บทที่ 46 นี่ กลิ่นหอมมากเลย
บทที่ 46
นี่ กลิ่นหอมมากเลย
ตกบ่าย
ในที่สุดลัวหลงและลัวเฟิงที่หายไปทั้งคืนก็กลับมา ทั้งยังพ่วงอีกคนตามหลังมาด้วย เจิ้งเหว่ยผู้เป็นนายทหารแนวหน้านั่นเอง
“นี่ จะบอกอะไรให้นะ นายมันน่ารำคาญเป็นบ้า”
ลัวหลงคร้านจะฟังคำพูดไร้สาระ จึงตอกกลับเสียงแข็ง
“ผมก็บอกไปหลายรอบแล้ว ขอแค่อาจารย์เห็นด้วย เราก็ไม่คิดคัดค้านอะไรหรอก”
ลัวหลงยังตอบบ้าง ผิดกับลัวเฟิงที่ไม่ยอมพูดด้วยแต่อย่างใด
เขาจึงจำใจต้องกลับไปที่รถทั้งอย่างนั้น ท้ายที่สุดก็ต้องกัดฟันเคาะกระจกหน้าต่างรถเฉินเทียนเซิงอีกครั้ง
“น้ำมันเต็มถังหรือเปล่า”
ถ้อยคำสุภาพถูกใช้ทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วน
“อืม”
เฉินเทียนเซิงตอบอย่างเฉยชา
“ทำไมถึงยังจอดรถอยู่ข้างนอกอีก ถ้าไม่รีบขับเข้าไปในเขตปลอดภัยจะมาเต็มซะก่อนเหรอ” เจิ้งเหว่ยถามด้วยความสงสัย
“เพราะคิดว่าควรสลัดใครบางคนทิ้งหรือเปล่าอยู่น่ะสิ จะได้อยู่ให้ห่างจากคนโง่อย่างคุณ และป้องกันไม่ให้คุณฆ่าผม”
เพียงประโยคเดียวทำให้เหลืออด เจิ้งเหว่ยสติขาดผึงทันที
หลังพยายามมาอย่างหนักเพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จนในที่สุดก็ขับรถหนีมาได้ เฉินเทียนเซิงอยากจะจากไปหรือไม่ไม่สำคัญ แต่จะปล่อยให้ลูกน้องฝีมือดีทั้งสามพวกนี้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด
“พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีเพียงการกอดกันสร้างความอบอุ่น* เราถึงจะอยู่รอดในวันสิ้นโลกแบบนี้ ถ้าคุณหนีไปตามลำพังจะเอาตัวรอดได้เหรอ”
*กอดกันสร้างความอบอุ่น = เปรียบเปรยกับการรวมกลุ่มกันเพื่อผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบาก
เฉินเทียนเซิงกล่าวเสียงเย็นชา “ตอนนี้ถ้าเราหนีไปยังจะอยู่สบายกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกดูถูกดูแคลน”
เจิ้งเหว่ยได้แต่นิ่วหน้าขณะเอ่ยอย่างเหลืออด
“ไปเลย เชิญทำตามสบายได้เลย ตอนนี้ทั้งโลกเต็มไปด้วยซอมบี้ อยากจะกลับไปเจียงเฉิงหรือไง อย่ามาก่อเรื่องวุ่นวาย! เจียงเฉิงมีคนเป็นล้านแต่เหลือผู้รอดชีวิตแค่ 10 คน ในขณะที่ซอมบี้เป็นล้าน พาคนกลับไปเจียงเฉิง... ก็ไม่ต่างกับไปตาย!”
เฉินเทียนเซิงนิ่งเงียบมองเขา
“ว่าต่อสิ”
“อยู่กอดสร้างความอบอุ่นกับทุกคนที่นี่ หลายคนรวมกันจะมีกำลังมากแค่ไหน!”
