บทที่ 28 กระบวนการเสริมคุณสมบัติขั้นสูง
บทที่ 28
กระบวนการเสริมคุณสมบัติขั้นสูง
หยางเซวี่ยไม่สามารถกลั้นไว้ได้จริง ๆ ความเจ็บปวดนี้ทำให้เธอรู้สึกปวดร้าวไปถึงกระดูกดำ พันธุกรรมในร่างกายเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับความเจ็บปวดอันรุนแรงที่คนธรรมดาเกินจะรับไหว
หยางเซวี่ยทรุดตัวลง ยกมือกุมหัวและนั่งคุกเข่า ก่อนเซไปกระแทกกับสิ่งของรอบตัว
“เจ็บเหมือนจะตายเลย ฉันทนแทบไม่ไหวแล้ว!”
เฉินเทียนเซิงคาดไม่ถึงว่าเธอจะตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ แต่เขาก็ได้เตรียมการเผื่อเอาไว้แล้ว โดยรีบหยิบยาฟื้นฟูออกมา
“ดื่มนี่ซะ!”
หยางเซวี่ยมีท่าทางก้าวร้าวและดุร้าย ฉากตรงหน้านี้ไม่ต่างจากซอมบี้เลย
“ดื่มน้ำก่อนสิ!”
“ไปให้พ้น!”
เดิมทีเสียงของหยางเซวี่ยแหบแห้งอยู่แล้ว เมื่อตะโกนขึ้นมา ก็ทำให้เธอยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ไม่มีทางอื่น เฉินเทียนเซิงไม่อยากเสียกำลังสำคัญไป จึงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วบอกให้หยางเซวี่ยควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้ารู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา เขาจะรีบเอายาฟื้นฟูให้
ไม่นานหยางเซวี่ยก็คลุ้มคลั่งน้อยลง แต่ในขณะที่ดื่มยาฟื้นฟู เธอยังคงส่งเสียงครางสบาย ๆ ในลำคอ
เฉินเทียนเซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้ารู้ถึงคุณสมบัติของน้ำแร่แต่แรก คงไม่ต้องปล่อยให้ลัวหลงและลัวเฟิงทุรนทุรายข้ามคืน เขาไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ
ภายในรถมีฉากหนึ่ง
นอกตัวรถก็มีอีกฉากหนึ่ง
เสียงครางและกรีดร้อง ช่างคล้ายกับเสียงของคนที่กำลังจะกลายร่างเป็นซอมบี้ไม่มีผิด ทหารที่อยู่ใกล้พื้นที่ต่างรีบวิ่งมาที่รถราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ก่อนยืนล้อมรถด้วยความประหม่า
“เกิดอะไรขึ้น!”
ผู้รับผิดชอบพื้นที่กักกันรีบยกปืนขึ้นมา เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้าย
“ไม่มีอะไรครับ เป็นเรื่องเข้าใจผิดเฉย ๆ”
ลัวหลงรีบอธิบาย แต่พวกทหารต่างสูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปมาก จึงไม่เชื่อคำอธิบายนั้นง่าย ๆ
“ฉันขอสั่งให้เธอเปิดประตูรถเดี๋ยวนี้!”
พวกเขาบรรจุกระสุน พร้อมจู่โจมอย่างเต็มที่
ไม่เพียงแต่เล็งปืนไปที่รถเท่านั้น แต่ยังเล็งปืนไปที่ลัวหลงและลัวเฟิงอีกด้วย
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโคลนสีเหลืองที่เปื้อนกางเกง ถึงไม่ใช่อุจจาระแต่ก็คล้ายคลึง แก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงครวญครางดังลั่นออกมาจากภายในรถ
“อื้ม สุดยอดเลย มากกว่านี้ เร็วเข้า เร็ว ๆ ฉันต้องการอีก ขอมากกว่านี้อีก!”
เสียงนี้มัน...
ลัวหลงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหันหน้ากลับไปมองรถบรรทุกด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ลัวเฟิงคาดถึงความน่าจะเป็นบางอย่าง บางทีอาจเป็นเพราะน้ำวิเศษของอาจารย์ก็ได้
ทหารก็รู้สึกสับสนพอ ๆ กับลัวหลง ตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกแปลก ๆ ว่าทำไมเสียงในรถถึงส่อไปในทาง 18+ ขนาดนี้?
หลังจากรู้สึกลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง ลัวหลงจึงรีบพูดว่า
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม บอกแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด จริง ๆ ใจเย็นกันก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยวก็เผลอฆ่าคนบริสุทธิ์กันพอดี”
“แรงอีก มากกว่านี้อีก เร็วเข้า ให้ฉันอีก”
ถ้าไม่มีเสียงครางของผู้หญิงดังออกมาจากในรถ พวกทหารคงบุกเข้าไปฆ่าพวกเขาหมดแล้ว รู้แบบนี้ก็ให้รู้สึกอับอายไม่น้อย
ผู้ดูแลพื้นที่กักกันออกคำสั่งในขณะที่ใบหน้าแดงก่ำ
“ลดอาวุธลง เธอช่วยไปบอกสองคนในรถด้วยว่าที่นี่เป็นพื้นที่กักกัน และเป็นที่สาธารณะ คราวหน้าคราวหลัง ระวังเรื่องเสียงหน่อย”
หลังจากพูดจบ เขาก็แสร้งทำเป็นไอเพื่อปกปิดความ อับอาย ก่อนโบกมือไล่พวกเขาออกไป
วิกฤตนี้คลี่คลายไปได้ด้วยดี แม้จะเกิดความเข้าใจผิด แต่ก็ดีกว่ามีคนต้องตาย
หลังจากนั้นประมาณสามสิบนาที ประตูรถก็เปิดออก เฉินเทียนเซิงกระโดดลงจากรถ พร้อมกับเสื้อที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย ก่อนนั่งลงบนกล่องลังกระดาษแข็ง ๆ
“อาจารย์ พี่สาวเป็นยังไงบ้าง?”
“หลับไปแล้ว”
เฉินเทียนเซิงรู้สึกว่าบรรยากาศก็ดูปกติดี แต่กลับรู้สึกแปลก ๆ กับสายตาที่ลัวหลงมองมาที่เขา
“บอกว่าทุกอย่างปกติดีไง”
ลัวเฟิงไม่ได้พูดอะไร เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว
ไม่กี่นาทีต่อมา คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในพื้นที่กักกัน พวกเขาทยอยเข้ามากันทีละคน ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้รอดชีวิตที่ได้รับการช่วยเหลือเมื่อตอนเช้า และอีกไม่นานพวกเขาจะถูกส่งไปยังเขตปลอดภัย
ปฏิบัติการกู้ภัยนั้นแบ่งออกเป็น 50 กองพล ทีมกู้ภัยย่อย 150 ทีม และทีมปราบปราม 10 คน โดยเริ่มออกช่วยเหลือจากเขตพัฒนาและขยายไปยังใจกลางเมือง โดยจะมีการปฏิบัติภารกิจถึงสองครั้งต่อวัน
ภารกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นมากในช่วงเช้า ผู้รอดชีวิตประมาณ 3,000 คนได้รับการช่วยเหลือในคราวเดียว และมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมกู้ภัยได้มาก หรือพูดอีกอย่างว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
พื้นที่กักกันก่อนหน้านี้ที่ไร้ซึ่งผู้คน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้รอดชีวิต ทุกคนต่างยิ้มแย้มและอิ่มเอมใจ
“อย่าสนใจเลย ฆาตกรแบบนั้นมีอะไรให้สนใจ อยู่ให้ห่างเถอะ คนแบบนี้เราไม่ควรไปยุ่งด้วย”
ในขณะที่เฉินเทียนเซิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนพึมพำอยู่ข้าง ๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่า สวี่หว่านชิงถูกผู้ชายวัยกลางคนจูงมือเดินห่างออกไปไกลแล้ว
เมื่อสวี่หว่านชิงเข้ามาในพื้นที่กักกัน และเห็นรถบรรทุกที่คุ้นเคย เธอจึงอยากมาขอบคุณชายสวมหน้ากาก แต่ตอนนั้น เฉินเทียนเซิงไม่ได้สวมหน้ากาก จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา เธอยืนจ้องเขาอยู่นานโดยไม่รู้ตัว
หลังจากงุนงงอยู่ไม่กี่วินาที พ่อของเธอก็เดินเข้ามาและพาตัวออกไป เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงฆาตกร พ่อของเธอจึงไม่ยอมรับ
เฉินเทียนเซิงเพิกเฉยต่อสายตาที่เย็นชา ข้อกล่าวหา และการซุบซิบนินทาของผู้คนรอบตัวเขา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วพูดว่า
“ถึงเวลาแล้ว มาทำอาหารกันเถอะ”
ลัวหลงและลัวเฟิงคุ้ยกล่องอาหาร เดิมทีพวกเขาต้องการเอาอาหารกระป๋องออกมา แต่เฉินเทียนเซิงหันมาดุว่า
“เก็บอาหารกระป๋องเอาไว้ก่อน เราต้องเลือกกินของที่มันเก็บไว้นานไม่ได้สิ รีบตั้งหม้อไฟเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กินจะเสียของซะเปล่า”
เมื่ออุ่นอาหารจนร้อนได้ที่ ทั่วพื้นที่กักกันก็ได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้งที่ลอยมากับอากาศ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันสิ้นโลกเกิดขึ้น บรรดาผู้รอดชีวิตต่างมีชีวิตที่น่าสังเวช แม้ว่าจะมีอาหารเก็บไว้ในบ้านบางส่วน แต่พวกเขาก็แบ่งออกมากินได้ไม่มาก
สำหรับคนอย่างเฉินเทียนเซิง ที่ได้กินอาหารครบสามมื้อต่อวัน แถมยังได้กินเนื้อสัตว์อีกด้วย ไม่แปลกที่จะมีคนอิจฉา
ผู้รอดชีวิตหลายคนต่างกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย จนกระทั่งมีหนึ่งในผู้รอดชีวิตเข้ามาเจรจา
“นี่คุณ ผมขอซื้ออาหารจากคุณได้ไหม ผมพอมีเงินอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคุณพอจะแบ่งขายให้ได้รึเปล่า?”
เฉินเทียนเซิงเงยหน้าขึ้น ก่อนเห็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปี สวมสูทพร้อมกับถือธนบัตรปึกหนึ่งอยู่ในมือ เดินเข้ามาขอเจรจา เขาพูดอย่างมั่นใจต่อไปว่า
“ผมยอมจ่ายเงินทั้งหมดนี้ให้คุณเลย หวังว่าคุณคงยอมขายให้ใช่ไหม?”
“ฮึ่ม”
เฉินเทียนเซิงตอบกลับอย่างเย็นชา “ต่อให้มีเงินแค่ไหนผมก็ไม่ขายหรอก”
“นี่คุณ!”
ชายวัยกลางคนกระวนกระวาย ยืนกัดฟันก่อนถอดนาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือออก แล้วพูดอย่างมั่นใจอีกครั้งว่า
“นาฬิกาโรเล็กซ์นี้มีมูลค่าเป็นสิบล้าน นี่คงพอแลกกับอาหารสัก 10 กระป๋องได้แล้วมั้ง”
เฉินเทียนเซิงตอบกลับด้วยความรำคาญ
“นี่คุณหูหนวกเหรอ ผมบอกแล้วไง ต่อให้คุณมีเงินผมก็ไม่ขาย!”
ชายวัยกลางคนอารมณ์เสีย ก่อนพยายามตอแยต่อไป
“คุณฟังผมก่อนสิ กับข้าวที่นี่กินไม่อร่อยจริง ๆ สองสามวันที่แล้วต้องฝืนกินไปตั้งเยอะ เอาเป็นว่าคุณอยากได้เท่าไหร่ก็บอกมาเลย ตราบใดที่ผมจ่ายได้ บอกมาเลยว่าอยากได้เท่าไหร่”
เฉินเทียนเซิงตอบกลับไปว่า
“ถ้าอยากกินก็ให้ได้ แต่ผมขออย่างเดียว”
“อะไรล่ะ”
เมื่อเห็นความหวังตรงหน้า ชายวัยกลางคนก็ตั้งตารอคำพูดต่อไปของเฉินเทียนเซิงอย่างใจจดใจจ่อ
เฉินเทียนเซิงหยิบผลึกกลายพันธุ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
“ผมต้องการสิ่งนี้ มันเรียกว่าต่อมไพเนียลและอยู่ในหัวซอมบี้”
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังเอื้อมมือไปคว้ามาดู เขาก็รีบถอยห่างทันทีเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้าย หลังจากนั้นไม่นาน เขาตอบกลับด้วยความลำบากใจว่า
“เดี๋ยวก่อนสิ นี่คุณล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย?”
เฉินเทียนเซิงไม่อธิบายอะไรต่อ ก่อนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ถ้าคุณมีต่อมไพเนียล ก็เอามาแลกอาหารกับผมได้ ถ้าไม่มีก็บ๊ายบาย”
ชายวัยกลางคนที่เคยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยก่อนวันสิ้นโลกรู้สึกหงุดหงิด และไม่พอใจเอามากๆ
“ได้ รอผมหน่อยแล้วกัน”