บทที่ 32 ผมจะทำรายงานให้เอง
บทที่ 32
ผมจะทำรายงานให้เอง
เฉินเทียนเซิงเงยหน้าขึ้น หันไปมองลัวหลงกับลัวเฟิงด้วยแววตามั่นใจ ก่อนจะโบกมือ “เธอสองคนมานี่หน่อย”
ทั้งสองรีบเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปหา จากนั้น เฉินเทียนเซิงก็พูดอย่างจริงจัง
“ใช่ว่าฉันปิดโอกาสไม่ให้เธอสองคนเข้าร่วมองค์กรเสียเลย แต่ในระยะแรก ๆ พวกเธอต้องเชื่อฟังฉันก่อน จนฉันแน่ใจว่าอีกหน่อยพวกเธอแกร่งพอที่จะอยู่ตัวคนเดียวได้ ถึงตอนนั้นพวกเธออยากไปไหนก็ได้ทั้งนั้น”
ลัวหลงรีบแสดงความคิดเห็น
“อาจารย์ จากนี้ไปผมจะติดตามคุณแค่คนเดียว ไม่ว่าคุณสั่งอะไรผมก็ยินดีทำ ต่อให้ต้องฝ่าภูเขาดาบหรือก้าวลงกระทะน้ำมัน ผมก็จะไม่ลังเล”
ลัวเฟิงยืนยันอีกเสียง
“ใช่แล้วค่ะอาจารย์ พวกเราไม่อยากเข้าร่วมกับกองทัพ พวกเราอยากผจญภัยไปพร้อมกับคุณ”
การคาดเดาของลัวหมิงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายในวันเดียว หลานทั้งสองจะกลายเป็นคนของครอบครัวอื่นไปโดยสมบูรณ์
คิดแล้วเขาก็ถอนหายใจหนักหน่วง
“ที่คุณพูดมา ฉันว่ามันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่หรอก แต่ฉันไม่เข้าใจเลย คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน? ราวกับคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวันสิ้นโลกอย่างนั้นแหละ รู้ไปซะทุกเรื่อง”
“คุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
เฉินเทียนเซิงตบไล่ลัวหมิงแรง ๆ
“จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ต่อต้านการเข้าร่วมกับองค์กรซะทีเดียว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจริง ๆ”
เฉินเทียนเซิงมองไปรอบ ๆ เขตกักกันจนทั่วขณะที่เอามือไพล่หลัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เขตกักกันที่นี่ก็เหมือนกัน นอกจากจะว่างเปล่าแล้วยังไม่มีประโยชน์ เหตุผลที่ทางการรวบรวมคนจำนวนมากให้มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเป็นอาหารให้กับสัตว์กลายพันธุ์ รอให้คนเหล่านั้นค้นพบความจริงในสักวันหนึ่ง พวกเขาต้องงัดกลอุบายทั้งหมดออกมาใช้แน่ คุณคงพอเดาได้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
“ไม่มีทาง คุณพูดจริงเหรอ” ใบหน้าลัวหมิงกลับไปซีดเผือดอีกครั้งด้วยความตกใจ
“ถ้าไม่เชื่องั้นก็ตามผมมา”
เฉินเทียนเซิงโบกมือ พาดแขนโอบไหล่ของลัวหมิงไว้ ทำตัวราวกับพวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันมานานปี เดินเล่นอยู่ภายในค่ายเขตกักกันโดยไม่สนสิ่งใด ๆ ลัวหลงกับลัวเฟิงเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
จากนั้นเขาก็เดินวนเป็นวงกลม ฉุดลัวหมิงให้ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ กับพื้น พร้อมกับหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ผมบอกแล้ว ฝนกรดทำลายพันธุกรรมทางชีวภาพไปจนหมด ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ยังรวมถึงสัตว์ พืช และแมลงอีกด้วย”
บนกิ่งไม้นั้นมีมดขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือเกาะอยู่ ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมดขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน
“มันเป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับต่ำสุด ไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าคุณบังเอิญโดนมันกัดระหว่างนอนหลับในตอนกลางคืนขึ้นมา มันอาจทำให้คุณกลายเป็นซอมบี้ภายในหนึ่งชั่วโมง!”
“ตายห่า!”
ลัวหมิงผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามใบหน้า
เฉินเทียนเซิงเองก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน โยนกิ่งไม้ทิ้งลงพื้น แล้วปัดฝ่ามือพลางพูดว่า
“พวกคุณทุกคน อย่าลืมว่านี่คือวันสิ้นโลก หยุดสร้างปัญหากันได้แล้ว ม่านเพิ่งเลื่อนเปิด ดนตรียังไม่ได้ขับขานอย่างเป็นทางการ แม้แต่นักแสดงก็ยังไม่ทันจะปรากฏตัวเป็นเวทีด้วยซ้ำ”
หลังจากเฉินเทียนเซิงพูดจบ เขาก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป ข้อมูลทั้งหมดที่เขาทิ้งไว้ส่งผลกระทบต่อลัวหมิงอย่างใหญ่หลวง แม้ผ่านไปนาน แต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งไม่ได้สติ
“คุณเฉินครับ ผมเป็นหัวหน้าประจำเขตสงคราม ขอคุยกับคุณสักครู่ได้ไหม?”
ระหว่างเดินกลับ ทหารยศผู้กองอีกคนก็เดินมาขวางทางเขาไว้
“คุณอยากพูดคุยเกี่ยวกับอะไรล่ะ?”
ผู้กองคนนั้นพูดอย่างจริงจัง
“เรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ระดับชาติ ทุกคนควรร่วมมือกันฟันฝ่า ตอนนี้อารยธรรมมนุษย์มีแนวโน้มว่าจะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะโฟกัสกับสถานการณ์โดยรวม และยอมปล่อยให้เด็กสองคนของคุณไปที่เขตสงครามกับพวกเรา”
“ถ้าคุณโน้มน้าวพวกเขาได้ก็เชิญเลย”
เฉินเทียนเซิงเดินผ่านหน้าเขากลับไปนังรถบรรทุกคันใหญ่ แล้วเอนตัวลงนอนอาบแดดต่อ
หลังจากนั้นผู้กองก็เริ่มโน้มน้าวลัวหลงกับลัวเฟิงด้วยสารพัดเหตุผล แต่ทั้งสองกลับไม่สนใจจะฟังคำพูดไร้สาระของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ เรามาที่นี่ด้วยความจริงใจนะ”
ในขณะที่ผู้กองคนนั้นกำลังจะเติมเชื้อไฟ ลัวหมิงก็เดินเข้าไปตบไหล่อีกฝ่าย
“ให้ผมลองดู”
เขารีบเดินไปนั่งลงข้างเฉินเทียนเซิง ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น
“ฉันยอมรับว่าสิ่งที่คุณพูดมีเหตุผล ในเมื่อคุณรู้อะไรมากมายขนาดนี้ แปลว่าต้องมีทางออกอื่นใช่ไหม?”
“ผมยืนยันคำเดิม ผมยินดีช่วยพวกคุณแก้ปัญหาได้ แต่ผมไม่ขอปฏิบัติตามคำสั่ง คุณไม่ต้องพยายามโน้มน้าวว่าผมควรทำยังไงหรอก คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนยอมใคร”
“ฮ่าๆๆ ฉันรู้ว่าพี่เฉินเป็นคนมีพรสวรรค์ แถมยังเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้”
ลัวหมิงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเจรจาซะใหม่ เริ่มใช้วิธีประจบสอพลอ
“ฉันคิดว่าทุกอย่างที่คุณพูดมาถูกต้อง แต่เล่าให้ผมฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำไมคุณไม่ลองเข้าไปที่เขตสงครามพร้อมกับฉันดูล่ะ? จะได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้หัวหน้าของฉันฟัง?”
เฉินเทียนเซิงเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง ถามกลับว่า
“ถ้าผมไป ชีวิตคนอีกหลายพันในเขตกักกันนี้คงไม่สำคัญว่าจะอยู่หรือตายสินะ?”
“นี่ หมายความว่ายังไง?”
เฉินเทียนเซิงพูดอย่างคนมีชัยเหนือกว่า “สำหรับผม ก่อนวันสิ้นโลกผมเคยทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ ผมสามารถพิมพ์รายงานเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองได้ คุณแค่ไปหาคอมพิวเตอร์มาให้ผมสักเครื่อง แล้วผมจะส่งมอบรายงานที่ว่าให้คุณเอง จากนั้นไม่ว่าหัวหน้าคุณจะเชื่อหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมอีก”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างหนัก”
ลัวหมิงเอื้อมมือไปตบไหล่เฉินเทียนเซิง จากนั้นก็เรียกผู้กองอีกคนให้เข้ามาหา
“คุณช่วยผมจัดการเรื่องนี้หน่อย เบิกคอมพิวเตอร์มาที่นี่หนึ่งเครื่อง สเปคสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
ผู้กองมองหน้าลัวหมิงด้วยความสับสน ลัวหมิงเป็นถึงใคร เขาคือฮีโร่ที่ยอมเผาปั๊มน้ำมันของตัวเองเพื่อกำจัดซอมบี้จำนวน 3,000 ตัวในคราวเดียว
แต่จู่ ๆ เขากลับยอมทำตามคำขอของผู้ชายจอมหยิ่งคนนี้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้น ศีลธรรมโลกกลับตาลปัตรไปแล้วหรือยังไง!
