บทที่ 35 ชายเจ้าอารมณ์
บทที่ 35
ชายเจ้าอารมณ์
“เปล่า ไปหาอวี้ซีหยวนต่างหาก”
เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจในครั้งเดียว ทำให้อี้ยิ่งสับสนมากขึ้น
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรมากไปกว่านี้ ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนทิศทางรถม้าเสียใหม่ แล้วมุ่งตรงไปยังเรือนจำ
——
ลั่วจ้านชิงจับจ้องไปยังอวี้ซีหยวน แล้วเอ่ยถาม “เม็ดยาเจินเหยียนมีประสิทธิภาพดีหรือไม่?”
อวี้ซีหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดจะตรวจสอบผลลัพธ์ของเม็ดยาเจินเหยียน?”
“คาดเดา”
อวี้ซีหยวน “...” นางไม่สามารถคาดหวังอะไรในตัว ลั่วจ้านชิงได้เลย
“ท่านไม่เห็นหรือ ออกฤทธิ์ดีเยี่ยมทีเดียวเชียว!”
“ข้าจะมองเห็นได้อย่างไร”
“ท่านเป็นเสด็จอาของนาง ควรรู้อุปนิสัยของนางดีที่สุดมิใช่หรอกหรือ? ข้าได้ยินมาว่าฟางจื่อเซวียนเป็นที่นิยมชมชอบอย่างยิ่งในอดีต แต่หลังจากนางกลืนกินเม็ดยาเจินเหยียนเข้าไป กลับกลายเป็นทำตัวน่ารำคาญผิดหูผิดตา เห็นได้ชัดเจนว่านางเสแสร้งมาโดยตลอด”
คิดเปลี่ยนดำให้กลายเป็นขาว โต้เถียงด้วยถ้อยคำชวนเชื่อ นางคงรู้สึกอับอายขายหน้าที่ต้องคุกเข่าต่อหน้าฟางอวี้ จึงคิดบิดเบือนความจริงว่าตนมาที่นี่เพื่อทักทายแขกแปลกหน้าเท่านั้น
ทักทายอย่างไรกันจึงทำให้อวี้ซินหรานเกือบตาย? หึ นางหญิงอสรพิษ!
“ข้าไม่รู้”
คำกล่าวของลั่วจ้านชิงขัดจังหวะความคิดของอวี้ซีหยวน นางเหลือบมองฝ่ามือของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนตามผิวหนัง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ ราวกับความคิดสับสนภายในตีกันยุ่งเหยิง
ความโกรธอาจเป็นบ่อนทำลายสภาพจิตใจ และไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก!
อวี้ซีหยวนครุ่นคิดในใจ ดูเหมือนว่านางต้องหาตัวยาเพื่อใช้ในการขับล้างพิษให้เร็วขึ้น เพราะหากนางยังคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตัวนางอาจระเบิดจนตายตกไปก่อนที่จะกลับคืนสู่ดินแดนเทพได้สำเร็จ... เป็นเช่นนั้นแล้วอาจน่าโมโหยิ่งกว่า
“ข้าไม่รู้”
ลั่วจ้านชิงมองดูท่าทางสับสนเหม่อลอยของอวี้ซีหยวนแล้วกล่าวซ้ำอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงหนักแน่นขึ้นกว่าหนแรกเล็กน้อย
“ไม่รู้งั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านเป็นเสด็จอาของนาง กล่าวถึงเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าและซินหรานคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
ทุกคน ณ ที่นั้นอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฟางจื่อเซวียนคลั่งไคล้ในฐานะและเกียรติยศของลั่วจ้านชิงเพียงใด หากไม่ใช่เพราะพวกนางอาศัยอยู่ร่วมชายคาพระตำหนักเดียวกันกับองค์ชายรัชทายาท อวี้ซีหยวนคงไม่ถูกนางกลั่นแกล้งราวสุนัขบ้าเช่นนี้เป็นแน่
“ข้าไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับนาง”
ขณะนั้นเอง ฉางอี้หยุดรถม้า ก่อนจะเอ่ยอธิบาย “คุณหนูอวี้ มีสตรีมากหน้าหลายตาที่ผูกใจชื่นชมท่านอ๋อง ทว่าท่านอ๋องทรงมีจิตใจและอุปนิสัยที่เย็นชา ไม่คิดใส่ใจสตรีเหล่านั้น แม้แต่เครือพระญาติ ยกเว้นจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว นอกเหนือจากนั้นท่านอ๋องก็ไม่ค่อยสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขามากนัก”
อวี้ซีหยวนพยักหน้า “ท่านอ๋องของเจ้าไม่เรียกว่าเย็นชาเพียงอย่างเดียว เรียกว่าเจ้าอารมณ์เสียมากกว่า!”