เจิ้งเหว่ยเกาศีรษะอย่างหวั่นวิตก แตกตื่นเสียจนเมื่อครู่แทบหลุดปากพูดตามความคิดที่แท้จริงออกไป
เฉินเทียนเซิงเปลี่ยนน้ำเสียงบอก “คุณขอร้องให้ผมอยู่สินะ”
ว่าจบก็ติดเครื่องยนต์ค่อยๆ ขับผ่านทางเข้าออกเข้าเขตปลอดภัยไป
อีกฝ่ายยืนยิ่งกัดฟันกรอด
“ผมขอร้องน้องสาวคุณต่างหาก”
……
ภายในรถ
ลัวเฟิงโพล่งบอกขณะเฉินเทียนเซิงขับรถ
“เขาจะพาฉันกับพี่เข้าเขตสงครามค่ะ”
ลัวหลงว่าสำทับทันที “แต่เราไม่ยอมครับ”
“โอเค อย่างนี้นี่เอง”
รถบรรทุกคันโตเลี้ยวเข้าบริเวณปลีกวิเวก ก่อนจอดลงที่เดิม
ตอนนี้ส่วนบรรทุกของไร้ซึ่งอาหาร มีเพียงน้ำเหลืออยู่สามกล่อง ไม่มีอาหารแต่อย่างใด
“ผมหิวแล้ว เราจะได้กินข้าวกันเมื่อไหร่ครับ” ลัวหลงลูบท้องร้องโครกคราก
ลัวเฟิงหิวเช่นกัน ทว่าอายเกินกว่าจะทักท้วง
เฉินเทียนเซิงนึกถึงไก่ย่างและเป็ดย่างในกระเป๋าเป้อวกาศที่ระบบผลิตขึ้น ไม่รู้ว่าหากกินมันเข้าไปจะเกิดผลอะไรขึ้น
“กินนี่ซะ เอาไปคนละอัน”
กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วบริเวณเมื่อไก่ย่างถูกนำออกมา
สองพี่น้องตระกูลลัวดมกลิ่นหอมแตะจมูกฟุดฟิด ทำเอาอดน้ำลายไหลไม่ได้ แต่เฉินเทียนเซิงยังไม่ยื่นไก่ย่างกลิ่นหอมน่าอร่อยให้
“ว้าว อาจารย์ คุณทำให้เราแปลกใจได้ตลอดเลย”
ลัวหลงคว้าไก่ย่างไปดมกลิ่นหอม ก่อนงับเข้าปาก
ลัวเฟิงตีปากพี่ชาย แต่เจ้าตัวหน้าหนาจนไม่คิดขออนุญาตก่อน
เฉินเทียนเซิงเอาออกมาอีกสองอัน อันหนึ่งให้ลัวเฟิง อีกอันให้ตนเอง
ความหอมฟุ้งเต็มปากหลังกินไปคำหนึ่ง รสสัมผัสเรียบง่ายและอร่อยมาก
แม้แต่ก่อนหายนะใหญ่ ก็ยังไม่มีทางหากินของอร่อยแบบนี้ได้
“ว้าว อร่อยจังเลย”
ลัวหลงกินอย่างตะกละตะกลาม ลัวเฟิงกับเฉินเทียนเซิงเองก็ไม่ต่างกัน
ในขณะที่ผู้รอดชีวิตด้านนอกรถไม่ได้โชคดีเช่นนี้
หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้กินไม่ได้นอน เมื่อวานยังเผชิญหน้ากับเหตุนองเลือด ซากศพทำให้ตื่นตระหนกอยู่ทั้งคืน วันนี้จึงยังอยู่ในสภาพขวัญเสีย
ทันใดนั้นกลิ่นหอมอร่อยลอยเข้าจมูก เรียกเสียงท้องร้องโครกครากจากทุกคน
พวกเขาหันขวับไปยังรถบรรทุกคันใหญ่ ก่อนสาปส่งขณะกลืนน้ำลาย
……
เจิ้งเหว่ยยืนกรานจะให้คนฝีมือดีทั้งสามอยู่ในกลุ่มด้วย แม้เฉินเทียนเซิงจะชอบก่อเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เขายังมีหนทางจัดการ
พวกเขายังมีเสบียงในรถมากมายไม่ใช่หรือ ทั้งหม้อไฟถ้วยร้อน ข้าวถ้วยร้อน เกี๊ยวแช่แข็ง และของอื่น ๆ อีกสารพัด
แค่เอาออกมาแอบให้ลัวหลงกับลัวเฟิง ไม่ให้ เฉินเทียนเซิงรู้ มาดูกันว่าสองพี่น้องจะดื้อด้านอีกไหม
ทว่าเมื่อเขามาที่บริเวณปลีกวิเวกพร้อมอาหารสำเร็จรูปถ้วยร้อน ยังไม่ทันจะได้เข้าไปก็ได้กลิ่นหอมเกินบรรยาย
ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลายและดมฟุดฟิด พลางค้นหาต้นกลิ่นกระทั่งมาถึงรถบรรทุกคันใหญ่
เมื่อกวาดตามองโดยรอบก็เห็นผู้รอดชีวิตทุกคนน้ำลายไหล
ทั้งสามในรถยังสวาปามอาหารอยู่ ทำขนาดนี้เลยหรือ จะอวดกันหรืออย่างไร
ลัวหลงชะโงกหน้าออกมาทั้งปากยังมันแผลบ และโบกมือพลางทักทาย
“เจิ้งเหว่ย สบายดีไหม”
“สบายดี ๆ”
เขาซ่อนอาหารสำเร็จรูปถ้วยร้อนไว้ด้านหลัง แม้สิ่งที่นำมาจะเป็นของราคาแพง แต่อีกฝ่ายก็กำลังกินไก่ย่างแสนอร่อยอยู่ เพียงได้กลิ่นเขาก็แยกแยะฟ้ากับเหวออก จึงละอายใจเกินกว่าจะทำให้ตัวเองขายหน้าอีกครั้ง
ลัวหลงเคาะนิ้วระหว่างกินอาหาร
“งั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ครับ ทานข้าวเย็นเหรอ”
ขณะฉีกน่องไก่อย่างไม่เต็มใจนัก
“เอ้านี่ เอาไปกินสิครับ”
กินกับลุงบ้านนายน่ะสิ!
เจิ้งเหว่ยโมโหจนแทบระเบิดออกมาตรงนั้น เขาคือ เจิ้งเหว่ย หัวหน้าของเขตปลอดภัยเชียวนะ การถูกดูหมิ่นด้วยน่องไก่มันเกินทน!
“นี่ กลิ่นหอมมากเลยนะครับ!”
แม้จะฝืนใจเต็มทีแต่ยังยื่นมือออกไปรับน่องไก่ ไม่อาจควบคุมสมองได้ สุดท้ายจึงอดไม่ได้จะกัดกินไปคำหนึ่ง
เพียงคำเดียวน้ำตาของเขาก็ไหล
นี่ไก่จริงหรือ
รสชาติอร่อยขนาดนี้ได้อย่างไร
เขาไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเพียงนี้มาก่อนในชีวิต
ถ้าต่อไปหากินไม่ได้อีกจะทำอย่างไร
“อร่อยมาก ไปเอาไก่นี้มาจากไหน”
คำสุดท้ายของเฉินเทียนเซิงแทบทำวิญญาณเขาออกจากร่าง
“ไก่ย่างกลายพันธุ์ไง”
“กลายพันธุ์!”
หากไม่กลืนเข้าไปแล้วคงได้คายออกมาแน่ ถึงกระนั้นก็ยังอยากอาเจียนออกมาเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าร่างกายเจ้ากรรมกลับไม่รักดี
“ไม่ต้องห่วง เนื้อสัตว์กลายพันธุ์ที่ถูกแปรรูปแล้วเป็นผลดีกับร่างกายมนุษย์ ไม่ส่งผลร้ายอะไรหรอก!”
สิ่งที่เฉินเทียนเซิงพูดถูกต้อง เพราะเจ้าตัวรู้ถึงสรรพคุณของไก่นี้แล้ว
มันเป็นการค้นพบโดยบังเอิญหลังกินไก่นี้ ค่าพลังกายของเขาเพิ่มขึ้น 0.01
อย่างที่รู้ว่าตอนนี้ระดับยีนของเขาอยู่ที่ 40 ขณะที่ผลึกระยะแรกเพิ่มขึ้นเพียง 0.01 ส่วนผลึกระยะสองเพิ่มขึ้นเพียง 0.1
หากกินไก่จะทำให้เพิ่มขึ้น 0.01 หมายความว่าการกินเนื้อสัตว์กลายพันธุ์ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน
หากเป็นคนธรรมดาล่ะก็...
คงเป็นเรื่องเกินจินตนาการ
10 ปีหลังหายนะวันสิ้นโลก มีข่าวลือว่านักวิทยาศาสตร์คิดค้นวิธีกำจัดพิษจากเนื้อสัตว์กลายพันธุ์ ทำให้คนไม่ติดเชื้อจากการทานเนื้อของพวกมัน
ทว่าในชาติที่แล้วได้ยินว่าคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างเขาไม่มีทางได้กินอย่างแน่นอน
ชีวิตนี้ต่างออกไป ไม่เพียงแต่เขาจะได้กิน แต่ยังค้นพบสรรพคุณพิเศษของมันอีกด้วย!
ความคิดบรรเจิดพลันผุดขึ้นในหัวเฉินเทียนเซิง