บทที่ 42 มันยังไม่จบ
บทที่ 42
มันยังไม่จบ
“ปังปังปังปัง…”
ทุกมุมของเขตกักกัน ทหารทุกคนช่วยกันยิงปืนใส่นกยักษ์บนท้องฟ้าที่บินตรงลงมา โดยไม่มีทีท่าจะผ่อนความเร็วลงเลย
ควันดินปืนลอยโขมง ปลอกกระสุนเกลื่อนพื้น
ร่างของนกยักษ์หดปีกเข้าหาลำตัว ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มมากขึ้น ราวกับศรคมที่พุ่งแหวกอากาศ
“ซูม”
หางของนกยักษ์กระพือจนเกิดแรงดันอากาศ ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจนตาเปล่ามองไม่ทัน
“ไม่ไหว รีบหนีไปเร็ว!”
เจิ้งเหว่ยตะโกนสุดเสียง เขาเข้าใจความเร็วที่เทียบเท่ากับโซนิคบูมได้ดี มันมีพลังทำลายล้างไม่ต่างจากเครื่องบินตก
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ ต่อให้เสริมการป้องกันทั้งหมดที่มีก็เปล่าประโยชน์ เมื่อต้องเผชิญความเร็วแบบโซนิคบูม
แต่ลัวหลงกลับไม่รู้สึกกลัวเลย ทั้งยังตะโกนขู่นกยักษ์อีกว่า
“สู้ให้ตายกันไปข้างเลย ไอ้นกสวะ!”
ในขณะเดียวกัน ร่างของลัวหลงก็ลุกเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่ พร้อมที่จะระเบิดตัวเองตายไปพร้อมกับนกยักษ์กลายพันธุ์
ทันใดนั้นร่างของสาวงามก็ปรากฏขึ้น เธอเหยียบเต็นท์และกระโดดลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฉันเอง!”
ความเร็วของหญิงสาวคนนี้เร็วมาก จนทุกคนรู้สึกตาพร่ามัวเล็กน้อย จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงแหวกลมที่แหลมจนแสบหูดังไปทั่วพื้นที่ในเขตกักกัน
ตอนนี้ทุกคนรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก ในที่สุดก็มียอดมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืออีกคนแล้ว!
แต่หลังจากเงาของหญิงสาวโผล่ออกมาไม่ทันไร ร่างของนกยักษ์ก็พุ่งมาถึงพื้นแล้ว
“ตูม”
เกิดแรงระเบิดจากคลื่นอากาศ พัดกระจายอย่างรุนแรง ทำให้ฝุ่นทรายและเศษหินปลิวว่อนทันที
ผู้คนที่อยู่ใกล้แรงระเบิดที่สุดถูกพัดปลิวออกไป แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในระยะไกลก็ถูกพัดปลิวไปไกลเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นกยักษ์ยังคงบินวนอยู่บนท้องฟ้า แต่มันบินไปรอบ ๆ อย่างร้อนรนเหมือนกับแมลงวันหัวขาด
หลังจากสังเกตดี ๆ ทุกคนพบว่ามีใครคนหนึ่งห้อยโตงเตงอยู่บนหัวของนกยักษ์ คนที่เกาะอยู่ก็คือหญิงสาวที่โผล่ออกมาเมื่อกี้
“เธอเป็นใครกัน?”
หัวใจของเจิ้งเหว่ยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สงสัยว่าคนที่แข็งแกร่งอีกคนนั้นมาจากไหน?
“พี่เซวี่ย ระวังตัวด้วย!” ลัวเฟิงตะโกนจากพื้นดิน
ขณะนี้หยางเซวี่ยกำลูกดอกหนูไว้แน่น หลังจากถูกนกยักษ์พุ่งชน เธอใช้ลูกดอกหนูแทงเข้าไปในดวงตามัน
ตอนนี้นกยักษ์กำลังทรมาน แต่มันก็ทำได้แค่บินไปรอบ ๆ อยู่บนท้องฟ้า พยายามสะบัดหยางเซวี่ยออกไป
แต่หยางเซวี่ยไม่ยอมปล่อย เธอใช้อีกมือหนึ่งจับจะงอยปากของนกยักษ์เอาไว้ พยายามสู้สุดชีวิตราวกับกระต่ายกำลังต่อสู้กับนกอินทรี แต่นกยักษ์ก็โจมตีสวนกลับด้วยกรงเล็บ
“โอ๊ย...”
