บทที่ 40 การโต้เถียงรายงานจากอาชญากร
บทที่ 40
การโต้เถียงรายงานจากอาชญากร
เนื่องจากวันสิ้นโลกอุบัติขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลย จึงทำให้ทั้งโลกต่างประหลาดใจ
แต่ประเทศจีนนั้นมีการตอบสนองเร็วที่สุด หลังจากฝนกรดหยุดตก แผนรับมือเหตุฉุกเฉินก็เปิดใช้ทันที ทั้งประเทศจึงเข้าสู่สถานะพร้อมรบเต็มรูปแบบ พร้อมยิงระเบิดนิวเคลียร์ทุกเมื่อ
หลังเหตุการณ์ฝนกรด
วันแรก การลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์คือทุกฝ่ายต้องพร้อมทำสงคราม
วันที่สอง นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการช่วยเหลือ ถูกเรียกตัวให้เข้าไปในบังเกอร์ใต้ดินของกองกำลัง เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับฝนกรด
วันที่สาม ทั้งประเทศเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ด้วยกองกำลังทหารทั้งหมดที่มี
วันที่สี่ มีข่าวดีคือรัฐคิดค้นยาวัคซีนขึ้นมาได้ แต่ก็มีข่าวร้ายตามมาเพราะพวกเขาประเมินฝนกรดต่ำเกินไป
ในวันที่ห้า ภายในศูนย์ประชุมแห่งชาติ รัฐบาล ผู้บังคับบัญชาทหาร และนักวิทยาศาสตร์ต่างทำอะไรไม่ถูก ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ
ประธานาธิบดีซึ่งมีอายุล่วงเข้าวัยชราภาพ พูดอย่างครุ่นคิดว่า
“เข้าวันที่ห้าแล้วที่มีการระบาดของไวรัสซอมบี้ หากเราหาข้อสรุปตอนนี้และตัดสินฆ่ากลุ่มเสี่ยงตามอำเภอใจ สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับนโยบายและขนบธรรมเนียมของประเทศเราเลย”
“ถึงตอนนี้เราจะไม่รู้ว่าไวรัสซอมบี้รักษาได้รึเปล่า แต่ความจริงมันโหดร้าย ถ้าเราไม่รีบทำอะไรเลย จำนวนผู้เสียชีวิตทุกเมืองจะเพิ่มมากขึ้นหลายหมื่นคนต่อวัน”
“แน่นอนว่า นี่เป็นการประมาณการแบบอนุรักษนิยม เพราะการระบาดของเชื้อพรีออน ได้กวาดล้างโลกในชั่วข้ามคืน ผู้คนที่ติดเชื้อพากันกลายเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือด มีทางเลือกแค่ว่า เราจะรักษาพวกเขาที่ติดเชื้อหรือรักษาคนที่อาจถูกพวกติดเชื้อฆ่า?”
“เหตุผลนี้แหละเราจึงตัดสินชี้ขาดไม่ได้ ถ้าพรีออนสามารถรักษาได้ กว่าจะคิดค้นยาเราคงฆ่าพวกที่ติดเชื้อไปเยอะแล้ว!”
การตัดสินใจครั้งสำคัญของประเทศ ไม่อาจตัดสินได้ด้วยเพียงหนึ่งประโยคหรือสองประโยค เพราะมันคือการตัดสินใจที่อาจต้องคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน
ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมให้คำอธิบายว่า
“พรีออนปรับเปลี่ยนยีนของมนุษย์ เมื่อลำดับยีนถูกทำลายก็ไม่สามารถรักษาได้ แม้แต่ยาแผนโบราณที่สืบทอดกันมาก็ช่วยไม่ได้ ทางเราไม่รู้เลยว่าจะหาทางรักษาได้รึเปล่า”
“ถ้ารัฐจัดสรรทรัพยากรกับนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอล่ะ คุณพอประเมินเวลาได้ไหมถึงจะให้คำตอบเรื่องนี้ได้?”
