ตอนที่แล้วบทที่ 28 กระบวนการเสริมคุณสมบัติขั้นสูง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 เอาของมาแลกเปลี่ยน

บทที่ 29 เปิดเผยความสามารถ


บทที่ 29

เปิดเผยความสามารถ

ก่อนที่วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น สังคมอยู่ในยุคประชาพิจารณ์เป็นใหญ่ ต่อให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีแค่ไหน ตราบใดที่ถูกเปิดโปงความน่ารังเกียจต่อสาธารณชนเพื่ออาศัยพลังมวลชนใน    การบรรลุเป้าหมาย ถ้าคนคนนั้นไม่ยอมประนีประนอม เขาจะไม่สามารถอยู่ในสังคมได้

ชายวัยกลางคนเดินจากไปด้วยความโกรธ จากนั้นก็กระจายข่าวลือไปทั่ว กล่าวหาว่าเสบียงอาหารในรถบรรทุกคันนั้นเป็นเสบียงที่รัฐจัดสรรเอาไว้ให้กับประชาชนในเขตกักกัน แต่ตอนนี้มันถูกคนอื่นยึดไปครอบครองไว้ซะเอง แถมยังตั้งราคาขายสูงลิ่ว ทำตัวเป็นกษัตริย์นอกกฎหมาย

คำใส่ร้ายของเขากระตุ้นไฟแค้นให้กับสาธารณชนในทันที

ในขณะที่เฉินเทียนเซิงและศิษย์ของเขากำลังนั่งกินอาหารกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อย

คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินอาด ๆ เข้ามา ในมือถือไม้พลอง สีหน้าท่าทางแข็งกร้าวดุดัน

“นายใช่ไหม ที่ครอบครองเสบียงที่รัฐจัดสรรเอาไว้ให้ผู้รอดชีวิตในประเทศ?” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นผู้นำแสดงท่าทีหยิ่งผยอง ถามตรงประเด็น

เฉินเทียนเซิงชายตามองด้วยความเฉยเมย ก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา

“ถ้าฉันบอกว่าไม่ แม้ว่าความจริงจะเป็นแบบนั้น นายจะทำอะไรได้?”

“แม่งเอ๊ย มั่นหน้าเกินไปแล้ว พี่น้องทุกคน ทุบตีเขาซะ!”

ทันทีที่ชายหนุ่มให้สัญญาณ ทุกคนก็เริ่มโบกไม้พลองในมือเตรียมจัดการ

ลัวหลงกับลัวเฟิงตั้งท่าจะเล่นงานกลับ แต่ถูก                 เฉินเทียนเซิงห้ามไว้ซะก่อน

“ไม่จำเป็นต้องถึงมือพวกเธอหรอก!”

จริงอย่างที่เขาบอก พวกเขาแทบไม่ต้องลงไม้ลงมือด้วยตัวเองเลย เพราะพื้นที่ที่เขาอยู่ในเขตควบคุมเฉพาะ พอเจ้าหน้าที่ทหารรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบตรงดิ่งเข้ามา

“ถอยไป ถอยไป ห้ามใครสร้างปัญหาในเขตกักกันทั้งนั้น ใครกล้าก่อเรื่อง เราจะยิงทันที!”

คนหนุ่มสาวกลุ่มนั้นถูกกระบอกปืนจ่อ ต่างก็ถอยกรูดไปสองสามก้าว แต่กลับไร้ซึ่งความกลัว เพราะความโกรธแค้นเกาะกุมจิตใจ

ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำตอบกลับด้วยความมั่นใจ

“ท่านครับ คนผิดไม่ใช่เรา แต่เป็นเขาต่างหาก!”

ว่าแล้วก็ชี้ไปทางเฉินเทียนเซิงกับหนุ่มสาววัยรุ่นอีกสองคน

“คนพวกนี้ครอบครองทรัพยากรที่รัฐจัดสรรให้กับประชาชน ยึดเอาเป็นของส่วนตัว แต่พวกคุณกลับไม่สนใจเรื่องนี้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”

เจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่ผงะไปทันที สับสนไปหมดว่าเรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่

ฝูงชนโกรธจัด รุมกล่าวหาทั้งสามว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง บางคนถึงขั้นเติมเชื้อไฟว่าสามคนนี้รังแกคนทั้งชายและหญิง แถมยังเป็นผีชางรับใช้เสือ*

*ผีชางรับใช้เสือ = หมายถึง การยินยอมรับใช้ช่วยเหลือคนชั่วร้ายเลวทราม เพื่อกระทำสิ่งชั่วช้า

หลังถูกร้องเรียนหนักเข้า เจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันคนหนึ่งที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มก็โพล่งขึ้น

“พอได้แล้ว หุบปาก”

เสียงเซ็งแซ่ค่อย ๆ เงียบลง เจ้าหน้าที่หันไปมอง              เฉินเทียนเซิงและคนอื่น ๆ

“จะไม่อธิบายเรื่องนี้หน่อยเหรอ?”