ทันใดนั้น ต้นขาและเอวของหยางเซวี่ยก็ถูกกรงเล็บของนกยักษ์ข่วนไปหลายแผล
“ไปลงนรกซะ เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
เธอจับจะงอยปากของนกยักษ์ไม่ยอมปล่อย ก่อนดึงลูกดอกหนูออกมาแล้วแทงลงไปที่หัวของมันอย่างรุนแรง ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ไม่นานนกยักษ์ก็ฝืนทนความเจ็บปวดไม่ไหว จนกรีดร้องเสียงดัง
หลังจากนั้น นกยักษ์เจ็บปวดจนสิ้นใจตายในที่สุด ด้วยความพยายามของหยางเซวี่ย นกยักษ์ต้องพ่ายแพ้ให้กับน้ำมือมนุษย์ที่ดูอ่อนแอกว่า และร่วงตกลงสู่พื้นดิน
“ตึง โครม โครม”
นกยักษ์ร่วงลงมา ทำให้เศษหินและทรายพัดกระจาย
หลังจากที่หยางเซวี่ยตกลงมา ร่างของเธอกลิ้งไปไกลหลายสิบเมตร จนกลิ้งไปชนเข้ากับเต็นท์หนึ่งและนอนซมอยู่อย่างนั้น
“พี่เซวี่ย”
ลัวเฟิงรีบวิ่งไปดูอาการบาดเจ็บของหยางเซวี่ยทันที
ร่างของหยางเซวี่ยมีรอยแผลเป็นมากกว่าหนึ่งโหล แถมแต่ละแผลยังลึกไปจนเห็นกระดูก
“พี่เซวี่ย”
ลัวเฟิงกอดหยางเซวี่ยแล้วตะโกนว่า
“ใครก็ได้ เรียกหมอมาทางนี้เร็วเข้า!”
หลังวิกฤตนกกลายพันธุ์โจมตีผ่านพ้นไป บรรดาทหารเริ่มจัดการกับการสูญเสียที่ตามมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจิ้งเหว่ยพูดกับทหารคนหนึ่งขณะวิ่งว่า
“รีบรวมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วบอกให้หมอทุกคนเตรียมการรักษาทุกคนโดยเร็ว”
“ครับ”
ทหารคนนั้นรับคำสั่งและจากไป
เจิ้งเหว่ยมาวิ่งมาที่ด้านข้างของหยางเซวี่ย หลังเห็นบาดแผลเขาก็ได้แต่อ้าปากค้าง
“เร็วเข้า เรียกหมอมาทางนี้ที เราต้องรีบรักษาเธอเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่ทหารกำลังวุ่นวาย เสียงของเฉินเทียนเซิงก็ดังมาจากทางเข้า
“เดี๋ยวก่อน!”
“อาจารย์”
ลัวเฟิงหันไปมองตามเสียง เมื่อเห็นเฉินเทียนเซิงเธอก็ดีใจมากจนน้ำตาคลอ
เฉินเทียนเซิงประคองเอวหยางเซวี่ยด้วยมือข้างเดียว และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องบาดแผลของเธอหรอก รีบไปแยกผู้บาดเจ็บคนอื่น ๆ ออกก่อน ต่อให้รักษาไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เสียเวลาเปล่า ถ้าคุณไม่อยากฆ่าคนไปมากกว่านี้ ก็แค่ยิงพวกเขาทิ้งทั้งหมด”
สิ่งที่เฉินเทียนเซิงพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่เมื่อคนอื่นได้ฟังแบบนี้ พวกเขากลับมีความคิดต่างออกไป
นอกจากผู้รอดชีวิตแล้ว ยังมีทหารอีกมากมายในหมู่ผู้บาดเจ็บ ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมรบที่คลุกคลีกับพวกเขามานาน
ยิงทิ้งเหรอ!
เจิ้งเหว่ยไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป ก่อนเดินไปขวางทางเฉินเทียนเซิง แล้วคว้าคอเสื้อของเขา
“ในเวลาสิ้นหวังแบบนี้ คุณยังกล้ามาสร้างปัญหาอยู่อีก!”
ทหารคนอื่นต่างจ้องมองด้วยความโกรธเช่นกัน
เนื่องจากเขาไม่อยู่ตอนที่ฝูงนกโจมตี แต่ดันออกมาป่วนคนอื่น แถมยังมาบอกให้พวกเขายิงเพื่อนตัวเอง ในเวลาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างรู้สึกหมดความอดทนกับเฉินเทียนเซิงจนถึงขีดสุดแล้ว
“ไปให้พ้น”
เฉินเทียนเซิงผลักเจิ้งเหว่ยที่กำลังโกรธออกไป เดินฝ่าวงกลมของพวกทหาร ก่อนวางหยางเซวี่ยลงเพื่อดูอาการบาดเจ็บอีกครั้ง
“ผมบอกให้คุณมาดูสถานการณ์ ไม่ได้ขอให้คุณมาเจ็บตัวแบบนี้ อาการบาดเจ็บสาหัสมากซะด้วย ถ้าคุณตาย ผมคงเสียใจมาก!”
เฉินเทียนเซิงอุ้มหยางเซวี่ยขึ้นมาขณะพึมพำ
หลังจากที่เขาอุ้มเธอขึ้นมา ทหารรอบ ๆ ตัวเขาก็เข้ามายืนล้อมอีกครั้ง และจ้องเขม็งใส่
เจิ้งเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับสีหน้าเศร้าหมองว่า
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณต้องการจะทำอะไร แต่เธอคือฮีโร่ของเรา อีกไม่นานหมอก็มาถึงแล้ว คุณควรวางร่างเธอลงซะ”
เฉินเทียนเซิงตอบกลับอย่างเย้ยหยัน “ดูแลตัวเองก่อนไหมคนเก่ง ผลพวงจากการโจมตียังไม่จบ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ลัวเฟิง!”
ลัวเฟิงใช้ลมผลักทหารที่ขวางทางกระเด็นออกไป
“ถอยไป หลีกทางไปให้พ้น อย่าต้องให้พูดซ้ำ”
ลัวเฟิงพูดจบ เฉินเทียนเซิงก็พาหยางเซวี่ยออกมาจากวงล้อมของพวกทหารได้สำเร็จ
แต่ทหารกลับรู้สึกโกรธมากขึ้น พวกเขาต่างสาปแช่งในใจ ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่มีใครยอมไปหาหมอ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมบนโลกนี้ต้องมีคนขวางโลกแบบเฉินเทียนเซิงอยู่ด้วย
“ปล่อยเขาไป!”
เจิ้งเหว่ยยืนกำหมัดและแอบสาบานในใจว่า เมื่อทุกอย่างกลับมาอยู่ในความสงบเมื่อไหร่ เขาจะขับไล่เฉินเทียนเซิงออกจากเขตกักกัน ไม่ว่าเขาจะพูดแก้ตัวยังไง สำหรับเจิ้งเหว่ยแล้ว คนแบบนี้ไม่ควรพาตัวกลับไปที่ฐานผู้รอดชีวิตด้วยซ้ำ
เฉินเทียนเซิงกอดหยางเซวี่ยและรีบวิ่งออกไปข้างนอก ภายในรถบรรทุกที่อยู่ไม่ไกล ลัวหลงเห็นสภาพหยางเซวี่ยแล้วจึงถามขึ้นว่า
“อาจารย์ ผมควรทำยังไงดี?”
เฉินเทียนเซิงชำเลืองมองลัวหลง
“ลองคิดดูสิว่าต้องทำอะไร”
โดยไม่รอช้า ลัวหลงรีบวิ่งไปด้านหลังและกระโดดขึ้นรถบรรทุก หยิบน้ำแร่ของเฉินเทียนเซิงที่ออกมาจากกระเป๋าเป้อวกาศ แล้วยื่นน้ำแร่ให้หยางเซวี่ย
“อาจารย์ พี่เซวี่ยจะตายไหม?” ลัวเฟิงถามอย่างกระวนกระวาย
“เธอสบายดี ไม่ตายหรอก แต่คนในเขตกักกันน่ะไม่แน่”
เฉินเทียนเซิงอธิบายขณะป้อนน้ำให้หยางเซวี่ย
“ยีนของคนที่วิวัฒนาการแล้วจะถูกดัดแปลง ต่อให้ถูกสัตว์กลายพันธุ์ข่วนหรือกัด ก็ไม่มีทางติดเชื้อ แต่คนธรรมดานั้นต่างออกไป”
หลังจากพูดจบ เฉินเทียนเซิงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า
“กลับไปที่เขตกักกันเร็ว ถ้าเห็นคนบาดเจ็บกลายพันธุ์ ให้รีบฆ่าทิ้งทันที ไม่อย่างนั้นได้เกิดหายนะแน่”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว”
ลัวเฟิงหันหลังกลับและวิ่งเข้าไปในเขตกักกัน ขณะที่วิ่งกลับเข้าไป เธอเหลือบไปเห็นทหารสองสามคนถอดเสื้อออกแล้วยื่นให้ลัวหลงอย่างติดตลก
“มนุษย์เพลิง ความสามารถของนายเจ๋งจริง ๆ แต่นายต้องเปลือยกายทุกครั้งที่ใช้พลังเลยเหรอ?”
สีหน้าของลัวหลงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อได้ยินแบบนั้น
ลัวเฟิงรีบวิ่งไปหาและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่ชาย อย่าเพิ่งรีบใส่เสื้อผ้า มันยังไม่จบ พี่อาจต้องใช้ไฟอีกพักใหญ่!”
ลัวหลงตกตะลึง
“ยังไม่จบเหรอ?”
ในขณะนี้ อีกวิกฤตหนึ่งกำลังเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
“ซอมบี้ ศพกลายร่างได้!”