บทที่ 27 น่าเกลียดน่ากลัว
บทที่ 27
น่าเกลียดน่ากลัว
อวี้ซีหยวนกลับไปที่ห้องของนาง หยิบถุงยาออกมา ก่อนจะทำปากขมุบขมิบร่ายคาถาสองสามคำ พบว่าปากถุงยายอมเปิดออกหลังจากนั้น
ถุงยาใบนี้มีขนาดเล็กจนสามารถถือไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว ยาอายุวัฒนะที่อวี้ซีหยวนต้องการซึ่งได้มาจากหอฮ่วยเยวี่ยมีจำนวนไม่มากนัก แต่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าวไม่สามารถเก็บไว้ภายนอกได้
อวี้ซินหรานมองดูอวี้ซีหยวนนำขวดบรรจุยาอายุวัฒนะออกมาจากถุงยา ซึ่งขวดโหลเหล่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าถุงยามาก จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่สาว นี่คืออะไรกัน? เหตุใดถุงใบเล็กจึงเก็บยาที่มีขนาดใหญ่กว่าไว้ได้?”
อวี้ซีหยวนเม้มริมฝีปากพร้อมอธิบายว่า “สิ่งนี้คือถุงยา ภายในมีพื้นที่ขนาดเล็กสำหรับเก็บยาอายุวัฒนะ”
อวี้ซินหรานจึงตระหนักในทันที
นางเคยรับรู้มาบ้างว่าบนโลกนี้มีถุงเก็บสมบัติ อุปกรณ์ และสิ่งของต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งพวกมันล้วนเป็นวัตถุที่ถูกปรับแต่งโดยเฉพาะให้มีพื้นที่ขนาดเล็กอยู่ภายใน ทำให้สามารถเก็บสิ่งใดไว้ก็ได้
แต่... นางเคยได้ยินเรื่องนี้ผ่านหูเท่านั้น ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน ดังนั้นการได้เห็นมันในวันนี้จึงน่าตื่นตาไม่น้อย
หลังจากที่อวี้ซีหยวนนำยาอายุวัฒนะทั้งหมดออกมาวางเรียง นางก็ผลักถุงยาไปทางฝั่งที่อวี้ซินหรานนั่งอยู่...
“ถุงยาใบนี้ยังไม่รู้จักเจ้าของ ซินหราน หากเจ้าหยดเลือดของตนเองลงไป มันจะตกเป็นสมบัติของเจ้า”
อวี้ซินหรานหันมองอวี้ซีหยวนด้วยความประหลาดใจ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง พร้อมกับรีบผลักมันคืนกลับไป “ไม่ได้ พี่สาว สิ่งนี้ท่านปู่ผู้นั้นเป็นคนมอบให้ท่าน ควรเป็นของท่านจึงจะถูก...”
“รับไว้เถิด”
อวี้ซีหยวนจับนิ้วของอวี้ซินหรานมาใกล้ ก่อนจะบังคับให้เลือดของอีกฝ่ายหยดลงบนถุงยา ในไม่ช้าเส้นใยสีทองบาง ๆ ก็เชื่อมโยงระหว่างถุงยาและนิ้วของอวี้ซินหราน กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก่อนจะหายวับไป
ทันใดนั้น อวี้ซินหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจ สั้น ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนต้องการกล่าวหา อวี้ซีหยวนที่ไม่เคารพความคิดเห็นของตน
“พี่สาว!”
“เอาเถิด เจ้าควรรักษามันให้ดี ถือเสียว่าเป็นของขวัญจากพี่สาว! ซินหราน พี่สาวของเจ้ายังมีถุงยาอีกใบหนึ่ง!” ว่าแล้วอวี้ซีหยวนก็หยิบถุงยาอีกถุงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าย่าม
สีหน้าท่าทางของอวี้ซินหรานจึงดีขึ้น
นางถือถุงยาที่ตกเป็นสมบัติของนางไว้ไม่ห่างกาย พร้อมเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
ง่ายดายนัก
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ซีหยวนตื่นแล้ว จึงปลุกอวี้ซินหรานให้ตามออกไปตรงหน้าประตูพระตำหนัก
ฉางอี้เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อของ อวี้ซีหยวนก่อนจะเบือนหน้าหนี ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม “คุณหนูอวี้ วันนี้ท่านไม่สวมหมวกเพื่อปิดบังใบหน้าของท่านหน่อยหรือ?”
อวี้ซีหยวนเลิกคิ้ว “ไม่น่ามองถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ฉางอี้ชะงักไป เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่... มันค่อนข้าง...”
“ค่อนข้างอะไร? เจ้ากลัวว่าข้าเข้าวังทั้งที อาจทำให้ องค์จักรพรรดิทรงตกใจกลัวอย่างนั้นรึ?” อวี้ซีหยวนยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อไป “ฉางอี้ เจ้าต้องเรียนรู้จากท่านอ๋องของเจ้าให้มาก หากเจ้าเป็นถึงจักรพรรดิแห่งรัฐ กล้าหาญยิ่งแต่กลับไร้น้ำใจ เช่นนั้นเหตุใดข้ายังต้องช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยเล่า? พวกเจ้าควรขอร้องข้าถึงจะถูก!”
ฉางอี้นิ่งเงียบราวเป็นใบ้ไปทันที
ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ต้องการตอกกลับเหลือเกินว่าอวี้ซีหยวนหลงตัวเองเกินไปแล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิส่วนเจ้าเป็นเพียงใคร ไม่สามารถยกตนเปรียบเทียบได้ด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับกล่าวคำเหล่านั้นไม่ออก
ไม่นานนักลั่วจ้านชิงก็เดินตามออกมา เขาเหลือบมอง อวี้ซินหรานแวบหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร หยุดชะงักฝีเท้าชั่วครู่เมื่อเดินผ่านอวี้ซีหยวน แต่แล้วก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เตรียมก้าวขึ้นไปบนรถม้า
อวี้ซีหยวนเอื้อมมือออกไปดึงแขนลั่วจ้านชิงที่ไม่ทันตั้งหลักให้ถอยกลับ ก่อนจะอุ้มอวี้ซินหรานขึ้นไปบนรถม้าก่อนแล้วก้าวตามขึ้นไป ลั่วจ้านเผยสีหน้าไม่พอใจทันทีเมื่อถูกอวี้ซีหยวนถูกเนื้อต้องตัว คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปม
ลั่วจ้านชิงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา สายตาเย็นเยียบแข็งกระด้าง ไร้ร่องรอยแห่งความเขินอายแต่อย่างใด ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าตามมา
ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ตลอดทาง
จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนมาถึงพระราชวัง ลั่วจ้านชิงกำชับกับอวี้ซีหยวนเพียงสองสามคำ ให้นางระมัดระวังเรื่องกิริยามารยาท