บทที่ 30 เอาของมาแลกเปลี่ยน
บทที่ 30
เอาของมาแลกเปลี่ยน
เขตกักกันมีพื้นที่กว้างขวางมาก ครอบคลุมพื้นที่หลายหมื่นตารางเมตร ส่วนแรกเป็นประตูด่านหน้า ส่วนที่สองเป็นจุดจอดรถบรรทุกและปืนใหญ่ ส่วนที่สามคือบริเวณเขตกักกันและพื้นที่ปลีกวิเวก
ใครคนหนึ่งในเขตกักกันมีเสบียงอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก แถมในกลุ่มของเขายังมีคนที่สามารถควบคุมไฟและลมปรากฏตัวขึ้น ข่าวนี้กระจายไปทั่วทั้งเขตปลอดภัยในเวลาอันสั้น
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้มีอำนาจทางการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนงานอื่น ๆ ตอบสนองโดยทันที เร่งรุดเข้าไปในเขตกักกันเพื่อเจรจากับเฉินเทียนเซิงทีละคน
รถบรรทุกคันใหญ่โดดเด่นสะดุดตาอยู่กลางพื้นที่โล่งกว้าง รอยไฟไหม้เป็นวงกลมบนพื้นดินคือหลักฐานชั้นดี ถึงแม้ว่าไฟจะมอดดับลงไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งความรู้สึกเหลือเชื่อเอาไว้
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ถือใบปลิวไว้ในมือ ตั้งท่าจะเข้าไปเจรจาก่อนเป็นรายแรก แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าสู่วงล้อมไฟ ลัวหลงก็โผล่มายืนขวางทางไว้ ฝ่ามือลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
“มีอะไร?”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์คนนั้นยื่นใบปลิวให้ลัวหลงด้วยความตื่นเต้น
“ฉันมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ จากความสามารถของคุณ พวกคุณจะได้รับการบรรจุเป็นผู้นำกองกำลังระดับสูงสุด”
ลัวหลงเหลือบมองมันแค่ปราดเดียว วินาทีต่อมา ใบปลิวแผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
“อืม ผมรู้แล้ว ทีนี้พวกคุณก็ไปได้แล้ว”
“คุณผู้ชาย คุณผู้ชาย ลองพิจารณาดูอีกครั้งเถอะ ตอนนี้คนทั้งประเทศต้องการคนมีความสามารถแบบคุณนะ”
ตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากลัวหลง ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามวงล้อมไฟเข้าไปได้ทั้งนั้น แม้แต่ทหารภายในเขตปลอดภัยก็ตาม
ลัวหลงเดินย้อนกลับไปทางรถบรรทุก ขณะเดียวกันนั้น เฉินเทียนเซิงก็กำลังนอนอยู่บนกล่องลังกระดาษอาบแดดด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“อาจารย์ครับ พวกเขาอยากให้เราเข้าร่วมกับองค์กรกับเขา”
“อืม อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก”
เฉินเทียนเซิงไม่แม้แต่จะลืมตามองด้วยซ้ำ ยังคงทำตัวหยิ่งต่อไป เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ยังคงรออย่างอดทนอยู่นอกวงล้อมไฟ ชะเง้อคอมองเป็นระยะเพื่อรอคอยคำตอบ
พอหันหน้ามองไปอีกทางโดยบังเอิญ ก็เห็นว่าเจิ้งเหว่ย กำลังวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์รีบทักทายเขาอย่างสุภาพ “เจิ้งเหว่ย คุณนั่นเอง”
“คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
เจิ้งเหว่ยไม่ได้สนใจมากนัก ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ อีกก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามเข้าไปในเขตวงล้อมไฟแล้ว
ยังไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะจรดพื้น ขี้เถ้าที่คุกรุ่นอยู่บนพื้นก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เจิ้งเหว่ยตกใจมากจนเกือบล้มลงหัวทิ่ม ลูกน้องของเขาเห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาช่วยดับไฟที่ไหม้กางเกงเขาทันที
“เจิ้งเหว่ย คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เจิ้งเหว่ยดันแว่นตาตัวเองขึ้น เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ความสามารถน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงคนคนนี้ก็ต้องมาอยู่ใต้อาณัติของเขา
ลัวหลงเดินจ้ำอ้าวเข้ามาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความไม่พอใจ
“พวกคุณแห่มาทำอะไรกันอีก ไม่รู้กฎของเราหรือไง ว่าใครก็ตามห้ามก้าวเข้ามาในวงล้อมไฟถ้าไม่ได้รับอนุญาต?”
