บทที่ 29 เจ้าถือสิทธิ์ใดมาสั่งข้า
บทที่ 29
เจ้าถือสิทธิ์ใดมาสั่งข้า
ฉางอี้ “กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชาย รัชทายาท องค์ชายเจ็ด พระองค์แน่ใจหรือว่าต้องการจะจัดการกับกระหม่อม?”
เจ้าหมูสามชั้นร่างสั่นเทาขึ้นมาทันที มองไปทางฉางอี้อย่างไม่เชื่อสายตา
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพ่งตามองเพียงใด ก็ไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของฉางอี้อย่างชัดเจน
สิ่งนี้คือทักษะอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าองครักษ์เงาขององค์ชายรัชทายาทไม่ผิดแน่
ลือกันว่าองค์ชายรัชทายาทคล้ายมีนิสัยปลีกวิเวกแต่เพียงผู้เดียว ทว่าเขายังมีบรรดาองครักษ์ที่รายล้อมอยู่รอบกาย คอยกำบังกายอยู่ในอากาศเพื่อจัดการกับผู้ใดก็ตามที่สร้างปัญหาให้กับองค์ชายรัชทายาท ไม่มีใครเคยพบเห็นพวกเขา ส่วนผู้ที่มีโอกาสเห็นพวกเขาก็สิ้นชีพลงนรกไปเสียแล้ว
อวี้ซีหยวนกวาดสายตามองดูผู้คนรอบข้าง เจ้าหมูสามชั้นเริ่มพูดจาตะกุกตะกักเมื่อนึกถึงข่าวลือนั้น อีกทั้งสีหน้าของเจ้าหมูสามชั้นยังซีดเผือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นนางจึงหันไปโดยรอบด้วยความเบื่อหน่าย หมายจะกลับไปหาอวี้ซินหราน
แต่ทันทีที่นางหันกลับมา อวี้ซีหยวนก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้าอีกสองคนรุกล้ำเข้ามาในศาลาหลังเล็ก
สองคนนั้น คนหนึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับที่นางเคยนั่งก่อนหน้านี้ ส่วนอีกคนกำลังเอื้อมมือไปบีบคออวี้ซินหราน
ใบหน้าเล็ก ๆ ของอวี้ซินหรานเริ่มแดงก่ำเพราะการถูกเล็บจิกเข้าไป
สีหน้าอวี้ซินหรานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที นางจ้องเขม็งไปยังเด็กหญิงดูจากการแต่งกายคล้ายเป็นราชนิกุล ก่อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ปล่อยนางไปซะ”
เด็กหญิงคนนั้นทำเสียงจึกจักในริมฝีปาก ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ “ตอนแรกข้าคิดว่าสตรีที่สามารถดึงดูดความสนใจของเสด็จอาลั่วจะต้องงดงามอย่างน่าทึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีใบหน้าขยะแขยงไม่เจริญหูเจริญตาเช่นนี้”
แม้จะต้องเผชิญกับถ้อยคำประชดประชันเสียดสีดังกล่าว ทว่าอวี้ซีหยวนยังคงกล่าวสามคำเดิม “ปล่อยนางไปซะ”
เด็กหญิงคนนั้นไม่อาจยอมถูกหมิ่นเกียรติ นางใช้มือทุบกระแทกโต๊ะหิน จ้องเขม็งมองอวี้ซีหยวนกลับด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน ก่อนกล่าวเสียงดัง “เจ้าถือสิทธิ์ใดมาสั่งข้า?!”
“หูหนวกหรืออย่างไร?”
“เจ้า...” เด็กหญิงคนนั้นสะบัดแขนเสื้อทันที “บังอาจ! เป็นแค่นังผู้หญิงชั้นต่ำที่หวังปีนป่ายเสด็จอาลั่วแท้ ๆ! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้จักหลาบจำ! ซานหู บีบคอมันให้แรงกว่านี้ รัดคอให้ตายไปซะ!”
สิ้นคำสั่ง หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่บีบคออวี้ซินหรานก็ออกแรงบีบมากขึ้น หวังให้ถึงตายไปข้างหนึ่ง
คนเช่นอวี้ซีหยวนจะอดทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
ภายในชั่วพริบตา นางปรี่เข้ามาอยู่ตรงหน้าซานหู มือขวาเอื้อมไปตะปบคว้าคอของซานหูไว้ ก่อนจะออกแรงยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นจนตัวลอย
แรงบีบมหาศาลทำให้ซานหูหมดเรี่ยวแรง ยอมปล่อยมือจากอวี้ซินหรานแต่โดยดี
อย่างไรก็ตาม อวี้ซีหยวนไม่ยอมปล่อยวางกับเรื่องดังกล่าวแต่เพียงเท่านั้น นิ้วทั้งห้าของนางจิกเล็บจิ้มลึกลงที่ลำคอของซานหูโดยแรงกระทั่งเลือดซิบไหลหยดลงมา ทำให้เด็กหญิงคนนั้นรีบถอยกรูดไปหลายก้าวด้วยความตื่นตระหนก
ฉางอี้เพิกเฉยต่อท่าทีขององค์ชายเจ็ด แต่เมื่อเขาเห็นกลับมาแล้วสังเกตเห็นเช่นนั้น จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดยั้ง ทว่าทันทีที่เขาไปถึง อวี้ซีหยวนกำลังย่อตัวลงกอดอวี้ซินหรานไว้ในอ้อมแขนพร้อมปิดตานางไว้ ป้องกันไม่ให้เห็นฉากอันรุนแรงดังกล่าว
ฝ่ายองค์ชายเจ็ดเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ภายในศาลาเริ่มผิดปกติ และเห็นว่าหญิงสาวสองคนที่คุ้นเคยพากันนั่งกองอยู่กับพื้น รูม่านตาของเขาพลันหดเล็กลง รีบหันหลังวิ่งหนีออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ
“สะ… เสด็จพ่อ…”
ฟางอวี้และลั่วจ้านชิง เดินออกมาจากภายในพระราชวังแล้ว เมื่อพวกเขารู้ว่าอวี้ซีหยวนคอยอยู่ในศาลากลางอุทยานขององค์จักรพรรดิ ทั้งสองจึงเดินไปยังจุดหมายอย่างไม่เร่งรีบ
หนทางยังอีกยาวไกล ทว่าระหว่างนั้นพวกเขากลับได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกดังลั่น สีหน้าฟางอวี้ทรุดตัวลงทันที... เป็นเพราะเขาประจักษ์ชัดเจนว่าเสียงนั้นเป็นของใคร
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะมองไปยัง ฟางเหินหัวที่วิ่งหน้าตั้งตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะแค่นลมหายใจพร้อมกล่าวเป็นเชิงตำหนิ “แค่กๆๆ ดูกิริยาท่าทางของเจ้าซิ เป็นถึงองค์ชาย สมควรแสดงท่าทีเช่นนี้รึ... แค่กๆๆ”
ฟางอวี้ยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะกระแอมไอสองครั้ง
ลั่วจ้านชิงขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด
องค์ชายเจ็ดฟางเหินหัวหรือจะใส่ใจกับคำตำหนิดังกล่าว เขาเริ่มฟ้องด้วยน้ำเสียงติดขัดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอุทยานหลวง...
“เสด็จพ่อ มีนางผู้หญิงสติฟั่นเฟือนอยู่ในอุทยานหลวง นางกำลังจะฆ่าน้องหญิงจื่อเซวียนอยู่แล้ว!”