บทที่ 31 เม็ดยาเจินเหยียน
บทที่ 31
เม็ดยาเจินเหยียน
ทุกคนได้ยินดังนั้นแล้ว ท่าทางการแสดงออกของพวกเขาแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะฉางอี้
เหตุใดเรื่องราวที่เขาได้ยินมาจึงแตกต่างจากสิ่งที่เขาเห็นกับตานักเล่า?
องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งที่ฟางจื่อเซวียนกล่าวมาไม่ใช่ความจริงเลยสักกระเบียด แต่... ถึงอย่างไรเขาก็ต้องลำเอียงเข้าข้างฝั่งครอบครัวของตนเอาไว้ก่อน
ถึงแม้เขามีนิสัยหยิ่งยโสมุทะลุ อย่างน้อยก็ไม่เคยโป้ปดมดเท็จ
ฉางอี้ผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมาก้าวออกไปด้านหน้า วางร่างอวี้ซินหรานที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนลง ก่อนจะโค้งคำนับ ฟางอวี้ แล้วกล่าวออก “องค์หญิงจื่อเซวียน ขอพระองค์โปรดทูลความจริงด้วย ในเวลานั้นมีสายตามากมายที่เห็นเหตุการณ์ ทว่าคำกล่าวของพระองค์ไม่สอดคล้องกัน เกรงว่าอาจลบล้างข้อเท็จจริงได้ยาก”
ด้วยบุคลิกของอวี้ซีหยวนที่เขาจับสังเกตมาเป็นเวลานาน หากสิ่งต่าง ๆ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นจริง ไม่แน่แรงโทสะของ อวี้ซีหยวนอาจทำให้คนตายได้
ดวงตาของฟางจื่อเซวียนทอประกายเจิดจ้า นางมองไปที่ฉางอี้ด้วยสายตาดุร้าย ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงคำพูด
“อะ... องค์หญิง กระหม่อมพูดความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า...”
“เป็นอะไรไป” อวี้ซีหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นดังที่ข้าคาดการณ์ไว้ สตรีแม้อยู่ในเขตพระราชฐานก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี! ไม่อยากพูดความจริงนักใช่หรือไม่? หึ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ายอมเอ่ยปากเอง!”
อวี้ซีหยวนก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะโยนยาเม็ดในมือของตนเข้าไปในริมฝีปากของฟางจื่อเซวียนที่อ้ากว้าง
เม็ดยาละลายในปากอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่า ฟางจื่อเซวียนจะตอบสนองต่อมันอย่างรวดเร็วเพียงใดก็ตาม แต่ก็สายเกินไปที่จะคายมันออกมา
“เจ้าโยนสิ่งใดเข้าปากข้า?!”
อวี้ซีหยวนเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ยาพิษ เป็นเพียงยาเจินเหยียนเท่านั้น”
เม็ดยาเจินเหยียน ตามชื่อของมัน ตราบใดที่ผู้คนกินยาเม็ดนี้เข้าไป ภายในสามสิบชั่วโมงข้างหน้า พวกเขาจะคายความจริงทั้งหมดที่เก็บซ่อนไว้ภายในใจออกมาอย่างหมดเปลือก
แม้ว่ามันจะไม่มีคุณสมบัติในเชิงรุกหรือเชิงป้องกัน ทว่าคุณสมบัติของมันกลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเวลานี้
ฟางจื่อเซวียนไม่มีเวลาแม้แต่จะคายเม็ดยาที่ อวี้ซีหยวนฉวยโอกาสยัดเข้าไปในริมฝีปากตน ยังไม่ทันไรผลลัพธ์จากยาก็เริ่มออกฤทธิ์แล้ว
ทุกคนล้วนเห็นว่าองค์หญิงฟางจื่อเซวียนพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะจ้องเขม็งไปยังอวี้ซีหยวน ความขุ่นเคืองมหาศาลในระดับที่น่าตกใจระเบิดออก
“นังแพศยา! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำกับข้าเช่นนี้!”
“เจ้ามันตัวน่าขยะแขยง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเสด็จอา รัชทายาทจะชื่นชมในตัวเจ้า! ทั้ง... ทั้งยังพาเจ้ากลับมาอาศัยอยู่ร่วมพระตำหนักอีกด้วย ใบหน้าของเจ้าออกจะน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ กลับมีทักษะในการเกลี้ยกล่อมและดึงดูดใจคนมากมายนัก”
“นังวิปลาส หากวันนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ ข้าจะยอมตายตกไปเสีย”
หลังจากพ่นคำผรุสวาทออกมาเช่นนั้น นางรีบคว้าเอาแส้ออกมาแล้วฟาดไปที่ร่างของอวี้ซีหยวนอย่างรุนแรง
อวี้ซีหยวนเบี่ยงกายหลบเลี่ยงได้ทันเวลา
แส้ที่ถูกหวดฟาดออกไปจนสุดแรง กระแทกกับพื้นตรงหน้ากระทั่งเกิดรอยร้าว
อวี้ซีหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะมองไปที่ฟางจื่อเซวียน แม้ว่านางไม่มีพลังทางจิตวิญญาณสูงส่งนัก ถึงกระนั้นนางก็ยังมี หากคาดเดาไม่ผิดฟางจื่อเซวียนควรเป็นผู้ฝึกตนระดับกลางในขั้นกลั่นลมปราณกระมัง
แต่เป็นผู้ฝึกตนแล้วอย่างไร?
ตราบใดที่นางกล้าทำร้ายอวี้ซินหราน ต่อให้บรรลุถึงขั้นขอบเขตแกนทองคำก็ต้องชดใช้
ฉางอี้มองเห็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอวี้ซีหยวนจากด้านข้าง เขารู้จักอวี้ซีหยวนดีว่าร่างกายของนางไม่แข็งแกร่งซ้ำยังไร้ประโยชน์ จึงต้องการเข้าไปช่วยเหลือ ทว่ากลับถูกสายตาของลั่วจ้านชิงห้ามปรามไว้
ดังนั้น เขาจึงกระทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากยืนสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ
หัวใจที่วิตกกังวลจนเกินไป ทำให้เขาลืมไปเสียสนิท ว่าแม่นางที่ควรจะนับได้ว่าเป็นเพียง ‘ไม้ผุผัง’ ผู้นี้ เมื่อครึ่งเดือนที่แล้วเคยต่อสู้กับองค์ชายรัชทายาทด้วยฝีมือที่นับว่าสูสี...
“นังโง่ เจ้ากระโดดหลบข้าด้วยเหตุใด? ยืนหยัดอยู่กับที่แล้วปล่อยให้ข้าทุบตีโดยดีซะ!”
อวี้ซีหยวนหัวเราะ ลอบเหลือบมองไปทางฟางอวี้ด้วยสายตาเย็นชา ยังคงกล่าวต่อไป “หากทำเช่นนั้นข้าก็คงไร้ความสามารถ ยืนหยัดอยู่กับที่แล้วปล่อยให้ท่านทุบตี? นั่นไม่ยิ่งโง่เขลาหรอกหรือ?”
ฟางอวี้เริ่มรู้สึกกระวนกระวายกับสายตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย ครั้นเห็นว่าฟางจื่อเซวียนไม่คิดใส่ใจภาพลักษณ์ของตนในฐานะที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์เช่นนั้น สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที
“ไร้สาระ! แค่กๆๆ… จื่อเซวียน หัดคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเสียบ้าง เป็นถึงองค์หญิงแท้ ๆ สมควรแล้วหรือที่ทำกิริยาต่ำทรามเช่นนี้!”