บทที่ 26 ความภักดีเต็มเปี่ยม
บทที่ 26
ความภักดีเต็มเปี่ยม
ไม่รู้ว่าระบบไม่ยอมตอบหรือไม่ได้ยิน แต่มันทำให้ เฉินเทียนเซิงสนใจเรื่องการขับรถน้อยลง จึงหันไปมองหยางเซวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“คุณขับรถใหญ่เป็นไหม?”
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหัน หยางเซวี่ยแสดงสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนตอบกลับว่า
“ตั้งแต่เปิดคลังสินค้า ฉันก็จ้างคนขับบรรทุกให้ตลอด ฉัน... ขับไม่เป็น”
“เอี้ยด ครืด”
หลังจากเหยียบเบรก รถบรรทุกขนาดใหญ่ก็หยุดกะทันหันอยู่กลางถนน ทั้งสามคนต่างคะมำไปข้างหน้า
เฉินเทียนเซิงพิงพนักเก้าอี้ก่อนหลับตาลงราวกับกำลังใช้ความคิด ในขณะที่ทั้งสามคนรู้สึกมึนงง เพราะไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
เนื่องจากระบบสร้างความประหลาดใจให้เขามากเกินไป และเฉินเทียนเซิงไม่สามารถรอต่อไปได้ จึงต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้ระบบมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง
หน้าเกียรติยศค่อนข้างคล้ายคลึงกับหน้าสถานะลูกศิษย์ แต่ด้านในมีเนื้อหาแตกต่างกัน
ทั้งสองหน้าต่างมีตารางปรากฏขึ้น ค่อนข้างคล้ายกับรูปแบบของลีดเดอร์บอร์ด*
*ลีดเดอร์บอร์ด = เป็นผังข้อมูลที่ผู้จัดทำหรือเจ้าของสามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ ของสิ่งที่ตัวเองเป็นเจ้าของหรือดูแล เช่น ข้อมูลเครื่องมืออุปกรณ์ รายชื่อ สถานะบัญชี ฯลฯ
หน้าสถานะลูกศิษย์ มีข้อมูลอยู่สองช่อง
1. ลัวหลง มนุษย์กลายพันธุ์ธาตุไฟ ระดับ 1 พลังรบ : 110
2. ลัวเฟิง มนุษย์กลายพันธุ์ธาตุลม ระดับ 1 พลังรบ : 118
ด้านล่างตารางยังมีช่องว่างอีกมากมาย
ถัดมาในหน้าเกียรติยศก็มีข้อมูลปรากฏอยู่หลายช่อง
1. ลัวหลง ค่าบูชา 89% ความภักดี 99% ความสัมพันธ์ : อาจารย์กับศิษย์
2. ลัวเฟิง ค่าบูชา 90% ความภักดี 99% ความสัมพันธ์ : อาจารย์กับศิษย์
3. หยางเซวี่ย ค่าบูชา 91% ความภักดี 80% ความสัมพันธ์ : ไม่ระบุ
4. ลัวหมิง ค่าบูชา 50% ความภักดี 10% ความสัมพันธ์ : เป็นมิตร
นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่นปรากฏขึ้นมาเพิ่ม
5. สวี่หว่านชิง ค่าบูชา 50% ความภักดี 30% ความสัมพันธ์ : แอบรัก
6. สวี่หว่านชิว ค่าบูชา 40% ความภักดี 11% ความสัมพันธ์ : ไม่ระบุ
...
ค่าเกียรติยศรวมในปัจจุบัน : 792
เมื่ออ่านชื่อและคำอธิบาย เฉินเทียนเซิงรู้สึกว่าบางชื่อแทบไม่คุ้นหูเลย โดยเฉพาะชื่อสุดท้ายที่เขาสงสัยและรู้สึกงุนงงเป็นพิเศษ
สวี่หว่านชิง คงเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่เพิ่งส่งภาพตัวการ์ตูนที่วาดเองให้กับเขา แต่คนที่ชื่อสวี่หว่านชิวนั้นมาจากไหน? แล้วความสัมพันธ์แอบรักนี่มันอะไรกัน?
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคำอธิบายที่เขาไม่เข้าใจ คือค่าบูชาที่ยังไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม
และนี่คือทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับหน้าสถานะลูกศิษย์กับหน้าเกียรติยศในตอนนี้ สิ่งสำคัญในเวลานี้คือต้องรีบเปิดหีบสมบัติสีทอง
หลังจากนั้น ประกายสีทองก็พร่างพราวสว่างไสวอยู่ในสมอง
“ยาเสริมคุณสมบัติ ลมกรด (ความเร็ว 100)”
ล้อกันเล่นแน่ ๆ ระดับความเร็ว 100 มันน่ากลัวเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่เธอเคลื่อนที่ได้เร็วมากเมื่อชาติที่แล้ว ที่แท้เธอก็ได้ยานี้มานี่เอง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉินเทียนเซิงแทบอดใจรอไม่ไหว
เขาลืมตาขึ้น ก่อนหยิบขวานดับเพลิงขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ลงจากรถแล้วมากับฉัน”
หลังจากพูดจบเขาก็เปิดประตูและกระโดดลงจากรถทันที
ทั้งสามรู้สึกงุนงงเล็กน้อย โดยเฉพาะหยางเซวี่ย ที่กระโดดลงจากรถตามไปโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม เดินตามหลัง เฉินเทียนเซิง พร้อมแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะพิสูจน์ ต่อไปนี้คือบททดสอบสุดท้ายของคุณ”
พูดจบเขาก็ยกขวานดับเพลิงขึ้นมา แล้วชี้ไปทางพวกซอมบี้ที่วิ่งไล่ตามรถมา แต่พวกมันมีจำนวนไม่มาก เนื่องจาก ซอมบี้ที่วิ่งไล่ตามส่วนใหญ่นั้น ต่างล้มลงจนเหลือไม่ถึงสิบตัว
เฉินเทียนเซิงจับขวานให้เหมาะมือ ก่อนฟันหัวพวกมันไปสองถึงสามตัวให้ล้มลง โดยไม่ฆ่าให้ตายในทันที แต่เขาก็ตัดแขนและขาของซอมบี้ออกเพื่อความปลอดภัย ถึงอย่างนั้นพวกซอมบี้ก็ยังคงอ้าปากและส่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย แม้มันจะไม่มีแขนขาแล้วก็ตาม
เฉินเทียนเซิงยื่นขวานในมือให้หยางเซวี่ย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า
“ตัดหัวมันออกมา แล้วขุดเอาต่อมไพเนียลออกจากกลางกะโหลก ฉันต้องการสิ่งนี้ ถ้าคุณไม่อ้วกระหว่างทำ ก็ถือว่าผ่านบททดสอบ”
สำหรับผู้หญิงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการสับหัวซอมบี้ แค่เห็นเลือดไหลออกมาก็ทำให้พวกเธอเป็นลมได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉากที่น่าขยะแขยงตรงหน้านี้เลย
หยางเซวี่ยรับขวานมาอย่างไม่เต็มใจ ก่อนใช้เวลาทำใจอยู่นาน
“เร่งมือเร็วเข้า อย่าทำตัวชักช้า”
เฉินเทียนเซิงตะโกนให้เธอเร่งมือ หยางเซวี่ยได้ฟังก็กัดฟันฝืนทำต่อไป เธอยกขวานขึ้นสูง แล้วสับลงมาอย่างรุนแรง
“ฉับ ฉึก”
ขวานดับเพลิงผ่าไปที่กลางหัวซอมบี้ ทำให้เลือดสีดำซึ่งส่งกลิ่นเหม็นเน่ากระจายออกมา กลิ่นเหม็นแบบนี้คนธรรมดายังแทบรับไม่ได้ เพียงสูดดมเข้าไปเล็กน้อย ก็อาจทำให้รู้สึกมวนท้องและคลื่นไส้ไปทั้งวัน
หยางเซวี่ยเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อกลิ่นเหม็นเน่าพุ่งเข้าไปในปอด
“อ็อก... โครก...”
หยางเซวี่ยถอยหลังออกมา ก่อนทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้น
พูดตามตรง เฉินเทียนเซิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อชาติที่แล้ว เฉินเทียนเซิงประทับใจในตัวหยางเซวี่ยมาก ๆ
เดิมทีผู้หญิงคนนี้ไม่เคยแยแสใคร แถมยังโหดเหี้ยม นอกจากนี้ยังฆ่าซอมบี้โดยไม่แม้แต่จะขยิบตาอีกด้วย เมื่อเธอเห็นคนขี้ขลาดในสนามรบ เธอจะด่าทอทันทีว่า
“อย่าทำตัวอ่อนแอเหมือนผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายก็สู้ให้เท่าฉันสิ!”
แต่ไม่แปลกหรอก เพราะวันสิ้นโลกเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่กี่วัน และมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความโหดร้าย รวมถึงการฆ่าซอมบี้ได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะอาเจียนออกมา แค่ในปัจจุบันนี้ การที่หยางเซวี่ยที่อาเจียนออกมาหลังจากสับหัวซอมบี้ เป็นอะไรที่ผิดกับบุคลิกของเธอเมื่อชาติที่แล้ว เฉินเทียนเซิงจึงรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ
หยางเซวี่ยรู้ตัวว่าตัวเองทำบททดสอบไม่สำเร็จ แม้สีหน้าจะซีดเซียวลงมาก แต่เธอยังคงจ้องเฉินเทียนเซิงด้วยแววตามุ่งมั่น
“ให้โอกาสฉันอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันจะไม่อ้วกออกมาแน่นอน!”
เฉินเทียนเซิงพยักหน้า ก่อนหันไปมองซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า
“บางครั้งฉันช่วยคุณได้ แต่ไม่เสมอไป ครั้งนี้ฉันจะลองไม่ช่วยดู ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่ตัวถ่วง และเป็นคนที่ฉันไว้ใจได้ ทีนี้ก็ลองฆ่าซอมบี้ด้วยเอง”
นี่คือการกดดันให้หยางเซวี่ยเจอกับทางตัน เธอต้องไม่พึ่งพาใคร และจะต้องพึ่งพาตัวเองทั้งหมด จะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง!
หยางเซวี่ยกัดฟัน ก่อนพูดปลุกใจตัวเองว่า
“ฉันไม่กลัวความตายหรอก ฉันกลัวมากกว่าถ้าคุณตายจากไป ย๊าก!”
หยางเซวี่ยยกขวานขึ้นมา เมื่อซอมบี้วิ่งเข้ามาใกล้ เธอง้างขวานไปด้านหลังแล้วเหวี่ยงสุดแรง ทันใดนั้นเลือดสีดำก็พุ่งออกมา สาดกระเซ็นจนเลอะใบหน้าของหยางเซวี่ย
แต่คราวนี้เธอไม่อาเจียนเหมือนครั้งก่อน แถมยังไม่รู้สึกคลื่นไส้อีกด้วย เมื่อลบความกลัวและความกังวลออกไปได้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกต่อไป แทบไม่หลงเหลือความรู้สึกอ่อนไหว
เธอเตะซอมบี้ด้วยเท้าข้างเดียว ก่อนดึงขวานออกมาด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วล้วงมือเข้าไปในกะโหลกของซอมบี้ แม้การสัมผัสและกลิ่นเหม็นยังทำให้รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่พออยากจะอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็กลืนมันกลับลงคอไปอย่างไม่ลังเล
เธอกำผลึกกลายพันธุ์ไว้ในมือที่เปื้อนเลือด หันกลับมาแล้วมอบให้เฉินเทียนเซิง
“เรียบร้อยแล้ว”
เฉินเทียนเซิงไม่ได้พูดอะไร เพราะเห็นว่าฝูงซอมบี้ที่ไล่ตามมาก่อนหน้านี้ วิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“รีบขึ้นรถก่อนเถอะ”
ทั้งสองกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เฉินเทียนเซิงบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ จากนั้นรถบรรทุกก็ออกตัวอีกครั้ง
ลัวเฟิงดึงใบมะเดื่อที่เหลืออยู่ใบเดียวจากลัวหลงพี่ชายของเธอ แล้วส่งให้หยางเซวี่ย พูดอย่างประจบสอพลอว่า
“ต่อจากนี้หนูต้องเรียกคุณว่ารุ่นน้อง หรือว่ารุ่นพี่ดีล่ะ?”
ในเวลานี้หยางเซวี่ยยังคงตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องยากที่จะสงบสติอารมณ์ไว้ ในขณะที่เฉินเทียนเซิงหยิบยาฟื้นฟูราดบนหัวและหน้าของตัวเอง
“ฉันจะไม่รับคุณเป็นศิษย์”
หยางเซวี่ยตกใจมาก ลัวหลงและลัวเฟิงก็ตกใจเช่นกัน โดยเฉพาะหยางเซวี่ย สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่น้ำตาจะค่อย ๆ รินไหลออกมาจากรอบดวงตา ยิ่งนานก็ยิ่งไหลรินออกมามากขึ้น
เธอพยายามระงับอารมณ์เศร้านี้ไว้ กลั้นน้ำตาแล้วถามออกไปว่า
“เป็นเพราะเมื่อกี้ฉันทำได้ไม่ดีพอเหรอ?”
“เปล่า!”
ไม่นานเฉินเทียนเซิงก็อธิบายต่อว่า
“เพราะคุณแก่กว่าฉันตั้งเยอะ จะให้รับเป็นศิษย์คงไม่เหมาะเท่าไหร่”
ท่ามกลางความเศร้ายังมีเรื่องดี หยางเซวี่ยมีประกายแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง มองไปที่เฉินเทียนเซิงอย่างเคร่งขรึม อดทนรอฟังคำพูดต่อไปของเขา
“ฉันจะให้ยาเสริมระดับยีนกับคุณ เพื่อให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ฉะนั้นเราสองคนจะไม่มีความสัมพันธ์แบบอาจารย์กับศิษย์ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รองลงมา”
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”
หยางเซวี่ยร้องไห้ด้วยความดีใจ
จากนั้นเสียงของระบบก็ดังขึ้น
“หยางเซวี่ย ค่าบูชา 100% ความภักดี 100% ความสัมพันธ์ ผู้ใต้บังคับบัญชา”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ค่าทุกด้านเต็มร้อยทันที ดูเหมือนว่าเธอเป็นคนแรกในรายชื่อเลยนะ!
ลาภลอยอีกแล้วเรา