เฉินเทียนเซิงยังคงนั่งนิ่งอย่างสงบมั่นคงราวกับภูเขาไท่

“พวกเขาเล่นแง่น่ะสิ เป็นโจรแต่ร้องจับโจร** เพียงเพราะอยากแย่งเอาเสบียงของผมไป ผมยังต้องอธิบายอะไรอีก?”

**เป็นโจรแต่ร้องจับโจร = พูดเพื่อเอาตัวรอดให้ตัวเองพ้นผิด ปัดความผิดให้ผู้อื่น

เจ้าหน้าที่ตกใจ “เสบียงของคุณเหรอ?”

เฉินเทียนเซิงผายมือออก “ผมขับรถบรรทุกคันนี้เข้ามาเอง แถมยังบรรทุกเสบียงมาเต็มลำรถ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคือทรัพย์สินส่วนตัวของผม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะ?”

ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ จึงหันกลับไปมองฝูงชนที่ยังคงโกรธเคือง

“พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว เสบียงทั้งหมดเป็นของพวกเขา ส่วนทรัพยากรที่รัฐจัดสรรให้ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการแจกจ่าย ทุกคนกลับไปซะ อย่ามารวมตัวกันที่นี่”

เจ้าหน้าที่ต้องการสะสางเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่ความโลภของผู้คนกลับมีอำนาจเหนือกว่า ฝูงชนกัดฟันสู้ไม่ยอมแยกย้ายกันกลับไป

“ไม่ เราจะปล่อยเขาไปไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาก็เป็นผู้รอดชีวิตเหมือนกัน ถ้ามีเสบียงเยอะก็ควรแบ่งปันให้พวกเราสิ จะเก็บพวกมันไว้คนเดียวได้ยังไงกัน?”

“ถูกต้อง ตอนนี้ข้างนอกมีซอมบี้เดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด ถ้ามีเสบียงก็ควรแจกจ่ายให้ผู้ร่วมชะตากรรมอย่างเท่าเทียมกัน คนคนหนึ่งผูกขาดเสบียงไว้มากมายขนาดนี้ ช่างไม่มีมโนสำนึกเอาซะเลย ยังมีคนเห็นแก่ตัวแบบนี้อยู่บนโลกอีกเหรอ”

“ท่านครับ คุณต้องจัดการเรื่องนี้ ไม่งั้นพวกเราไม่ยอมแน่”

“ทำไมเขาถึงได้กินหม้อไฟอยู่กลุ่มเดียว ในขณะที่เราทำได้แค่มองตาปริบ ๆ”

ความโกรธของฝูงชนเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง มีคนทยอยเดินเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อย ๆ จากหลายสิบสู่หลายร้อย สามชั้นด้านในสามชั้นด้านนอก*** แน่นแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไหลผ่านไม่ได้

***สามชั้นด้านในสามชั้นด้านนอก = อธิบายถึงสภาพเวลาคนจำนวนมากมารวมตัวกัน

หลายคนกระจายข่าวลือให้คนที่มาใหม่หลงเชื่อ หลังจากนั้นคนที่รู้ข่าวก็ร่วมสร้างปัญหาด้วย พอเห็นว่าฝั่งของตัวเองมีพรรคพวกเยอะกว่าก็ยิ่งได้ใจ ตะโกนขู่ให้เฉินเทียนเซิงยอมแจกจ่ายเสบียงซะ

พอเห็นว่าฝูงชนเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถปราบปรามได้อีกต่อไป เพื่อทำให้สถานการณ์มีความรุนแรงน้อยลง เจ้าหน้าที่จำยอมทำตามข้อเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ พ่ายแพ้ให้กับพวกที่มีเจตนาชั่วร้ายในที่สุด

เขาหันกลับมา จากนั้นก็เริ่มเจรจากับเฉินเทียนเซิง

“คุณคงเห็นแล้ว ใคร ๆ ก็อยากให้คุณแบ่งปันเสบียงอาหารกันทั้งนั้น ผมคงห้ามความคิดของพวกเขาไม่ได้ คงต้องประนีประนอมไปก่อน เสบียงบนรถพวกคุณมีมูลค่ารวมเท่าไหร่ล่ะ ทางเราจะได้หาเงินมาจ่ายคืนภายหลัง”

“ฮ่าๆๆ...”

ทันใดนั้นเฉินเทียนเซิงก็ระเบิดหัวเราะออกมา

“น่าขำสิ้นดี คิดจะซื้อพวกมันด้วยเงินเหรอ ช่วงก่อนวันสิ้นโลกเงินอาจจะมีค่ามากมายก็จริง แต่หลังจากเกิดวันสิ้นโลกแล้ว คิดว่ามันจะยังมีประโยชน์อยู่รึไง?”

เฉินเทียนเซิงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ตะคอกเสียงดัง

“รถคันนี้เป็นของผม เสบียงก็เป็นของผมเหมือนกัน ถ้าพวกคุณอยากได้นักละก็ เอาต่อมไพเนียลที่อยู่ในหัวซอมบี้มาแลกสิ ในเมื่ออยากแย่งเสบียงนัก ลัวหลง ลัวเฟิง!”