ทันทีที่เจิ้งเหว่ยกำลังจะสวนกลับ เจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันก็กระซิบรายงานเขาทันที
“คนนี้แหละครับ คนที่ควบคุมไฟได้”
เจิ้งเหว่ยได้ยินแบบนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว
“ผมชื่อเจิ้งเหว่ย มาจากเขตสงคราม มาที่นี่ในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการเจรจากับคุณ”
ยังไม่ทันที่ลัวหลงจะได้ตอบกลับอะไร เสียงของ เฉินเทียนเซิงก็ดังมาจากข้างหลัง
“ให้เขาเข้ามาเถอะ”
ลัวหลงจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้างพร้อมกับทำท่าเชื้อเชิญ “เชิญครับ”
เจิ้งเหว่ยปรับสีหน้าและจัดเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในวงล้อมไฟ คนอื่น ๆ เองก็ตั้งท่าจะเดินตามเช่นกัน แค่ลัวหลงจ้องเขม็งมองพวกเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา
“อาจารย์ไม่อนุญาตให้พวกคุณเข้าไป รออยู่ที่นี่แหละ”
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ยืนรออยู่ข้างนอก
เจิ้งเหว่ยเดินมาจนถึงรถบรรทุก เฉินเทียนเซิงยังคงนอนอาบแดดอยู่บนกล่องลัง โดยมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสบายแค่ไหน
ถึงแม้จะมีแขกตำแหน่งสูงมาเยือนถึงที่ เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาขึ้นเลย วางตัวสูงส่งจนน่าหมั่นไส้ซะจริง ๆ
แรกพบเจิ้งเหว่ยก็มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อ เฉินเทียนเซิงแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญ เป้าหมายสูงสุดในการเจรจาไม่ใช่เขา แค่เป็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวข้างกายเขา ที่สามารถควบคุมไฟและลมได้ต่างหาก
ยังไม่ทันที่เจิ้งเหว่ยจะได้พูดอะไร เฉินเทียนเซิงก็ชิงพูดดักขึ้นก่อน
“ข้อแรก ผมไม่ประสงค์จะเข้าร่วมกับองค์กรของคุณ แต่ผมสามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ ทำงานร่วมกันไม่ใช่ปัญหา แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ขอทำงานภายใต้คำสั่งใคร”
“ข้อสอง ถ้าพวกคุณอยากได้เสบียง ก็ให้เอาต่อมไพเนียลที่อยู่ในหัวของซอมบี้มาแลกเปลี่ยน ไม่ต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ให้ยุ่งยาก”
คำพูดของเขารวบรัดตรงประเด็น ขว้างระเบิดใหญ่สองลูกออกไปอย่างจัง ในขณะเดียวกันก็ระบุเงื่อนไขและรายละเอียดอย่างคลุมเครือ
ท้ายที่สุดเจิ้งเหว่ยก็คือเจิ้งเหว่ย ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบหน้าเฉินเทียนเซิงสักเท่าไหร่ แต่ก็จดจำรายละเอียดในข้อต่อรองทั้งสองได้อย่างชัดเจน
“คุณเฉินเทียนเซิง ให้ผมได้แนะนำตัว ผมเป็น...”
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณชื่ออะไร ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อต่อรองนี้ ก็ไปหาคนอื่นมาเจรจาแล้วกัน ส่งแขก”
เจิ้งเหว่ยงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันอะไรกัน เขาโดนไล่ออกไปจากที่นี่ก่อนที่เขาจะได้แนะนำตัวอีกเหรอเนี่ย?
ไร้มารยาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
“ไม่ใช่อย่างนั้นคุณเฉิน ผม...”
“ส่งแขก!”
เขาไม่เปิดให้เจิ้งเหว่ยมีโอกาสได้พูดพล่ามมากไปกว่านี้ ฝ่ามือของลัวหลงติดไฟขึ้นมาอีกครั้ง บังคับให้เจิ้งเหว่ยเดินออกไปจากวงล้อมไฟเดี๋ยวนี้
“ฮึ่ม!”
เจิ้งเหว่ยปัดฝ่ามือก่อนจะเดินออกไปด้วยความโกรธเคือง ก่อนหน้านี้เขาแค่ดูถูกเฉินเทียนเซิงที่วางตัวไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้เขายิ่งผิดหวังเมื่อเห็นว่าเฉินเทียนเซิงเย่อหยิ่งแค่ไหน
ดีที่ช่วงเวลานี้คือวันสิ้นโลก ถ้าโลกยังคงสงบเหมือนเดิมละก็ คนหยิ่งยโสแบบเขาไม่มีวันมีที่ยืนในสังคมแน่
พอออกมาจากเขตกักกันแล้ว ความโกรธของเขาก็ จางหายไป เริ่มคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเงื่อนไขทั้งสองข้อของ เฉินเทียนเซิงอย่างจริงจัง
ข้อแรก เขายินดีหาทางแก้ปัญหาร่วมกับพวกเขา เพียงแต่ไม่อยากปฏิบัติตามคำสั่ง ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ทำตัวหยิ่ง ไม่สนมารยาท และไม่เห็นแก่หน้าใคร
ข้อสอง ถ้าพวกเขาต้องการส่วนแบ่งเสบียงจากอีกฝ่าย จะต้องหาต่อมไพเนียลที่อยู่ในหัวซอมบี้มาแลกเปลี่ยน เงื่อนไขนี้ ดูไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเท่าไหร่
เขารีบโทรหาทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในตอนเช้า ถามว่าพวกเขาจัดการกับซอมบี้ยังไง ถึงได้รู้ว่าพวกเขาอาศัยยิงพวกซอมบี้จากระยะไกล และยิงนัดเดียวเข้าที่หัว ฆ่าพวกมันไปหลายร้อยตัวในตอนเช้า
จากข้อมูลดังกล่าว การหาต่อมไพเนียลในหัวซอมบี้ไปแลกเปลี่ยนกับเขากลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที
จากนั้นเจิ้งเหว่ยก็ตัดสินใจอย่างเฉียบขาด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต
หลังจากเปลี่ยนแผนเจรจาใหม่แล้ว เขาก็กลับเข้าไปในเขตกักกันอีกครั้ง เพื่อขอพบเฉินเทียนเซิง
“ทางเรายอมแลกเปลี่ยนสิ่งของตามที่คุณเสนอ”
เฉินเทียนเซิงพยักหน้ารับพลางเหลือบมองเขา
“อย่างนั้นก็ดี ผมมีเสบียงให้แลกเปลี่ยนเท่าที่คุณต้องการ”
เจิ้งเหว่ยอดมองไปที่รถบรรทุกสินค้าคันนั้นไม่ได้ คิดกับตัวเองว่า รถบรรทุกคันแค่นี้จะบรรจุเสบียงได้สักแค่ไหนกันเชียว
นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ความจริง ว่าเฉินเทียนเซิงยังมีกระเป๋าเป้อวกาศซึ่งสามารถบรรจุเสบียงได้อย่างน้อย 1 ตัน
“หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน* เดี๋ยวผมจะจัดการให้”
*หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน = ลูกผู้ชายเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วต้องรักษาสัจจะ
ไม่นานหลังเจิ้งเหว่ยจากไป เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็ส่งเสียงใบพัดหวีดหวิวอยู่เหนือศีรษะ ชายสองคนก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์ คนหนึ่งคือผู้กองหัวหน้าเขตปลอดภัย ส่วนอีกคนคือลัวหมิง แต่ตอนนี้เขาก็สวมเครื่องแบบเต็มยศ ประดับอินทรธนูบอกยศผู้กองเช่นเดียวกัน
“เด็กสองคนที่ควบคุมไฟและลมได้อยู่ไหน รีบพาพวกเราไปที่นั่น”
หลังจากทหารที่เฝ้ารักษาการณ์แสดงความเคารพแล้ว พวกเขาก็รีบพาผู้บังคับกองทั้งสองเข้าไปในเขตกักกัน
“อยู่ข้างหน้าครับ รถบรรทุกสินค้าคันนั้นคือรถของพวกเขา”
ทันทีที่ผู้กองลัวหมิงเห็นรถบรรทุกสินค้าคันนั้น ดวงตาของเขาก็สว่างไสวขึ้น ความคิดที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นในสมอง แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
พอเดินเข้าไปใกล้รถบรรทุกสินค้า ลัวหมิงก็ถูกทหารขวางไว้ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปใกล้
“ผู้กองครับ รออยู่ที่นี่สักครู่ บริเวณนี้เป็นวงล้อมไฟที่พวกเขากางอาณาเขตไว้ มีกฎด้วยว่าห้ามไม่ให้ใครผ่านเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต”
“ถือดีมาจากไหนกัน” ผู้กองอีกคนถึงกับผงะ
แต่ก่อนที่ใครจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงลัวหลง เด็กหนุ่มที่สามารถควบคุมเปลวไฟได้ ตะโกนเสียงดังลั่นมาจากทางรถบรรทุก
“ลุง ทำไมถึงได้ใส่ชุดนี้ล่ะครับ?”
“ลัวหลง เป็นหลานจริง ๆ ด้วย!”
อารมณ์ของลัวหมิงตอนนี้เหมือนลอยขึ้นรถไฟเหาะ ทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน