บทที่ 41 เขตกักกันถูกโจมตี
บทที่ 41
เขตกักกันถูกโจมตี
ไม่นานหลังจากที่เฉินเทียนเซิงจากไป ลัวหมิงโทรศัพท์มาที่เขตกักกัน ทหารคนหนึ่งรีบวิ่งไปที่ทางเข้าเพื่อมองหาใครบางคน แต่เขาพบแค่สองพี่น้องนั่นก็คือ ลัวหลงและลัวเฟิง
“อาจารย์ของหลานอยู่ที่ไหน?”
ลัวหมิงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ลัวหลงเป็นคนรับหน้า เกาหัวและตอบกลับอย่างเชื่องช้าว่า
“อาจารย์ออกไปหาของ เลยไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ”
“ทำไมต้องออกไปข้างนอกตอนนี้ แทนที่จะออกไปตอนเช้ากับตอนมืด”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงร้อนรนของลุงตัวเอง ลัวหลงจึงถามกลับไปว่า
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ มีเรื่องใหญ่ใช่ไหม?”
เดิมทีลัวหมิงแค่ต้องการหาเวลาติดต่อกับเฉินเทียนเซิงล่วงหน้า เพื่อบอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
หากตัวเขาตัดสินใจพลาดเอง ก็ไม่สำคัญว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ถ้าสำเร็จเขาจะได้รับเครดิตทั้งหมด ส่วน เฉินเทียนเซิงจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย บางทีเขาคิดว่าทำไมต้องบอกเขาด้วย แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่า ถ้าเกิดความขุ่นเคืองในใจกัน ก็ไม่คุ้มค่ากับมิตรภาพที่เสียไปเลย
“ไม่เป็นไร ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกให้เขาติดต่อลุงกลับด้วย ลุงมีอะไรจะบอกเขา”
“ได้ครับลุง”
ถ้าเขาทำพลาดอีกในครั้งนี้ ทุกอย่างในอนาคตก็จะพังลงเช่นกัน หากมันสำเร็จก็จะถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นความดีความชอบของลัวหมิง แต่ต่อให้เขายึดเครดิตไว้ทั้งหมดเอาไว้เองก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
แน่นอนว่าเฉินเทียนเซิงยังไม่รู้เรื่องนี้ ต่อให้เขารู้เขาก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน
บนถนนร้างเขตชานเมือง
เฉินเทียนเซิงเดินไปข้างหน้าอย่างสบาย ๆ ต่างจาก หยางเซวี่ยที่เดินนำเขาไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่ง และอีกสักพักหนึ่งก็เดินตามหลังเขา เนื่องจากเธอยังปรับตัวให้เข้ากับพลังไม่ได้
เฉินเทียนเซิงหยุดเดิน มองไปที่ซากปั๊มน้ำมันซึ่งถูกไฟไหม้ แล้วพูดใส่อารมณ์ว่า
“นึกแล้วก็เสียดายจริง ๆ เมื่อสองสามวันก่อนฉันเพิ่งเผาปั๊มน้ำมันทิ้งไป”
หยางเซวี่ยพูดเสริมขึ้นว่า
“ความจริงแล้วเราขอยืมน้ำมันจากพวกทหารก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องออกมาหาให้เหนื่อยเลย”
เฉินเทียนเซิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ใครมันอยากจะไปก้มหัวให้พวกบ้าอำนาจกันเล่า!”
หลังจากพยายามทำความเข้าใจในไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนนี้หยางเซวี่ยเข้าใจนิสัยใจคอของเฉินเทียนเซิงเป็นอย่างดี
เขามีอิสระ มีวิถีของตัวเอง ทำอะไรตามใจ ปากเป็นมีดแต่มีหัวใจเต้าหู้* ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็เข้าใจเขาผิด แถมเขายังไม่มามัวนั่งอธิบายให้เสียเวลา ตอนนี้เธอรู้สึกว่าผู้ชายที่ทรงพลังและลึกลับแบบนี้ ช่างน่าหลงใหลจริง ๆ
*ปากเป็นมีดแต่มีหัวใจเต้าหู้ = ปากร้ายแต่ใจดี ภายนอกแม้พูดไม่ดีแต่ภายในกลับไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย
...
ทันใดนั้น เฉินเทียนเซิงก็หยุดชะงักอีกครั้ง
1 แต้ม
จู่ ๆ ระบบก็แจ้งเตือนการได้รับคะแนนขึ้นมา เขาจึงรีบเปิดระบบ
คะแนนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เฉินเทียนเซิงตกใจและงุนงง
ฉันยังไม่ได้ฆ่าซอมบี้เลยสักตัว ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือลัวหมิงและลัวเฟิงที่อยู่ในเขตกักกัน
ดูจากคะแนนที่เพิ่มขึ้น แปลว่าเขตกักกันต้องถูกโจมตี
“แย่แล้ว เราต้องรีบกลับ!”
เฉินเทียนเซิงหันหลังกลับและออกตัววิ่งทันที
“เกิดเรื่องที่เขตกักกัน หยางเซวี่ย คุณเร็วกว่า รีบไปดูแล้วกลับมาบอกผม!”
ความเร็วของเฉินเทียนเซิงไม่ได้ช้าเลย แต่เมื่อเทียบกับ หยางเซวี่ยแล้ว ความเร็วแค่ 40 กว่า ๆ นั้นเทียบไม่ติดเลย
...
แนวหน้าของเขตกักกัน
เดิมทีสภาพอากาศนั้นสงบและไม่มีลมแรง ลัวหลงและลัวเฟิงนั่งอยู่ในรถด้วยความเบื่อหน่าย
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด ฝูงนกจำนวนนับไม่ถ้วนบินเข้ามาปกคลุมทั้งเขตกักกันอย่างรวดเร็วและน่ากลัว
“ไม่นะ รีบหนีเร็ว!”
“ยิงมัน!”
“ช่วยเราด้วย!”
ภายในเขตกักกัน คนทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล
พวกทหารยังไม่ทันจะกลับมามีกำลังใจหลังจากทำภารกิจล้มเหลว ก็ถูกฝูงนกจู่โจม
เสียงปืนผสมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่รู้จบ
“ปังปังปัง!”
ขณะที่กราดยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทหารหลายคนตะโกนสั่งให้ฝูงชนรีบหาที่หลบซ่อน
“ไปซ่อนตัวในเต็นท์ อย่าวิ่งออกมา!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ทหารคนหนึ่งถูกนกกลายพันธุ์โจมตี มันพุ่งเข้าใส่และจิกตาของเขาจนตาบอด
“โอ๊ยย ไปให้พ้น ไอ้พวกสารเลว!”
ปากกระบอกปืนของทหารคนนี้กราดยิงไปทั่วทิศทางอย่างบ้าคลั่ง แต่นกกลายพันธุ์นั้นรวดเร็วเกินไป ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย แถมยังโจมตีแบบไม่เลือกหน้า ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
“ปังปังปัง”
ทหารคนหนึ่งกราดยิงด้วยความกลัวจนปืนหมดแม็ก ในวินาทีต่อมา เขาถูกฝูงนกกระโจนเข้าใส่พร้อมกันจนล้มลงกับพื้น ก่อนถูกพวกมันรุมทึ้งอย่างน่าสยดสยอง ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะในพริบตา
“ไปลงนรกซะ ไอ้พวกสัตว์นรก”
ทหารคนนั้นตัวเปียกโชกไปด้วยเลือด ตะโกนด่าฝูงนกในขณะที่กำลังดึงวงแหวนของระเบิดมือ
“ตู้ม ปังปัง”
“โธ่เว้ย!”
เพื่อนของทหารคนนั้นตะโกน เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนดูเพื่อนระเบิดตัวเองตายไปพร้อมกับฝูงนกจำนวนหนึ่ง
“ไอ้นกสวะ ฉันจะฆ่าพวกแก!”
เขารีบเปลี่ยนแม็กกาซีนเตรียมกราดยิง แต่จำนวนนกกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มท้องฟ้าและพื้นดิน พร้อมโจมตีจากทุกทิศทาง
ขณะที่นกกลายพันธุ์กำลังโจมตีทุกคน ขนของพวกมันก็ลุกเป็นไฟและมอดไหม้อย่างรวดเร็ว
ในเสี้ยววินาที นกกลายพันธุ์ทุกตัวที่อยู่รอบ ๆ ต่างลุกเป็นไฟ บางตัวรีบบินหนีทั้ง ๆ ที่ตัวมันถูกไฟคลอกอยู่
ทหารคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาเห็นว่าฝูงนกถูกไฟเผาจนมอดไหม้ ตอนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยนกที่ทั้งตัวลุกเป็นไฟ
บรรดาทหารที่เห็นฉากตรงหน้านี้ ต่างตกตะลึงจนลืมไปว่าต้องยิงปืน
“อะไรกันเนี่ย จู่ ๆ นกก็ถูกไฟเผา?”
“พรึ่บ ตุบ”
นกที่ไหม้เกรียมตัวหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าสู่พื้นดิน ตัวของมันไหม้เป็นสีดำสนิท และส่งกลิ่นเหม็นเน่าสะอิดสะเอียน
หลังจากนั้น นกกลายพันธุ์ที่ถูกไฟเผาก็ทยอยร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าทีละตัว ไม่มีตัวไหนรอดชีวิตเลย
“พวกเรารอดแล้ว มีเทพเจ้ามาช่วยเหรอ?”
เจ้าหน้าที่ชุดชีวเคมีที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องรถพึมพำอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นฉากตรงหน้า
ในขณะเดียวกัน คนที่ช่วยให้พวกเขารอดชีวิตมาได้ ปรากฏตัวพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกไหม้ไปทั่วร่าง ตะโกนขณะวิ่งไปด้วยว่า
“ลัวเฟิง เดี๋ยวฉันจะจุดไฟอีกรอบ ช่วยคุมลมให้โหมกองเพลิงที!”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมนุษย์เพลิงทำให้ทุกคนตกตะลึง ลัวเฟิงที่อยู่ด้านหลังมนุษย์เพลิงซึ่งสวมชุดกันลม ได้สร้างคลื่นลมขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ ก่อนควบคุมให้ลมกระโชกแรงขึ้น แล้วสั่งให้พายุหมุนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
เปลวไฟในตอนแรกได้รับอิทธิพลจากพายุหมุน ทำให้เปลวไฟกระจายไปทั่วท้องฟ้า แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าทึ่ง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยพายุเพลิง
ฉากตรงหน้านี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
ผู้รอดชีวิตที่หลบอยู่ในเต็นท์ ทหารที่ต่อสู้จนนองเลือด และอีกหลายคนต่างเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว พวกเขาเฝ้าดูพายุเพลิงที่กำลังแผดเผาฝูงนกนับไม่ถ้วน
นกที่ถูกไฟเผาร่วงตกลงมาทีละตัว สภาพของพวกมันไม่ต่างจากไก่ที่ถูกย่างสด
เมื่อสัมผัสถึงความหวังในความสิ้นหวัง ผู้รอดชีวิตต่างร่ำไห้ด้วยความยินดี
บรรดาทหารยกปืนขึ้นและช่วยยิงฝูงนก ขณะที่กราดยิงขึ้นไป พวกเขาเหมือนได้ระบายความเครียดไปด้วย
ขณะที่เจิ้งเหว่ยยิงปืนขึ้นฟ้า เขาหันไปมองสองพี่น้อง ลัวหลงและลัวเฟิง เกิดความรู้สึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้น่าชื่นชมมาก
แต่เมื่อนึกถึงผู้ปกครองของพวกเขา แม้จะไม่สบอารมณ์ในนิสัยของอีกฝ่าย เขาก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อทุกคนคิดว่าการโจมตีของฝูงนกกลายพันธุ์จบลงแล้ว
เสียงโหยหวนพลันดังก้องอยู่ในกลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้า
คลื่นเสียงนั้นแหลมคมมากจนทะลุผ่านเมฆ แม้แต่อากาศข้างบนยังสั่นสะเทือน
แสงแดดที่หายไปนานลอดส่องผ่านเมฆบาง ๆ ลงมาบนพื้นราวกับแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เงาสองร่างปรากฏขึ้น ลัวหลงที่ร่างกำลังลุกไหม้เป็นไฟ และลัวเฟิงที่มีสายลมพัดอยู่รอบตัว
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องลงมานั้น ทำให้พวกเขาดูน่าหวั่นเกรงมากขึ้น ราวกับทูตสวรรค์ที่มาช่วยมนุษย์ผู้โง่เขลาในวันสิ้นโลก
แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ชื่นชมยินดี แสงทองที่ส่องลงมา ถูกเงานกขนาดใหญ่บดบังอย่างน่าหวาดกลัว
เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ทุกคนพบว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่หลบอยู่ในเมฆดำทะมึน ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจนมองแทบไม่ทัน จู่ ๆ มันก็บินทะลุท้องฟ้าออกมา แล้วพุ่งตรงมายังลัวหลงและลัวเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่
“ปกป้องเด็กสองคนนั้นเดี๋ยวนี้!”
ทหารออกคำสั่งเสียงดังด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่แฝงไปด้วยความกลัว