บทที่ 55 เข้าไปกู้ภัยในเมือง(ฟรี)
บทที่ 55
เข้าไปกู้ภัยในเมือง(ฟรี)
ในห้างมีสินค้ามากมาย ทั้งอาหารและเสื้อผ้า ทว่าเดินวนขึ้นลงอยู่หลายครั้งก็ยังไม่พบอาวุธที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้
ในขณะที่เฉินเทียนเซิงขมวดคิ้ว ลัวหลงก็เดินมาหาในสภาพเหงื่อซ่ก
“อาจารย์ จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ศพหลายร้อยถูกโยนไว้ที่หลังคาและเผาหมดแล้ว ผมเหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“เยี่ยมมาก ขอบใจที่นายทุ่มเทขนาดนี้ ไปพักก่อนเถอะ เราต้องออกไปกู้ภัยช่วงบ่ายกันต่ออีก”
ว่าจบก็เขาก็ส่งโยนน้ำดื่มให้เด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับ อาจารย์”
ลัวหลงเปิดฝาขวดก่อนกระดกดื่มหมดรวดเดียว เขาเช็ดปากก่อนถามด้วยความสงสัย
“อาจารย์หาอะไรอยู่เหรอครับ?”
“หาอาวุธน่ะ อาวุธที่ใช้ได้ในตอนนี้”
ลัวหลงครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ถ้าหาที่นี่ไม่เจอก็ไปหาที่อื่นสิครับ”
“หืม แล้วจะไปหาที่ไหนล่ะ?” เฉินเทียนเซิงถามกลับ
“อาจารย์ตามผมมาครับ”
ลัวหลงเดินนำทางมาถึงรอบนอกของห้างภายในเวลาไม่นาน ก่อนถีบเปิดตู้ดับเพลิง ซึ่งมีอุปกรณ์ดับเพลิง ท่อน้ำ ถังดับเพลิง และขวานดับเพลิงคมกริบ
ก่อนหยิบออกมาส่งให้เฉินเทียนเซิง
“อันนี้เหมือนกับที่อาจารย์เคยใช้เลยนะครับ ลองดูสิ”
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน หากไม่ได้ลัวหลงแนะนำเขาคงยังตามหาไปทั่วอย่างกับไก่หัวกุด
“โอเค หามามากกว่านี้และเก็บสำรองเอาไว้ ขวานพวกนี้ใช้ไม่ทนเท่าไหร่ อีกไม่กี่วันก็พังแล้ว”
“ได้เลยครับ”
ลัวหลงรีบหันหลังวิ่งออกไป
เฉินเทียนเซิงถือขวานเอาไว้ในมือ ในใจรู้สึกมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
ตั้งแต่เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขวานดับเพลิงก็ไร้ประโยชน์ เขาใช้มือเปล่าสู้กับซอมบี้ได้ ทำให้รู้สึกเก้งก้างมากทีเดียว
ราวบ่าย 2
“ทีมกู้ภัยอยู่ที่นี่กัน อยากให้คนออกไปช่วยไหม?”
นายทหารที่รับหน้าที่สังเกตการณ์ตะโกนมาจากชั้นบนสุด
“ไม่ต้อง”
เฉินเทียนเซิงตะโกนกลับไป
“อยู่รอคนจากด้านนอกเถอะ”
ใช่แล้ว หยางเซวี่ยยังคงราดเหล้าอยู่ด้านนอกเพื่อฆ่าเชื้อ เมื่อทีมกู้ภัยมาถึงหยางเซวี่ยจะคอยพาพวกเขาเข้ามา
หลังกำลังเสริมมาถึง ทุกคนรีบลงมาที่ลานจอดรถใต้ดิน และเห็นรถทหารแล่นมาตามเส้นทางคดเคี้ยว
คนขับยังคงสงสัย
“ใครเป็นคนทำ ไม่ได้เป็นอย่างนี้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม?”
ขบวนรถค่อย ๆ หยุดลง เมื่อประตูเปิดออกเจิ้งเหว่ยก็กระโดดลงมา เดินผ่านลูกน้องก้าวไปหาเฉินเทียนเซิง
“ไว้ผมจะคิดบัญชีกับคุณทีหลัง!”
“เสียสติไปแล้วหรือไง ทำไมถึงทำเรื่องสุ่มเสี่ยงแบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมจะรายงานว่ายังไง”
เจิ้งเหว่ยคว้าคอเสื้อเขา กล่าววาจาเกรี้ยวกราดตวาดใส่
เขาไม่สนใจการกระทำหยาบคายของอีกฝ่าย
“ก่อนหน้านี้คิดว่าคุณจะมีมันสมองบ้าง แต่ตอนนี้เห็นทีจะเป็นแค่คนโง่เง่าคนหนึ่ง”
เขาแกะมือเจิ้งเหว่ยก่อนกล่าวเสียงเย็น
“รถหุ้มเกราะยังมีประโยชน์ในเขตพัฒนา แต่พอเข้าเขตเมืองที่ต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้นับล้าน คุณคิดว่ามันจะยังใช้เป็นเหยื่อล่อได้อยู่หรือเปล่า หรือมันจะกลายเป็นอาหารให้ฝูงซอมบี้กันแน่?”
การตอกกลับทำให้เจิ้งเหว่ยชะงักทันที
เฉินเทียนเซิงจิ้มอกเจิ้งเหว่ย และเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ
“ห้างใหญ่ขนาดนี้เป็นที่ลี้ภัยให้คนเป็นหมื่นได้ ทำไมคุณไม่อยากใช้มันเป็นหน้าด่านเฉพาะกิจไปก่อนล่ะ เสียสติไปแล้วหรือไง?”
อีกฝ่ายปัดมือเขาออก สายตาเกรี้ยวกราดจับจ้องมา
สุดท้ายจึงหันไปตะโกนสั่ง “ขนของลงจัดวางตามตำแหน่ง”
อันที่จริงระหว่างทางมาที่นี่ เจิ้งเหว่ยเห็นข้อดีของการจัดการแบบนี้แล้ว
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฐาน เขตปลอดภัย และพื้นที่หน้าด่านที่ห้างสรรพสินค้าต่างอยู่ห่างกัน หากตั้งฐานอื่นในเขตพัฒนาได้ ภารกิจการกู้ภัยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ห้างในเขตพัฒนาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริง ๆ เขารู้เรื่องนี้มานานและยอมรับว่าตนเองก็อยากทำแบบนี้ เพียงแค่ไม่อาจลงมือด้วยตนเองได้
แค่หากไม่ได้ต่อว่าเฉินเทียนเซิงคงยากจะกำจัดความหงุดหงิดในใจได้
ค่อยกลับไปชื่นชมว่าตัดสินใจได้ดีทีหลัง!
ยังพอคุยกันได้!
ตัดศีรษะก่อนทูลขอจักรพรรดิได้อย่างไรกัน?
*ตัดศีรษะก่อนทูลขอจักรพรรดิ = ดำเนินการอย่างเด็ดขาดแล้วค่อยรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
หมอนั่นลงมือฝ่าฝืนคำสั่งกองกำลัง เป็นใครก็ต้องหงุดหงิดทั้งนั้น
เมื่อเห็นเจิ้งเหว่ยไม่ถือสาอีกต่อไป เฉินเทียนเซิงก็โบกมือพลางบอก
“ลัวหลง ลัวเฟิง หยางเซวี่ย ไปกันเถอะ”
เขานำพรรคพวกออกเดินทาง เจิ้งเหว่ยตกใจรีบตะโกนถาม
“นี่ พวกคุณจะไปไหน?”
“การกู้ภัยล่าช้าไป 4 ชั่วโมงในแต่ละครั้งที่ไปกลับ เสียเวลามามากพอแล้ว ผมไม่อยากเสียเวลาอีก แจ้งให้คนของคุณเข้าใจสถานการณ์ด้วย ผมยุ่งอยู่”
แม้เขาจะบอกด้วยเจตนาดี ทว่ากลับทำให้คนฟังไม่สบายใจนัก
ทั้งสี่เดินออกมาจากลานจอดรถใต้ดินอย่างองอาจ หยางเซวี่ยหยิบขวดเหล้าขาวออกมา เทบนพื้นที่โล่งแจ้งเพื่อกลบกลิ่นเป็นอันดับแรก
เฉินเทียนเซิงขับรถมาก่อนทั้งสามจะขึ้นรถ พวกเขามุ่งหน้าไปยังเขตเมือง
ลัวหลงแจกขวานที่สะพายมาส่งให้หยางเซวี่ยพร้อมเอ่ย
“ผมเอาอาวุธมาให้ มันช่วยอะไรบ้างไหมครับ”
หยางเซวี่ยรู้สึกหนักทันทีที่รับมา เธอเอ่ยอย่างลำบากใจ “มันหนักเกินไปสำหรับฉันน่ะ”
เฉินเทียนเซิงว่าสำทับ “ฉันเจอมีดมา แต่ว่ามันไม่คมนะ”
อันที่จริงหยางเซวี่ยเห็นมานานแล้วและรอให้เขาพูดอยู่ เจ้าตัวยังไม่ได้ยกให้ เธอจึงอายเกินกว่าจะร้องขอเอง
“ไม่สำคัญหรอก แค่เร็วก็พอแล้วค่ะ จะลับคมหรือยังก็ช่างเถอะ”
ชายหนุ่มถอดกระเป๋าเป้และโยนทั้งหมดให้เธอ
“เอาไปสิ”
ด้วยเหตุนี้ระหว่างเฉินเทียนเซิงขับรถ หยางเซวี่ยก็ลับคมมีดไปด้วย ด้านลัวหลงฮัมเพลงเบา ๆ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงรอบนอกของเขตเมือง
ชายแดนเขตพัฒนามีสะพานเชื่อมต่อไปสู่รอบนอกของเขตเมือง
ไปทันได้ลงจากสะพานก็เห็นฝูงซอมบี้เดินไปมาบนท้องถนน ในร้านค้า ตามตรอกซอกซอย และที่สวนดอกไม้ แยกเป็นกลุ่มสามตัวบ้างสี่ตัวบ้างกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่
“เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
เฉินเทียนเซิงจอดรถบนสะพาน ดึงเบรกมือก่อนบอก
“จำเอาไว้ เราจะกู้ภัยกันไปทีละตึก ทุกอย่างทำด้วยความว่องไว อย่าเอาแต่สนุกกับการสู้!”
ว่าจบเขาก็เปิดประตูลงจากรถไป กลิ่นเหม็นปะทะเข้าหน้าทันทีที่กระโดดลงมา
เขาปิดจมูกตนเองด้วยความตกใจไปโดยไม่รู้ตัว
“หน้ากากกันแก๊สของฉันอยู่ไหน?”
หยางเซวี่ยถือมีดระวังตัวอยู่
“ทำหายไปที่ร้านเสื้อผ้าขนสัตว์แล้ว”
“เวรแล้วไง ทำไมกลิ่นเหม็นขนาดนี้!”
ว่ากันตามจริง เขาตัดสินใจถูกที่ซื้อหน้ากากกันแก๊สเอาไว้ตอนได้เกิดใหม่ ไม่เพียงแต่มันจะช่วยป้องกันเชื้อ แต่ยังกันกลิ่นได้มากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
ได้กลิ่นวันสิ้นโลกอีกครั้งแบบนี้ ทำเอาไม่คุ้นเคยกับมันนัก
“เอาเถอะ มาช่วยผู้รอดชีวิตที่ตึกแรกกันก่อนเถอะ!”
ทั้งสามรีบมุ่งหน้าไป ส่วนหยางเซวี่ยหายตัวไปในพริบตา
ซอมบี้สูดจมูกฟุดฟิด เมื่อได้กลิ่นมนุษย์ก็ร้องคำรามและกรูกันเข้ามา
“ลมไฟแผดเผา!”
ลัวหลงกับลัวเฟิงต้านทานเอาไว้ คนหนึ่งใช้ไฟ อีกคนควบคุมทิศทางลมให้ไฟพัดพาไปทางฝูงซอมบี้
พวกมันไม่รู้สึกเจ็บปวดต่อให้ถูกไฟคลอก ขอแค่สมองไม่ถูกทำลายก็ยังบุกเข้ามาไม่หยุดหย่อนได้
เฉินเทียนเซิงยืนด้านหน้าพร้อมขวานในมือ ฟันซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด ทุกการเหวี่ยงบั่นคอมันกระเด็นไปไกล
ผู้รอดชีวิตในตึกเห็นฉากนั้นแล้วตื่นเต้นดีใจที่สุดในชีวิต พวกเขาเปิดหน้าต่างและเริ่มตะโกน
“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย!”
“ครอบครัวเรามีคนแก่กับเด็ก ได้โปรดช่วยพวกเราก่อนด้วย!”
“ช่วยด้วยค่ะ มีซอมบี้อยู่หน้าบ้านเรา!”