ฉางอี้กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ลอบสังเกตท่าทีของลั่วจ้านชิงอย่างระมัดระวัง อวี้ซีหยวนผู้นี้ช่างสรรหากระตุ้นความเกลียดชังเข้าตัวเสียจริง หากท่านอ๋องเกิดความไม่พอใจ อาจทำสิ่งใดที่ไม่อาจคาดเดา โชคดีที่ท่านอ๋องเลือกที่จะเมินเฉยเสีย
ทันทีที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับได้ยิน ลั่วจ้านชิงเอ่ยว่า “ฉางอี้ ข้ามีจดหมายต้องส่งยังชายแดน” ว่าแล้วเขาก็ก้าวลงจากรถม้าไปก่อนใคร
ฉางอี้ “...” ไม่ได้เลือกที่จะเพิกเฉยหรอกหรือนี่?
อวี้ซีหยวนหันมองเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เอื้อมมือไปตบบ่าเขา แล้วอุ้มอวี้ซินหรานลงมาจากรถม้า
ลั่วจ้านชิงมีคำสั่งถอนกำลังบรรดาองครักษ์เงาที่เคยเฝ้าติดตามอวี้ซีหยวนไปทั้งหมดจนเหลืออยู่เพียงคนเดียว อวี้ซีหยวนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้ม ก่อนจะหันไปถามจ้านซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ขณะที่ลั่วจ้านชิงพาคนกลุ่มหนึ่งให้ติดตามเขาออกไป
“ข้าจะบอกความจริงกับท่าน คุณหนูอวี้โปรดอย่าทุบตีข้าก็แล้วกัน”
อวี้ซีหยวนเลิกคิ้วพลางชำเลืองมองเขา จ้านมีรูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลา สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม หากไม่ทราบตัวตนของเขา อาจคิดว่าเป็นคุณชายแห่งจวนใดจวนหนึ่งอย่างแน่นอน ทว่าพลังวิญญาณลึกล้ำซึ่งอยู่ในจุดตันเถียนนั้นไม่ควรประมาทแต่อย่างใด
ระดับกลางของขอบเขตปฐมสวรรค์ อายุยังหนุ่มแน่น รอบกายของลั่วจ้านชิงรายล้อมไปด้วยเสือหมอบและมังกรซ่อนคมเขี้ยว
เพียงแต่…
“ต่อให้ข้าต้องการต่อสู้ แต่เกรงว่าข้าคงไม่อาจเอาชนะได้!”
ว่าแล้วจ้านก็ยกมือขึ้นลูบบริเวณท้ายทอยตนเอง
ความจริงแล้วอวี้ซีหยวนมีชื่อเสียงว่าเป็นบุคคลไร้ค่า แต่ถึงอย่างไร... นางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่กล้าต่อสู้กับท่านอ๋อง จ้านไม่มีทางดูถูกความสามารถของนางอย่างเด็ดขาด
ไม่แน่ว่าในอนาคต ทั้งสองอาจพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกระดับหนึ่ง จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับจ้านที่จะกระทำการบุ่มบ่ามกับอวี้ซีหยวน