บทที่ 27 ศูนย์กักกัน
บทที่ 27
ศูนย์กักกัน
รถบรรทุกสินค้าขับไปตามทางหลวงด้วยความเร็วคงที่
ถิ่นทุรกันดารรอบข้างเต็มไปด้วยฉากอันทรุดโทรมและรกร้าง หลังปรากฏการณ์ฝนกรด วัชพืชจะเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีความสูงถึงหนึ่งเมตรภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน
ตามข้างทางจะเห็นรถยนต์พังเสียหายจอดอยู่ทั่วไป เสาโทรศัพท์เอียงกระเท่เร่ สายสัญญาณขาดและโบกสะบัดไปตามแรงลม ถุงพลาสติกและขยะกระจุกกระจิกอื่น ๆ ปลิวเกลื่อน
ขับต่อไปอีกนิด พบว่าพื้นที่นี้เป็นสถานที่โล่งกว้าง มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ใกล้ ๆ แต่ตอนนี้ภาพที่คุ้นตากลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นลานโล่งธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรถถังและรถหุ้มเกราะที่จอดอยู่เต็มพื้นที่ มีทหารพร้อมอาวุธหนักเฝ้ายามประจำตำแหน่งอยู่โดยทั่ว กวาดตามองแค่ปราดเดียวแทบไม่เห็นอย่างอื่นเลยนอกจากรถถังกับปืนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นการรวมพลครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
“พระเจ้าช่วย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมื่อลัวหลงและลัวเฟิงเห็นภาพเหตุการณ์นอกตัวรถ พวกเขาก็เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนหน้านี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในปั๊มน้ำมันไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ ทำไมสถานการณ์ถึงได้บานปลายจนเหมือนเกิดเหตุแผ่นดินไหวแบบนี้กัน
“ปกติ”
เฉินเทียนเซิงอธิบาย “ถ้าไม่แยกศูนย์กักกันออกมา ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคงทำได้ยาก การระดมยุทโธปกรณ์ทางทหารอย่างนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับวันสิ้นโลกที่เกิดขึ้น”
ห่างจากศูนย์กักกันประมาณ 500 เมตร ทหารที่ประจำการอยู่ตรงทางแยกข้างหน้าก็เปลี่ยนท่าทีเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ทุกคนติดอาวุธ บรรจุกระสุนปืน เตรียมจ่อยิง
พวกเขาลดระดับความเร็วลงอย่างช้า ๆ เมื่อระยะห่างเหลือแค่ประมาณ 200 เมตร เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่ในเขตปลอดภัยก็ตอบสนอง ประกาศผ่านลำโพง
“รถคันข้างหน้าโปรดฟัง ที่นี่คือศูนย์กักกัน กรุณาลงจากรถ แล้วเข้ารับการตรวจร่างกายเบื้องต้นว่าในบรรดาพวกคุณมีผู้ติดเชื้อหรือไม่ ถ้าคุณยังฝืนขับตรงมาอีก เราจะยิงสกัดทันที”
ระยะห่างเหลือประมาณ 150 เมตร ล้อรถบรรทุกสินค้าหยุดหมุนอย่างช้า ๆ รถหุ้มเกราะข้างหน้ามีเจ้าหน้าที่สวมชุด PPE พร้อมด้วยทหารหน่วยรบพิเศษ 10 นายซึ่งพกพาปืนพร้อมกระสุนจริงมาด้วย
“ลงจากรถ ไปเข้ารับการตรวจสอบ”
เฉินเทียนเซิงเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“ลงจากรถกันเถอะ”
“อาจารย์ ผม...” ลัวหลงพูดตะกุกตะกัก
“ลงไปเถอะน่า”
เฉินเทียนเซิงเปิดประตูรถก่อนจะกระโดดลงไป คนอื่น ๆ ก็ทยอยลงจากรถทีละคน มีแค่ลัวหลงเท่านั้นที่หากระดาษหนังสือพิมพ์ในรถมาปิดบังจุดสงวนบนร่างกายด้วยท่าทางงุ่มง่าม
ทหารหน่วยรบพิเศษพุ่งเข้ามาประชิดพร้อมถืออาวุธปืนเล็งมาที่พวกเขา ท่าทางตื่นตัวเต็มพิกัด
เจ้าหน้าที่หลายคนที่สวมชุด PPE สาวเท้าเข้ามาอย่าง ช้า ๆ ก่อนจะชี้ไปทางลัวหลงแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมเขาเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“เสื้อผ้าของผม โดนเผาไปหมดแล้วครับ” ใบหน้าลัวหลงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำลามไปจนถึงลำคอ
เจ้าหน้าที่ไม่สนใจถามซักไซ้ ดำเนินการตรวจสอบด้วยขั้นตอนเดียวกันกับตอนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่ หลังตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วก็เริ่มซักประวัติ
อย่างเช่น สองสามวันที่ผ่านมามีไข้ไหม? มีบาดแผลตามร่างกายหรือเปล่า? เป็นคำถามพื้นฐานทั่วไป
ทหารหน่วยรบพิเศษตบไปด้านข้างประตูบรรทุกด้วยความระมัดระวัง
“มีอะไรอยู่บนรถบ้าง เปิดให้หน่อย เราต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”
เฉินเทียนเซิงเดินไปเปิดรถบรรทุกให้พวกเขา ทหารทุกคนต่างรู้สึกเหลือเชื่อเมื่อเห็นว่าบนรถเต็มไปด้วยเสบียงมากมาย จากนั้นทัศนคติของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในไม่ช้าการตรวจสอบเบื้องต้นก็เสร็จสิ้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ศูนย์กักกัน อย่างไรก็ตาม เฉินเทียนเซิงรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะเขายังต้องถูกกักตัวอยู่ในศูนย์กักกันนี้เป็นเวลาร่วม 14 วัน
รถหุ้มเกราะช่วยเปิดทางข้างหน้าให้ เมื่อมาถึงประตูทางเข้าศูนย์กักกัน ก็ต้องจอดรถอีกครั้งเพื่อลงทะเบียน
ทั้งสี่คนลงจากรถ ถูกพาตัวไปยังเต็นท์สนามข้างถนนซึ่งมีโต๊ะวางเรียงรายอยู่ เจ้าหน้าที่สวมชุด PPE ประจำการอยู่ที่นั่น คอยรับผิดชอบด้านการลงทะเบียน
“เขียนชื่อ อายุ อาชีพที่เคยทำ มีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง อย่าลืมเขียนให้ชัดเจน”
ทุกคนได้รับแบบฟอร์มาคนละหนึ่งใบ แต่ละคนกรอกข้อมูลอย่างระมัดระวัง จากนั้นทหารหน่วยรบพิเศษที่ประจำการอยู่หน้าศูนย์ก็หาเสื้อผ้าสะอาดมาจากในศูนย์กักกัน แล้วมอบให้ลัวหลง
“เอาไปใส่ซะ เปลือยแบบนี้น่าอุจาดตาจะตายไป”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ” ลัวหลงขอบคุณพวกเขาอย่างสุดซึ้ง หลังจากแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เขาก็กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มโดยไม่ต้องทนอับอายอีกต่อไป
พอลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่ก็ได้รับใบปลิวซึ่งมีเนื้อหาที่เฉินเทียนเซิงรู้ข้อมูลชัดเจนอยู่แล้ว ในขณะที่อีกสามคนก้มอ่านอย่างละเอียด
นอกจากจะเป็นใบปลิวประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับเคล็ดลับพิเศษต่าง ๆ
เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันเรียกได้ว่าเข้าสู่สภาวะล่มสลาย อารยธรรมของมนุษยชาติถูกทำลายล้างสิ้น รัฐบาลจึงหวังให้ผู้รอดชีวิตทุกคนเข้าร่วมเป็นกองกำลังหลัก ตราบใดที่พวกเขามีสถานะเป็นแรงงาน จะต้องรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงบรรจุเข้ากองทัพ เพื่อมีส่วนร่วมในการสืบสานอารยธรรมมนุษย์ต่อไป
เฉินเทียนเซิงไม่ได้อ่านใบปลิวด้วยซ้ำ เขาพาคนของตัวเองเดินกลับไปที่รถ หลังได้รับคำแนะนำจากบรรดาเจ้าหน้าที่ ให้ขับรถบรรทุกสินค้าเข้าไปในศูนย์กักกันชั่วคราวซึ่งมีอาณาเขตหลายร้อยไมล์ ข้างในมีเต็นท์สีขาวกางอยู่เต็มพื้นที่
“ปฏิบัติการช่วยเหลือยังดำเนินอยู่ ผู้รอดชีวิตทุกรายจะถูกกักตัวอยู่ภายในศูนย์แห่งนี้เป็นเวลา 14 วัน จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาพาพวกคุณเดินทางไปยังฐานผู้รอดชีวิต ตอนนี้ให้พวกคุณเลือกเต็นท์ได้ตามอัธยาศัย”
เฉินเทียนเซิงแจ้งความจำนงของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา “เรามีรถบรรทุก อาจไม่จำเป็นต้องใช้เต็นท์ เก็บไว้ให้ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ เถอะ เชื่อผมสิ อีกไม่กี่วันพวกคุณจะรู้ว่าเต็นท์พวกนี้ไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป”
เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์กักกันไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่เก็บเอาคำพูดของเฉินเทียนเซิงมาคิดอย่างจริงจัง
