บทที่ 25 คนดีมักอายุสั้น
บทที่ 25
คนดีมักอายุสั้น
“ยิงเลย ฆ่าไอ้ฆาตกรชั่วช้านั่นซะ!”
“ฆ่ามัน ฆ่ามันให้ตายซะ อย่าให้มันมีชีวิตอยู่!”
ชาวบ้านหลายคนที่ขึ้นรถบัสไปแล้วต่างโห่ร้องด้วยแรงอารมณ์ หลายคนเป็นเพื่อนบ้านของผู้หญิงวัยกลางคนคนนี้ ส่วนบางคนแค่ประณามการกระทำของเขา
สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจควบคุม
นายทหารคนนั้นยังคงถือปีนไม่ยอมปล่อย อยากยิงหัวเพื่อฆ่าชายจอมหยิ่งยโสคนนี้ให้ตาย ๆ ไปซะเต็มประดา
แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้เขาจะทำได้ แต่ตราบใดที่เหนี่ยวไก เสียงปืนจะดึงดูดซอมบี้ให้วกกลับมา ซึ่งเป็นผลร้ายต่อการอพยพช่วยเหลือ
ผู้กองวังอาหยางกัดฟันพูด
“ฟังนะ คุณเป็นคนธรรมดา ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครตามอำเภอใจ และไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนด้วย กลับไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้ ถ้ายังกล้าทำเรื่องบ้าระห่ำอีกละก็ ผมฆ่าคุณแน่!”
เฉินเทียนเซิงหรี่ตาลง รู้ว่าหลังจากวันสิ้นโลกมีอันตรายแฝงตัวอยู่ทุกหย่อมหญ้า ทหารเหล่านี้หรือจะคุ้นเคยกับวันสิ้นโลกดีไปกว่าเขา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขานั่นแหละที่ต้องเสียใจ
แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมัวต่อล้อต่อเถียงกับคนกลุ่มนี้ จึงหันกลับไปด้วยความโกรธและตะโกนเสียงดัง
“ไปกันเถอะ ปล่อยให้คนงี่เง่าพวกนี้รับมือกันเอง!”
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังมองตรงมา เฉินเทียนเซิงหันหลังกลับและเดินจากไป
คนอื่น ๆ ไม่ยอมปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ โดยเฉพาะ เว่ยเฉียงและพรรคพวกของเขาที่ยังคงส่งเสียงโห่ร้อง
“ปล่อยไปไม่ได้ ถ้าพวกคุณไว้ชีวิตเขาในวันนี้ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเข่นฆ่าชีวิตคนบริสุทธิ์อีกกี่คน”
“ใช่ ปล่อยมันไปไม่ได้ ยิงมันทิ้งซะ!”
“ยิงมันเลย!”
เสียงยั่วยุดังขึ้น เว่ยเฉียงกับพรรคพวกของเขาตะโกนไม่หยุด
ขณะนั้นเอง เฉินเทียนเซิงก็หยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
“ใช่ ฉันยังไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา มองไปยังผู้กองวังอาหยางด้วยสายตาเยือกเย็น
“คุณมันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวันสิ้นโลกเอาซะเลย!”
ดวงตาของทุกคนเบิกโพลงหลังจากได้ยินเขาพูดจบ เพราะชั่ววินาทีนั้น ทุกคนรู้สึกว่าเฉินเทียนเซิงไม่ได้ยินอยู่ตรงที่เดิมอีกต่อไป เงาร่างของเขากลายเป็นภาพติดตา
เมื่อคนขยี้ตาอีกครั้งแล้วจ้องมองไป ก็เห็นว่า เฉินเทียนเซิงกลับมายืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงที่เดิมแล้ว โดยที่กำลังถือบางอย่างอยู่ในมือ ซึ่งดูคล้ายกับลูกบอลสีเนื้อ
“ไม่ว่าผมจะทำอะไร พวกคุณทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครสามารถหยุดผมได้ทั้งนั้น ต่อให้ผมอยากไปจากที่นี่ ก็ไม่มีใครมาขวางทางผมได้”
พูดจบแล้วเฉินเทียนเซิงก็โยนลูกบอลสีเนื้อนั้นออกไปข้างหน้า จนมันกลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดอยู่แทบเท้าของวังอาหยาง พอเพ่งมองดี ๆ ถึงรู้ว่ามันคือหัวของใครคนหนึ่ง
“กรี๊ด!”
เวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในรถบัสต่างกรีดร้อง
ทุกคนหันขวับมองไปด้านข้างทันที ถึงรู้ว่าหัวของ เว่ยเฉียงหายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาจากคอ ก่อนที่ร่างไร้ศีรษะนั้นจะสูญเสียจุดศูนย์ถ่วง ตกลงจากรถบัสลงสู่พื้นโดยตรง
“อุกอาจเกินไปแล้ว ขนาดอยู่ต่อหน้าพวกเรายังฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า!”
เหล่านายทหารไม่สามารถควบคุมโทสะได้อีกต่อไป ทุกคนต่างยกปืนขึ้นแล้วเล็ง
“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อย่าจ่อปืนมาทางผม ไม่อย่างนั้นผมจะฆ่าพวกคุณทั้งหมดจริง ๆ ด้วย!”
พอเฉินเทียนเซิงพูดจบ เขาก็ดีดนิ้วเปาะอย่างใจเย็น
“เริ่มสั่นสะเทือนจิตวิญญาณ”
ทุกคน ณ ที่นั่นรู้สึกคล้ายจะวิงเวียน พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่เพียงคนหายไปเท่านั้น แม้กระทั่งรถบรรทุกทั้งคันก็หายไปด้วย ราวกับพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“พวกเราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”
ขณะที่ทุกคนกำลังสะลึมสะลืออยู่กับความคิดอันสับสนมึนงง รถบรรทุกคันหนึ่งที่อยู่นอกเขตชุมชนก็บีบแตรเสียงดัง
ทุกคนหันมองไปตามเสียง เห็นว่ารถบรรทุกสินค้าคันดังกล่าวแล่นออกไปไกลแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังบีบแตรเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดซอมบี้ให้เข้ามาใกล้มากกว่าหนึ่งโหล
เหล่าทหารและบรรดาผู้อยู่อาศัยในชุมชนต่างสงสัยไม่หาย เมื่อกี้นี้มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกันแน่ เว่ยเฉียงตายแล้ว จริง ๆ เหรอ?
ไม่ผิดแน่ เขาตายแล้วจริง ๆ เลือดยังทะลักออกมาจากศพของเขาไม่หยุด
วังอาหยางลดปืนลงด้วยความโกรธแค้น แค่นเสียงพึมพำเหี้ยมเกรียม
“ไอ้คางคกขึ้นวอ”
…
เฉินเทียนเซิงบีบแตรไปพลางเหยียบคันเร่งไปพลาง จนเวลาล่วงเลยไปประมาณ 2 นาที เขาก็กลับมาสงบสติอารมณ์ดังเดิม หยุดบีบแตร และมีสมาธิกับการขับรถ
ลัวเฟิงที่เอามือปิดหูบ่นพึมพำ
“อาจารย์ใจดีกับคนพวกนั้นจังเลย ถ้าเป็นฉัน ฉันคงระงับความโกรธนี้ไว้ไม่ไหวแน่!”
เฉินเทียนเซิงสวนกลับทันควัน “อย่าบอกว่าฉันใจดี คนดีมักอายุสั้น คนชั่วต่างหากที่อยู่ได้นานเป็นพัน ๆ ปี!”
ลัวเฟิงแอบแลบลิ้น จากนั้นหยางเซวี่ยที่ร่วมอยู่ในคณะเดินทางก็พูดอย่างระมัดระวัง
“พวกเขาแค่ไม่เข้าใจเจตนาของคุณเท่านั้นเอง”
หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง เฉินเทียนเซิงก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ทุกคนจำไว้ให้ดี ซอมบี้ระดับต่ำจะโจมตีมนุษย์โดยอาศัยประสาทการได้ยิน การได้กลิ่น และการสัมผัส อีกหน่อยถ้าพวกเธอเกิดเผลอไปฆ่าใครขึ้นมา แล้วเห็นเลือดทะลักออกมาจากศพ ให้รีบหนีไปให้ไกล จะได้ป้องกันปัญหาที่ไม่จำเป็น!”
“ซอมบี้ระดับต่ำ หมายความว่ายังมีซอมบี้ระดับสูงอีกเหรอ?” หยางเซวี่ยสังเกตว่าเฉินเทียนเซิงอธิบายรายละเอียดบางอย่างที่เธอไม่ค่อยเข้าใจออกมา จึงถามด้วยความอยากรู้
“แน่นอน หลังจากความหายนะในวันสิ้นโลกเกิดขึ้น พันธุกรรมเดิมจะถูกบ่อนทำลาย หลายคนเริ่มวิวัฒนาการร่างกายเพื่อปรับตัวให้อยู่รอด บางคนมีพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกับพวกเธอสองคน บางคนแข็งแกร่งขึ้นจนความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล”
“ซอมบี้เองก็มีวิวัฒนาการเหมือนกัน ซอมบี้ระดับต่ำแบ่งออกเป็น 3 ระดับ พอถึงระดับที่ 4 สัญชาตญาณเดิมของพวกมันจะค่อย ๆ เสื่อมลง จากนั้นซอมบี้ระดับ 4 ก็จะเริ่มมีภูมิปัญญา ซอมบี้ระดับ 5 เริ่มสร้างอาณาเขตและสามารถควบคุมซอมบี้ตัวอื่นได้ ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ ซอมบี้ก็ยิ่งทวีความน่ากลัว”
ทั้งสามตกตะลึง หยางเซวี่ยรีบถามต่อทันที
“ซอมบี้ระดับสูงสุดอยู่ระดับที่เท่าไหร่?”
“เท่าที่ฉันรู้คือระดับ 10 เรียกว่าจักรพรรดิซอมบี้ สามารถบงการซอมบี้หลายร้อยล้านตัว ส่วนราชาซอมบี้ระดับ 9 ต้องเชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิอีกทีหนึ่ง”
ทั้งสามอ้าปากค้างด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เฉินเทียนเซิงพูดต่อ “มนุษย์เราก็มีระดับวิวัฒนาการ 10 ระดับเหมือนกัน ลัวหลงกับลัวเฟิงต่างก็เป็นมนุษย์ยุคใหม่ระดับ 1 ในอนาคตพวกเธอต้องพยายามอย่างหนัก ฆ่าซอมบี้ให้มากขึ้น ฝ่าฟันไปจนถึงระดับ 10 ให้ได้โดยเร็วที่สุด จะได้กลายเป็นยอดมนุษย์”
สองพี่น้องพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ขณะที่หยางเซวี่ยได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ เมื่อไหร่นะเธอถึงจะผ่านการทดสอบ เธอเองก็อยากมีพลังอันยิ่งใหญ่แบบนั้นเหมือนกัน
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงในการเดินทางจากเขตพัฒนาไปยังจุดรวมพล เฉินเทียนเซิงไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงเรียกดูระบบเพื่อตรวจสอบคะแนน
เขาฆ่าซอมบี้ไปแค่สองสามตัวในช่วงสองวันที่ผ่านมา เป็นจำนวนไม่มากพอที่จะแลกแพ็กของขวัญสิบครั้งติด
เขาเลยตั้งใจว่าจะเก็บคะแนนสะสมทั้งหมดเอาไว้ก่อน รอให้ฆ่าสัตว์กลายพันธุ์แล้วดูดซับผลึกจากมันให้ได้ก่อนค่อยสุ่มแลกทีเดียว ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้าการวิวัฒนาการต้องอาศัยยาปรับเปลี่ยนลำดับยีน งั้นยาเสริมระดับยีนจะให้ผลลัพธ์เหมือนกันหรือเปล่า
เขาไม่รู้ว่าตัวเองสามารถแบ่งยาเสริมระดับยีนให้คนอื่นได้ไหม
ในเมื่อไม่รู้แน่ชัด สงสัยคงต้องแลกแพ็กของขวัญติดต่อกันสิบครั้งจริง ๆ เพื่อดูว่าระบบทำงานยังไง
เริ่มดำเนินการทันที แลกแพ็กของขวัญสิบครั้งติดต่อกัน
หีบสมบัติห้าสีเปล่งแสงสีขาว เขียว น้ำเงิน ม่วง และทองกะพริบสลับกัน จากนั้นแสงสีทองก็สว่างเรืองขึ้น
ขาว ขาว ขาว ขาว เขียว น้ำเงิน ขาว ขาว ทอง ขาว
“วอท เดอะ ฟัค!”
ระบบ แกแม่นยำเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
ไม่ต้องคาดเดาด้วยซ้ำว่าหีบสมบัติสีทองสุ่มมาจากอะไร แน่นอนเป็นอย่างยิ่ง มันถูกสุ่มมาเพื่อรองรับทักษะความสามารถของหยางเซวี่ย
วินาทีถัดมา ก่อนที่เฉินเทียนเซิงจะทันได้ตอบสนอง เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“หน้าสถานะเกียรติยศเปิดแล้ว”
“เกียรติยศของคุณถูกปลดล็อก ยิ่งค่าบูชาสูงความภักดีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น หากคุณได้รับความภักดีสูงถึง 80% บุคคลดังกล่าวจะไม่มีวันทรยศคุณ”
“เมื่อความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อคุณอยู่ที่ 50% หลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาฆ่าซอมบี้ คุณจะได้รับคะแนน 10% ยิ่งระดับค่าบูชาสูงเท่าไหร่ เปอร์เซ็นต์คะแนนที่จะได้รับก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น”
หน้าสถานะปรากฏขึ้นพร้อมกับฟังก์ชันคำอธิบายการใช้งาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้หยางเซวี่ยมีสถานะไม่ต่างจากทาสหญิง
เฮ้ ระบบประมวลผลตรงเป้าเกินไปหรือเปล่า แกเฝ้าจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลาเลยหรือไง?