตูด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่ว่าจะทุบประตูหรือส่งเสียงเรียกไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีใครยอมเปิดประตูให้พวกเขาเลย
“ไปถ่วงเวลาพวกซอมบี้ซะ”
เว่ยเฉียงดึงลูกน้องคนหนึ่งออกไปยังทางเดิน เพื่อใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ขวางทางพวกซอมบี้เอาไว้ ในขณะที่เขาไม่ยอมแพ้ รีบยกปืนขึ้นมา
“ปัง ปัง”
เนื่องจากเขาไม่เคยยิงปืนมาก่อน วิถีกระสุนจึงไม่มีความแม่นยำเหมือนกับผู้กองหวัง
เมื่อเห็นว่าซอมบี้ไม่เป็นอะไร พวกเขาก็เหลือเพียงความสิ้นหวัง ในที่สุดก็ถูกกัด ก่อนซอมบี้ที่เหลือจะวิ่งเข้ามารุมฉีกกระชากร่างของเขา
“เปิดสิโว้ย!”
ขณะที่เว่ยเฉียงตื่นตระหนก เขาสามารถพังประตูเข้าไปได้สำเร็จ
เขาดึงประตูอย่างรุนแรง พยายามแทรกตัวเข้าไป
คนกลุ่มหนึ่งเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตู แต่เว่ยเฉียงซึ่งเต็มไปด้วยแรงผลักดันที่อยากมีชีวิตรอด ผลักลูกน้องอีกหลายคนไปข้างหลัง เพื่อใช้พวกเขาเป็นโล่ขวางทางพวกซอมบี้ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ปลอดภัย
“ปิดประตู!”
หลิวเหล่ยและหม่าเชี่ยนเชี่ยนตามเขาเข้ามาติด ๆ ตามด้วยอันธพาลที่เหลือ แล้วช่วยกันดันประตูปิด
จนกระทั่งประตูปิดลง หลายคนต่างวิ่งไปช่วยกันดันประตู พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ฝูงซอมบี้ดันทะลุเข้ามาในห้องได้
ขณะเดียวกันนั้นเว่ยเฉียงก็โกรธมาก เล็งปืนไปที่ผู้หญิงอีกคน
“นี่แกขังพวกฉันไว้ข้างนอกให้ถูกซอมบี้กินเหรอ แกอยากลองดีมากนักใช่ไหม!”
“ฉันไม่ ฉันไม่ได้!”
ผู้หญิงที่ถูกเขาข่มขืนกลัวจนร้องไห้ ก่อนนั่งคุกเข่าลงกับพื้นและหมอบกราบขอความเมตตา
แต่ไม่ว่าเธอจะขอร้องยังไง เว่ยเฉียงก็ไม่หายโกรธ เธอถูกเขาต่อยและเตะอยู่พักใหญ่ จนใบหน้าของเธอบวมปูดและซีดขาวราวกับคนใกล้ตาย
“ทีนี้จำเอาไว้ นี่คือบทลงโทษหากคิดทรยศฉัน!”
เว่ยเฉียงตะคอกด้วยความโกรธ คนอื่นที่ดันประตูอยู่ นอกจากกลัวซอมบี้แล้ว ยังต้องมากลัวเว่ยเฉียงเพิ่มอีก
แต่ครั้งนี้พวกเขาสูญเสียไปมาก ลูกน้องสี่จากสิบคนต้องจบชีวิตลง แถมปัญหาเรื่องความอิ่มท้องยังแก้ไม่ได้อีก ตอนนี้ เว่ยเฉียงไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ส่วนในใจของหลิวเหล่ยตอนนี้ เขารู้สึกโกรธแค้น เฉินเทียนเซิงมากขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา แขนฉันคงไม่หัก และฉันคงไม่ต้องมายุ่งกับเจ้าโง่เฉียงนี่ด้วย ไม่ต้องมาทนลำบากแบบนี้
เดิมทีเฉินเทียนเซิงเป็นแค่ลูกบ้าน ในฐานะเจ้าของ เขาสามารถไล่อีกฝ่ายออกไปได้อย่างสบาย ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว มีทางเดียวที่จะสะสางความโกรธนี้ได้คือต้องกำจัดเขาทิ้ง
ทางด้านหม่าเชี่ยนเชี่ยนก็ได้แต่สับสน ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองคงได้นอนนับเงินหลังจากคบหากับหลิวเหล่ย แต่ใครจะไปคิดว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นแบบนี้
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจและสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้เฉินเทียนเซิงยังรักเธออยู่ ถ้าพวกเขายังอยู่ด้วยกัน ป่านนี้คงนั่งอิ่มท้องอย่างสบายใจไปแล้ว
“ฮือฮือ”
หลังจากนั้น หม่าเชี่ยนเชี่ยนก็นึกอะไรขึ้นได้
ก่อนหน้านี้เฉินเทียนเซิงก็เปลี่ยนไป แถมยังกักตุนอาหารและน้ำไว้มากมาย เป็นไปได้ไหมว่าเขารู้เรื่องวันสิ้นโลกก่อนแล้ว?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ตราตรึงไม่เลือนหายไป ง่าย ๆ
ถ้าเขารู้ว่าจะเกิดวันสิ้นโลกขึ้นอย่างที่คัมภีร์ของศาสนาคริสต์บอก แต่ก็กลับเก็บเงียบไว้คนเดียว เฉินเทียนเซิง นายกล้าดียังไงถึงทำกับฉันแบบนี้!