ทั้งสองก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน จากนั้นก็แสดงความสามารถของตัวเองต่อหน้าสาธารณชน

เปลวไฟพวยพุ่งออกมา ตามด้วยลมพายุที่พัดโหมให้เปลวไฟลุกโชน กลายเป็นพายุไฟขนาดใหญ่

“พระเจ้าช่วย!”

“หนีเร็ว!”

พายุไฟขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ก่อตัวเป็นวงล้อมไฟอย่างสมบูรณ์แบบ โดยมีรัศมีประมาณ 10 เมตรจากรถบรรทุกสินค้าที่เป็นจุดศูนย์กลาง

“ใครกล้าเข้าใกล้วงล้อมไฟนี้ ระวังจะโดนฆ่าไม่รู้ตัว!”

ภาพเหตุการณ์นี้น่าตกใจเกินไป การควบคุมเปลวไฟ รวมถึงการควบคุมลมพายุ ช่างเป็นความสามารถที่เหนือมนุษย์

ไม่ต้องพูดถึงบรรดาผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันยังพากันผงะ แต่ละคนยืนอึ้ง ตกตะลึงกับฉากที่อยู่ตรงหน้า

“ยังไม่ออกไปอีก!”

เฉินเทียนเซิงส่งเสียงคำรามดังลั่น ทำให้ผู้รอดชีวิตทั้งหมดหวาดกลัวจนตัวสั่น รีบหันหลังกลับและวิ่งหนี

เจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันเองก็ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง พอกลับมามีสติรู้ตัว ก็รีบพาผู้คนออกไปให้ห่าง

นี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญ เขาต้องรายงานเรื่องนี้โดยด่วน!

สองพี่น้องตระกูลลัวเปิดเผยความสามารถเหนือมนุษย์ของตัวเองแล้ว ผลลัพธ์ก็ไม่เลว อย่างน้อยต่อจากนี้ไปคงไม่มีใครกล้าเข้ามารังควานพวกเขาอีก

แม้แต่หนูสองสามตัวที่แอบซ่อนอยู่ในเงามือ ยังล้มเลิกความคิดที่จะบุกปล้นเสบียงของเขาตอนกลางดึก

“ฮึ่ม เขาฆ่าพี่เฉียง เรื่องทั้งหมดไม่ควรจบลงแบบนี้สิ”

หลิวเหล่ยที่ยังใส่เฝือกห้อยแขน บ่นด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจ

บรรดาลูกน้องของเว่ยเฉียงไม่มีจิตวิญญาณในการต่อสู้อีกต่อไป โต้แย้งเขาว่า

“ลืมมันไปเถอะ เรายังมีชีวิตรอดก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ถูกฆ่าตาย”

หลังได้รับการปลดปล่อยจากท้องทะเลแห่งความทุกข์ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เป็นอิสระสักที ใครจะอยากเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง

ในขณะที่พวกนักเลงหมดอาลัยตายอยาก หลิวเหล่ยยังคงขบกรามแน่นด้วยความเกลียดชัง ยิ่งเฉินเทียนเซิงมีชีวิตดีขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเคียดแค้น นี่คือข้อบกพร่องของสัญชาตญาณมนุษย์ ความริษยากลืนกินเหตุผลทั้งหมดไปจนสิ้น

โชคยังดีที่เสบียงซึ่งทางเขตกักกันจัดสรรให้เป็นบิสกิตกับน้ำดื่ม ทุกคนได้รับส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียมกัน แต่เมื่อพวกเขาเคี้ยวบิสกิตแล้วหันมองไปทางรถบรรทุกอีกครั้ง ก็รู้สึกถึงความแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว

“บัดซบ ไอ้พวกเห็นแก่ตัว ไอ้คนไม่มีศีลธรรม น่ารังเกียจ!”

หลายคนต่างสบถถ้อยคำเดียวกันนี้อยู่ในใจ แต่หม่าเชี่ยนเชี่ยนกลับไม่คิดอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้เธอไม่เห็น เลยได้แต่จินตนาการไปเอง

แต่ตอนนี้เธอเห็นกับตาของตัวเองแล้วว่าเฉินเทียนเซิงมีรถบรรทุกที่อัดแน่นไปด้วยเสบียงอยู่จริง ๆ ทันใดนั้นจิตใจของเธอก็เริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมา คิดในใจว่าจะหาโอกาสเข้าหา         เฉินเทียนเซิงให้ได้ แล้วสารภาพความผิดกับเขาอย่างน่าสงสาร มั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะต้องกลับมารักเธอแน่

ก่อนที่วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น เฉินเทียนเซิงเชื่อฟังเธอยิ่งกว่าอะไรดี

ต่อให้ตอนนี้ภาวะอารมณ์ของเฉินเทียนเซิงจะเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน แต่เขาคงหลงเหลือความรู้สึกดี ๆ กับเธออยู่บ้าง

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเองมากขึ้น แอบวางแผนที่จะกลับไปหาเฉินเทียนเซิงอย่าง    ลับ ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด