บทที่ 3 ระบบวันสิ้นโลกเปิดแล้ว
บทที่ 3
ระบบวันสิ้นโลกเปิดแล้ว
เจ้าของตึกหลิวเหล่ยโอบไหล่หม่าเชี่ยนเชี่ยนด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง
“อย่ากลัวไปเลย คนขี้ขลาดอย่างเขาไม่กล้าทำอะไรคุณหรอก!”
“พี่เหล่ย”
หม่าเชี่ยนเชี่ยนมองหลิวเหล่ยด้วยสายตาเสน่หา
“คุณเคยบอกว่าจะรักฉันตลอดไปใช่ไหมคะ?”
หลิวเหล่ยเชยคางหม่าเชี่ยนเชี่ยนขึ้นมา โปรยอาหารสุนัขตัวต่อตัวแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่เหมือนใครบางคน ผมเป็นชายชาตรี ส่วนเขาเป็นคนขี้ขลาด คุณคิดผิดจริง ๆ เลยที่หนีตามเขามา”
หม่าเชี่ยนเชี่ยนเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ พูดจาประชดประชัน
“งั้นเหรอคะ? ฉันเองก็เสียใจที่ตอนนั้นหน้ามืดตามัวไปได้ ทำไมฉันถึงยอมหนีตามคนไม่เอาไหนอย่างเขากันนะ”
“เหมือนมีความสามารถแต่ก็ไม่มี ถึงหาเงินได้แต่ก็น้อยนิด ได้แต่กล้ำกลืนความล้มเหลวของตัวเองทุกวัน คนแบบนี้ไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้เลยนะ”
ขณะที่คนสองคนพูดคุยกัน ความอดทนของเฉินเทียนเซิงก็หมดลง
ถ้าไม่ใช่เพราะภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามา เขาคงฆ่าสุนัขชายหญิงคู่นี้ไปแล้ว
แต่เมื่อคิดทบทวนดูดี ๆ คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ที่จะฆ่าพวกเขาสองคนในตอนนี้ นอกจากพวกเขาจะไม่ได้ประสบกับความน่าสะพรึงกลัวของวันสิ้นโลกแล้ว ยังกลายเป็นการช่วยพวกเขาล่วงหน้าซะอีก
“เชี่ยนเชี่ยน”
เฉินเทียนเซิงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับบ้าน ผมคิดหัวแทบแตกว่าในอนาคตจะดูแลคุณยังไงดี เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับความสุขในโลกที่สิ้นหวังใบนี้
“แต่พอเห็นพวกคุณสองคนทำเรื่องอย่างว่าแล้ว สิ่งที่ผมคิดไว้ช่างไร้สาระจริง ๆ ช่างเถอะ”
เขามองดูนาฬิกาแล้วพูดต่อ
“อีกสามชั่วโมงข้างหน้าคุณคงเข้าใจ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว ออกไปซะ!”
หลิวเหล่ยก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าทางอวดดี
“นายรู้สถานภาพของตัวเองหรือเปล่า ที่นี่คือที่ของฉัน ถ้านายไม่อยากเห็นหน้าพวกฉัน นายนั่นแหละที่ต้องออกไป”
น้ำเสียงและคำพูดว่าเหี้ยมแล้ว เขายังใช้นิ้วจิ้มหน้าอกของเฉินเทียนเซิงอีก
“วันนี้พี่เหล่ยคนนี้จะสั่งสอนนายเอง ว่าการร่ำรวยและมีอำนาจมันดียังไง ฉันไม่ได้ทำให้แฟนนายนอกใจแค่อย่างเดียว แต่ยังทำให้นายหนีหัวซุกหัวซุนออกไปได้ด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าเหนือกว่า เฮ้ยๆๆ โอ๊ย...”
เฉินเทียนเซิงเริ่มหัวร้อนขึ้นมา เขาหักมืออีกฝ่ายแล้วบิดอย่างรุนแรง
“ฉันทำเป็นนิ่งเฉย แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่โมโห นายผิดเองนะที่ก้าวเท้าเข้ามา”
คนหนึ่งรุกคืบทีละก้าว อีกคนถอยกรูดทีละก้าว ออร่าของคนทั้งสองกลับกลายเป็นคนละขั้วกันโดยสิ้นเชิง
“ปล่อยฉันนะ ถ้าแกกล้าแตะต้องฉัน เชื่อไหม ฉันจะพาคนมาฆ่าแกซะ!”
เฉินเทียนเซิงมองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตอบกลับ
“งั้นนายก็ลองดูสิ!”
สิ้นคำพูด เสียงกร๊อบก็ดังลั่น
แขนของหลิวเหล่ยหลุดออกจากสะบักเรียบร้อย ด้วยน้ำมือของเขา
“อ๊าก...”
เสียงกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดของหลิวเหล่ยดังไปทั่วห้อง
หม่าเชี่ยนเชี่ยนเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เธอรู้จักบุคลิกของเฉินเทียนเซิงดี เขาเป็นคนซื่อบื้อ ถึงแม้คนอื่นจะชี้หน้าด่าทอเขายังไงก็ตาม เฉินเทียนเซิงก็ไม่กล้าตอบโต้
วันนี้เขาเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ทำร้ายคนอื่น
“เทียนเซิง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ คุณจะทำอะไรน่ะ?”
หม่าเชี่ยนเชี่ยนรีบโผเข้าไปกอดคนรวยรุ่นสอง*อย่าง หลิวเหล่ยไว้ เฉินเทียนเซิงกล้าดียังไงถึงทำร้ายบ่อเงินบ่อทองของเธอ
*คนรวยรุ่นสอง = เป็นคำเสียดสีพวกลูกคนรวยทั้งหลาย
เธอวิ่งไปข้างหน้าเพราะต้องการจะแยกพวกเขาออกจากกัน ก่อนที่เหตุการณ์วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น หม่าเชี่ยนเชี่ยนเอาแต่ใช้ให้เฉินเทียนเซิงรินชาและยกน้ำมาเสิร์ฟ แต่ทำไมวันนี้ทุกอย่างถึงกลับหัวกลับหางไปซะได้?
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งกลับพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของ หม่าเชี่ยนเชี่ยนไว้แน่น
สายตาของเฉินเทียนเซิงเย็นชา เสียงของเขาฟังดูเหมือนเสียงของปีศาจนรก
“อย่าบีบบังคับให้ผมต้องฆ่าพวกคุณทั้งสองคน กลัวว่าถึงตอนนั้นผมอาจควบคุมตัวเองไม่ได้!”
“ออกไป เดี๋ยวนี้!”
พอเขาออกแรงขว้างจนสุดแขน ร่างทั้งสองก็ถูกโยนออกจากประตูเป็นรายคน
“ปัง!”
ประตูห้องปิดลงอย่างแรง
“ไอ้คนไร้ประโยชน์ แกกล้าทำแบบนี้กับฉัน สักวันแกต้องไม่ตายดี!”
หม่าเชี่ยนเชี่ยนทั้งโกรธและอับอายมาก เอาแต่ทุบประตูห้องไม่หยุด
หลิวเหล่ยกุมแขนข้างที่หักของตัวเองพลางทำสีหน้าบิดเบี้ยว ปากก็พ่นคำสาปแช่งอย่างโหดเหี้ยม
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะฆ่าแกซะ ฉันต้องฆ่าแกให้ได้!”
หลังจากนั้นหม่าเชี่ยนเชี่ยนถึงได้รู้สึกตัว รีบเข้าไปช่วยประคองหลิวเหล่ย
“พี่เหล่ย ไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
หลังเฉินเทียนเซิงปิดประตู เขาก็พยายามปรับจูนความคิด เหลือเวลาอีกแค่สามชั่วโมงก่อนที่เชื้อไวรัสจะระบาด แสดงว่าตอนนี้ยังมีเวลาเตรียมตัว
เขาเอาสก๊อตเทปในบ้านมาปิดช่องว่างระหว่างประตูและหน้าต่าง โดยเฉพาะหน้าต่างตรงระเบียง
จากนั้นก็ยกโต๊ะกับเก้าอี้ออก แล้วผนึกประตูห้องอีกชั้นหนึ่งโดยใช้ค้อนตอกตะปูลงไป
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ภายในห้องก็มืดสนิท
18 นาฬิกา 50 นาที
ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนที่วันสิ้นโลกจะปะทุขึ้น
แสงสว่างหลากสีสันในยามค่ำคืนสว่างขึ้น การจราจรบนถนนคลาคล่ำไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตชุมชน หลิวเหล่ยซึ่งสวมเฝือกปลาสเตอร์ที่แขนก็ก้าวลงจากรถอย่างโกรธเกรี้ยว โดยมี หม่าเชี่ยนเชี่ยนคอยประกบไม่ห่าง
หลิวเหล่ยยืนอยู่ต่อหน้าชายหัวโล้นคนหนึ่งด้วยท่าทีนอบน้อม พยักหน้าแล้วโค้งคำนับ จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสาม
“เขาอยู่บนนั้น พี่เฉียง พี่ต้องช่วยผมล้างแค้นเขานะครับ!”
“ฮึ่ม กล้าดียังไงมารังแกน้องชายฉัน ฉันจะฆ่ามันซะ!”
ชายหัวล้านถ่มน้ำลายอย่างแรง ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น ก่อนจะโบกมือด้วยท่าทีชั่วร้าย
“ขึ้นไปลากตัวมันออกมาซะ ฉันจะหักขามันให้ดู!”
“ครับ!”
พวกนักเลงพุ่งตัวเข้าไปตามทางเดินของตัวอาคารทันที โดยถือไม้เบสบอลและท่อเหล็กชุบสังกะสีไว้ในมือ
เก้านาทีสุดท้าย
เฉินเทียนเซิงยืนอยู่ตรงหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ รอคอยให้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ทันทีที่เห็นว่าหลิวเหล่ยพาพรรคพวกมาแก้แค้น แววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ก่อนหน้านี้ฉันอุตส่าห์ไว้ชีวิตนาย คราวนี้รอดูซิว่าอีกเดี๋ยวนายจะตายยังไง!”
ภายในอาคารหลังใหม่มีโถงทางเดินแค่ทางเดียว คนมากกว่าสิบกรูกันขึ้นไปชั้นบนด้วยแรงฮึกเหิม พอพวกเขามาถึงหน้าประตูห้อง 301 ก็พากันกระแทกประตูจนเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งอาคาร
“เปิดประตู เรารู้ว่านายหลบอยู่ในนั้น รีบมาเปิดประตูซะ ไม่งั้นเราจะถีบประตูเข้าไป!”
“ปัง ปัง ปัง”
เฉินเทียนเซิงยังคงยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยสีหน้าเฉยเมย มองลงไปข้างล่าง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ยังเหลืออีกแปดนาทีก่อนจะถึงวันสิ้นโลก
ถ้าเขามัวสนใจปลาสวะพวกนี้ แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง คุ้มค่ากับการสูญเสียหรือเปล่า?
ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงไซเรนที่ดังขึ้นจากระยะไกลก็เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงชั้นล่างหน้าเขตชุมชน
หลิวเหล่ยกับชายหัวล้านเฉียงที่เคยหยิ่งผยอง เมื่อรถตำรวจขับมาจอดใกล้ ๆ พวกเขากลับทำท่าทางเหมือนหนูเห็นแมว ร่างกายลีบเล็กลงทันที
“เว่ยเฉียง นายมาทำอะไรที่นี่?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดประตู ก้าวลงจากรถ ถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก
เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในทีมต่างก็ก้าวลงจากรถทีละคน มีมากกว่าสิบคนที่สวมชุดเกราะพร้อมอาวุธครบมือ
ชายหัวล้านเฉียงทำท่าทางพินอบพิเทาทันที พยักหน้าพร้อมตอบกลับ
“ผู้กองหวังนั่นเอง ลมอะไรหอบพวกคุณมาที่เขตพัฒนาเหรอครับ?”
“ผมคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ดี คงไม่ต้องรอให้นายเชิญหรอกมั้งถึงจะมาได้”
ผู้กองหวังไม่สนใจ จากนั้นก็พูดต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ผมมาที่นี่เพื่อตามหาคน อาคารนี้มีคนชื่อเฉินเทียนเซิง อาศัยอยู่ในห้อง 301 ไหม?”
ทันทีที่ได้ยินชื่อเฉินเทียนเซิง หลิวเหล่ยที่กำลังยิ้มแหะ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว รีบหาทางพลิกสถานการณ์จากถูกเป็นผิด
“คุณอาตำรวจ ผมรู้ครับ ผมเป็นเจ้าของห้องเช่า 301 ผู้เช่าของผมคือเฉินเทียนเซิง วันนี้ผมขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกเก็บค่าเช่า นอกจากเขาจะไม่ยอมจ่ายให้แล้วยังหักแขนผมด้วย ดูหลักฐานการบาดเจ็บของผมสิ...”
หลิวเหล่ยคิดกลอุบายคนร้ายเป็นฝ่ายฟ้องผิดก่อน เพราะกลัวว่าในภายหลังเขาอาจไม่สามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุได้อย่างชัดเจน
สีหน้าผู้กองหวังเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ พูดเสียงขรึม
“ตอนนี้เขายังอยู่ในห้อง 301 ใช่ไหม?”
“ใช่ๆๆ เขาถูกพรรคพวกของเราปิดกั้นทางเข้าออกอยู่ เดี๋ยวผมจะบอกทางให้คุณเอง”
หลิวเหล่ยมีทักษะเป็นเลิศด้านการสังเกตคำพูดและ การแสดงออก พอเห็นว่าปฏิกิริยาผู้กองหวังดูเหมือนจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขา หลิวเหล่ยก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
ผู้กองหวังซะอีกที่ทำท่าเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม รีบหันกลับมาและตะโกน
“รีบโทรแจ้งสำนักงานใหญ่ ให้ส่งกองกำลังมาสนับสนุนทันที คนร้ายคนนี้มีนิสัยดุร้ายมาก ทุกคนควรระวังตัวให้ดี!”
ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
เฉินเทียนเซิงที่อยู่ภายในห้องมองดูกลุ่มเมฆดำทะมึนมืดครึ้ม หัวใจของเขาจมดิ่งลง
“มาแล้ว!”
“นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก 3… 2… 1!”
“ขอต้อนรับสู่วันสิ้นโลก ระบบเปิดแล้ว!”
ขณะที่เฉินเทียนเซิงกำลังจะสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ จู่ ๆ เขาก็สะดุ้งสุดตัว ประหลาดใจระคนตื่นเต้น
“ที่แท้เสียงนับถอยหลังก็มาจากระบบเองเหรอ!”