“อาจจะสิบปีหรือร้อยปี สมมติฐานที่เราคิดขึ้นมามันใช้ไม่ได้เลย”
บรรยากาศในศูนย์ประชุมเงียบกริบอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน รายงานจากกองกำลังเขตเจียงเฉิงทำให้บางคนในศูนย์ประชุมอยู่เฉยไม่ได้
รายงานถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ทั่วไปผ่านคลื่นดาวเทียมควอนตัม ประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี รวมถึงผู้อาวุโส และผู้บังคับบัญชาการทหารได้รับรายงานพร้อมกัน หลายคนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะกำลังจดจ่ออยู่ว่าจะเปิดใช้งานหรือยิงระเบิดนิวเคลียร์ดีไหม
จนกระทั่งประธานาธิบดีหยิบสวมแว่นตาขึ้นมาสวม ค่อย ๆ เปิดอ่านรายงาน จากนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มอ่านรายงานอย่างละเอียด
ยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้น...
“ทุกคน รีบอ่านรายงานจากกองกำลังเขตเจียงเฉิงเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของประธานาธิบดี ทุกคนก็รู้สึกงุนงง พอต่างคนต่างเปิดรายงานขึ้นมา ทุกคนก็ตกใจกับเนื้อหาในรายงานเป็นอย่างยิ่ง
ศูนย์ประชุมซึ่งก่อนหน้านี้เงียบเป็นป่าช้า ตอนนี้กลับมีเสียงดังมากจนน่าตกใจ
“เจียงเฉิงสามารถไขความลับของฝนกรดได้ แถมยังเขียนไว้อย่างละเอียดอีกด้วย!”
“ใครเป็นคนเขียนรายงานฉบับนี้ มันละเอียดมาก ต้องเป็นอัจฉริยะแน่นอน!”
“เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเขียนรายงานนี้ แต่คนที่ส่งรายงานคือลัวหมิง ทหารกองหนุนรุ่นที่ 2 จากกองกำลังเขต เจียงเฉิง”
ประธานาธิบดีลุกขึ้นยืนแล้วออกคำสั่งทันที
“ส่งสำเนารายงานฉบับนี้ให้นักวิทยาศาสตร์ของเรา ให้พวกเขายืนยันความถูกต้องของรายงาน”
“จากนั้น ติดต่อไปที่เขตเจียงเฉิงเดี๋ยวนี้ ผมต้องการคุยกับคนที่ชื่อลัวหมิงด้วยตัวเอง”
ไม่น่าแปลกใจที่ประธานาธิบดีตื่นเต้นมาก ทางนักวิทยาศาสตร์ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย แต่รายงานฉบับนี้กลับเขียนเนื้อหามาอย่างละเอียดเกี่ยวกับกลไกการทำงานของฝนกรด การจัดเรียงองค์ประกอบ และลำดับยีน ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
หากได้รับการยืนยัน รายงานฉบับนี้จะเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศมาก ๆ หรือไม่ก็มีผลต่อคนทั้งโลกและ อารยธรรมของมนุษย์
“ไม่ได้มีแค่สาเหตุของโรคเท่านั้น แต่ยังมีข้อมูลประเภทและความแตกต่างของซอมบี้ และวิธีการฆ่าซอมบี้อีกด้วย!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนก็รีบเปิดอ่านหน้านั้นทันที
หลังจากนั้น บางคนที่อ่านก็พึมพำขึ้นมาว่า
“ลัวหมิงคนนี้เป็นอัจฉริยะจริง ๆ!”
...
ในเวลาเดียวกัน.
กองกำลังเขตเจียงเฉิงได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดของเขตสงคราม เรียกให้ลัวหมิงมารายงานตัว หลังจากถามถึงที่มาของรายงาน เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า
“สรุปว่า รายงานที่คุณส่งมา เฉินเทียนเซิงจากเขตกักกันเป็นคนเขียนสินะ?”
“ใช่ครับ”
ลัวหมิงแสดงสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับยืนหลังตรง
“เนื่องจากเฉินเทียนเซิงมีข้อมูลเกี่ยวกับวันสิ้นโลกไม่น้อย ผมจึงขอให้เขาช่วยเขียนรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้ครับ”
ผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดของเขตสงครามยกมือขึ้นแล้วพูดด้วยความลำบากใจ
“คุณลัวหมิง แล้วเฉินเทียนเซิงเป็นคนแบบไหน?”
ลัวหมิงตกตะลึง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทิ้งรายงานลงบนโต๊ะ
“อาชญากรเนี่ยนะ คุณเชื่อคำพูดของคนประเภทนี้ได้เหรอ!”
น้ำเสียงของผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดของเขตสงครามตำหนิลัวหมิงเสียงดังลั่น
“ถึงรายงานของเขาจะมีความน่าเชื่อถือสูงก็เถอะ แต่คุณจะให้ผมอธิบายกับที่ประชุมยังไง ว่าเจ้าของรายงานฉบับนี้เป็นของอาชญากรเต็มตัว!”
“ท่านนายพลครับ แต่...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
ผู้บังคับบัญชาขัดจังหวะและพูดเสริมว่า
“ลัวหมิง เห็นว่าเป็นเพื่อนเก่าหรอกนะ ผมถึงเชื่อในตัวคุณ แต่คุณเคยคิดไหมว่าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไงว่ารายงานนี้ถูกเขียนขึ้นโดยเขา”
“การบิดเบือนความจริง การนำข้อมูลผิด ๆ มาใช้ คุณรับผิดชอบไม่ไหวหรอก และผมก็รับไม่ไหวเหมือนกัน!”
ลัวหมิงขมวดคิ้ว ก่อนตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“ท่านนายพลครับ ผมขอรับรองเฉินเทียนเซิงโดยเอาหัวผมเป็นประกัน!”
ผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดยืดอก แล้วตะคอกกลับว่า
“คุณรับรองไปก็เท่านั้น นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนนับล้านเลยนะ!”
“ถ้าเกิดมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในรายงานละก็ มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก ถึงคุณไม่กลัวตาย แต่ผมกลัว!”
ลัวหมิงตอบกลับเบา ๆ ว่า “แต่ผมคิดว่าเฉินเทียนเซิงคิดถูก ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลก มีมากกว่าพวกเราหลายขุม”
“แล้วมันยังไง ข้อมูลนั้นยืนยันได้เหรอ ผมอยากถามคุณสักข้อ ในเมื่อเขาเองก็ผ่านเหตุการณ์ฝนกรดมาได้เหมือนกับคุณและผม ทำไมเขาถึงรู้เรื่องฝนกรดมากกว่าเรา?”
ก่อนที่ลัวหมิงจะตอบกลับ ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก
นั่นสิ ทำไมเฉินเทียนเซิงถึงรู้เรื่องมากกว่าใคร หรืออาจเป็นเพียงการคาดเดาของเขา แย่แล้ว ทำไมฉันมั่นใจสุ่มสี่สุ่มห้าไปแบบนั้น
เมื่อเห็นแววตาของลัวหมิง ผู้บังคับบัญชาการก็นั่งลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงว่า
“เรื่องนี้เริ่มต้นโดยตัวคุณเอง ก็จบปัญหานี้เอาเอง ไม่ว่าเบื้องบนต้องการอะไร คุณต้องจัดการด้วยตัวคนเดียว ผมไม่เอาหน้าที่การงานของตัวเองไปเสี่ยงหรอก ถ้าไว้ใจอาชญากรนั่นมาก ก็แล้วแต่เลย!”
ผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดไล่ลัวหมิงออกไป ปล่อยให้เขาคุยกับเบื้องบนด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกัน ทางเข้าออกเขตกักกันได้ปิดประตูแล้ว
เฉินเทียนเซิงและคนอื่น ๆ มองไปยังความว่างเปล่าที่ท้ายรถ ซึ่งเหลือเสบียงแค่ 3 กล่อง บรรยากาศของทุกคนตกอยู่ในความเศร้าหมอง
“อาจารย์ เราเหลือเสบียงแค่นี้เองครับ”
เฉินเทียนเซิงพูดอย่างเฉยเมย
“คนที่ขาดแคลนอาหารยังเอาชีวิตรอดได้ด้วยการดื่มฉี่ตัวเองเลย พวกเธอสองคนรออยู่ที่นี่ ส่วนหยางเซวี่ยไปกับฉัน”
“ไปไหนเหรอ?”
ทั้งสามถามพร้อมกัน
“ไปหาน้ำมันไง”
ลัวหลงรีบตะโกนว่า “อาจารย์ ผมขอไปด้วย”
“ไม่ได้ พวกเธอสองคนไปไม่ได้”
เฉินเทียนเซิงกระโดดลงจากรถ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“ตอนนี้ไม่มีที่ปลอดภัยให้อยู่แล้ว พวกเธอต้องช่วยกันตั้งค่ายพักแรมที่นี่ ต่อให้ตามไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เชื่อฉันเถอะ”