“แล้วแต่คุณ ยังไงทางเราก็จะแจกจ่ายอาหารให้ แค่อย่าสร้างปัญหาในช่วงที่กักตัวก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ให้จัดการด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดจบแล้วเจ้าหน้าที่ก็เดินจากไป ทิ้งพวกเขาไว้ในพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งล้อมพื้นที่ไว้ด้วยรั้วแบบเรียบง่าย บนแท่นสังเกตการณ์ ทหารหลายนายพร้อมอาวุธปืนต่างยืนประจำการอยู่ที่นั่น
เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้ว เฉินเทียนเซิงก็ตบมือแล้วบอกว่า
“เอาล่ะ ถึงพวกเขากำหนดให้เรากักตัว 14 วัน แต่อีกไม่กี่วันหลังจากนี้พวกเราก็ออกเดินทางต่อกันได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนกลับขึ้นรถกันเถอะ แล้วปรับพื้นที่ให้สามารถพักอาศัยได้สักสองสามวัน”
หลายคนเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเลวร้ายมาหลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้ผ่อนคลายเสียที แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาแฮปปี้ขนาดไหน
ลัวหลงมีไหวพริบดีมาก เขากระโดดขึ้นรถ ขนกล่องลังบรรจุอาหารกระป๋องออกมาสองลัง ก่อนจะตบกล่องและพูดว่า
“อาจารย์ครับ นั่งพักสักหน่อยเถอะ”
“ขอบคุณมาก”
เฉินเทียนเซิงหย่อนก้นนั่งลงบนลังกระดาษด้วยท่าทางไว้ตัว จากนั้นก็ยกขาขึ้นไขว่ห้าง แล้วกวักมือเรียกหยางเซวี่ย
“มานี่สิ”
หยางเซวี่ยวางกล่องลังในมือลง ปัดฝุ่นตามร่างกาย วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาเขาแล้วถามว่า
“มีอะไรเหรอลูกพี่?”
เฉินเทียนเซิงเอนหลังพิงกล่องแล้วพูดว่า “คุณเห็นสภาพพวกเขาหลังจากกินยาปรับเปลี่ยนลำดับยืนแล้วนี่ คงรู้ว่าพวกเขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน รู้แบบนี้แล้วคิดจะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สายนะ”
หยางเซวี่ยตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่ ขอแค่ฉันแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ต่อให้เจ็บมากแค่ไหนฉันก็ทนได้”
“งั้นก็ดี”
จากนั้นเฉินเทียนเซิงก็ไม่พูดอะไรต่อ หยางเซวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่เฝ้ารออย่างเงียบเชียบ จนผ่านไปสิบกว่านาที บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดพิกล
“อาจารย์ เราปรับพื้นที่เป็นรถนอนเรียบร้อยแล้ว คุณอยากขึ้นมาดูหน่อยไหม” ลัวหลงตะโกนเรียก
เฉินเทียนเซิงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสงบยิ่ง เดินนำหยางเซวี่ยไปที่รถบรรทุก
โชคดีที่มีกล่องลังบรรจุเสบียงจำนวนมาก เอาพวกมันมาวางเรียงต่อกันเป็นเตียงชั่วคราวได้ มีทั้งหมดสี่เตียง เตียงที่อยู่ด้านในสุดคือเตียงของเฉินเทียนเซิง
“ดีมาก”
ทันใดนั้นเฉินเทียนเซิงก็หยิบยาเสริมคุณสมบัติออกมา หันหลังกลับแล้วยื่นให้หยางเซวี่ย
“ฉันมีคำขอแค่อย่างเดียว ไม่ว่าการวิวัฒนาการจะสร้างความเจ็บปวดให้คุณมากแค่ไหนก็ตาม พยายามอย่าส่งเสียงดังจนเกินไป ฉันกลัวว่าพวกทหารที่ได้ยินเข้าอาจคิดว่าคุณกำลังกลายร่างเป็นซอมบี้ แล้วบุกเข้ามาฆ่าคุณทิ้งซะ”
ใบหน้าหยางเซวี่ยเปลี่ยนเป็นแดงก่ำสลับกับซีดขาว
“ฉันจะพยายาม”
เธอเอื้อมมือทั้งสองข้างไปรับขวดยาเสริมคุณสมบัติ จากนั้นก็หลับตาปี๋แล้วกระดกดื่มในอึกเดียว
หลังจากกลืนลงคอแล้ว เฉินเทียนเซิงก็รีบตะโกนบอกลัวหลงกับลัวเฟิง
“ปิดประตูเร็ว”
ทั้งสองรีบกระโดดลงจากรถ ก่อนจะปิดประตูท้ายรถบรรทุกดังปัง
วินาทีถัดมา เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็แผ่กระจายไปทั่วศูนย์กักกันอันโล่งกว้าง