ในไม่ช้าคอมพิวเตอร์ก็ถูกยกขนเข้ามา มันเป็นแล็ปท็อปทางการทหาร เป็นสินค้าใช้เฉพาะในกรมทหารไม่พอ ยังผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงอีกด้วย
แล็ปท็อปนี้มีน้ำหนักมากถึง 10 จิน ลักษณะภายนอกเหมือนเป็นกระเป๋าเดินทาง ชาร์จไฟด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ผลิตจากแกรฟีน* โปรเซสเซอร์**ใช้ชิปแบบ Snapdragon*** เชื่อมสัญญาณดาวเทียมได้ ต่อให้อยู่กลางทะเลทรายก็ยังสามารถเชื่อมต่อระบบได้ปกติ ถือเป็นเทคโนโลยีเสปคสูงสุดและล้ำสมัยที่สุดในโลก
*แกรฟีน = ผลึกคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง คุณสมบัตินำไฟฟ้าสูงและมีความโปร่งใสทางแสงสูง
**โปรเซสเซอร์ = หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU
***Snapdragon = หน่วยประมวลผลแบบรวมการทำงานส่วนต่าง ๆ เข้ามาบนบอร์ดแผ่นเดียว เพื่อการทำงานที่เร็วขึ้นและกินพลังงานน้อยลง
ไม่ใช่แค่นั้น วัสดุยังทนทานต่อการกระแทก ตกไม่แตก กันน้ำ ทนไฟ แถมยังกันกระสุนได้ดี ต่อให้โดนรถบรรทุกเหยียบก็ยังเอามาใช้งานต่อได้ คอมพิวเตอร์เครื่องนี้เป็นคอมพิวเตอร์ในฝันของนักเขียนโค้ดหลายคนตั้งแต่ก่อนจะเกิดวันสิ้นโลกแล้ว ถึงมีเงินมหาศาลก็ใช่ว่าจะซื้อมาครอบครองได้
“ดีเลย วันพรุ่งนี้คุณค่อยมารับรายงานจากผมอีกทีก็แล้วกัน”
เขาขึ้นไปนั่งอยู่ในรถบรรทุกพร้อมกับแล็ปท็อปเครื่องนั้น แล้วเริ่มต้นพิมพ์รายงานโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก
…
ลัวหมิงไม่สามารถรั้งรออยู่ที่นี่ต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้ในวันนี้สำคัญมาก ต้องรีบรายงานอย่างเร่งด่วน
หลังจากสรุปเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดครบถ้วนแล้ว เมื่อหัวหน้าเขตสงครามได้รับฟังสุนทรพจน์ของอีกฝ่าย ก็ถึงกับตกตะลึงนิ่งไป
ความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือก่อนจะเกิดวันสิ้นโลก เฉินเทียนเซิงเคยเป็นอาชญากรรายใหญ่ที่ทางการต้องการตัว
ทีมกู้ภัยรายงานตามจริงว่าตอนที่พวกเขาออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ เฉินเทียนเซิงกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ความร่วมมือท่าเดียว เจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันเองก็รายงานว่า เฉินเทียนเซิงมีบุคลิกขวางโลกแค่ไหน แม้แต่ผู้คนจำนวนมากก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน แถมยังรุมประณามเขาเสีย ๆ หาย ๆ
แล้วทำไมลัวหมิงถึงได้เชื่อมั่นในข้อมูลของคนแบบนี้นักหนา
ถ้าตัดเรื่องที่เฉินเทียนเซิงเป็นคนขวางโลกออกไป ข้อมูลที่ลัวหมิงนำไปรายงานต่อก็สร้างความตื่นตัวให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่น้อย ตอนนี้ขาดแค่รายงานฉบับสมบูรณ์เท่านั้น
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เชื่อมต่อกับสายภายใน
“แจ้งหน่วยแนวหน้าของเขตปลอดภัย ปล่อยคนขวางโลกเฉินเทียนเซิงนั่นไปก่อน แค่ระวังอย่าให้เขาสร้างปัญหาอีกก็พอ โฟกัสไปที่การให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างแรก วันนี้ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมาก วันพรุ่งนี้เราจะทำงานกันอย่างหนักต่อไป เพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตให้มากขึ้น”
ขอแค่วันนี้ผ่านไปด้วยดี วันต่อไปก็ราบรื่น นี่คือแนวคิดที่หน่วยกู้ภัยและค้นหาผู้รอดชีวิตยึดถือในการปฏิบัติงาน โดยไม่รู้เลยว่าความชะล่าใจอาจนำความสูญเสียมาสู่ทหารทุกหมู่เหล่า
แต่เหตุนั้นจะเกิดขึ้นในภายหลัง
เขตกักกัน
หลังจากเฉินเทียนเซิงเข้าไปอยู่ในรถบรรทุกพร้อมกับแล็ปท็อป เขาก็มอบหมายงานใหม่ให้กับลัวหลง
ส่องหามด แล้วกำจัดทิ้งอย่าให้เหลือ
ลัวหลงผู้น่าสงสาร เป็นถึงมนุษย์คนแรกในโลกที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติ ตอนนี้กลับต้องมานั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นหญ้า ถือกิ่งไม้ไว้ในมือเพื่อเขี่ยหามดกลายพันธุ์
ลัวเฟิงมีความสุขมาก เธอคอยดูแลอาหารสามมื้อ รวมถึงคอยจัดการความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของทุกคน
หน้าที่ดำเนินไปอย่างนี้จนถึงตอนเย็น พอท้องฟ้าเริ่มมืด แขกไม่ได้รับเชิญที่คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัว ก็มายืนแอบอยู่ข้างรถบรรทุกสินค้า
หม่าเชี่ยนเชี่ยน