บทที่ 24 เขาไม่ใช่หมา แต่เป็นลูกชายของฉัน
บทที่ 24
เขาไม่ใช่หมา แต่เป็นลูกชายของฉัน
พอเว่ยเฉียงเห็นว่าแผนการสำเร็จก็พึงพอใจมาก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นต่อจากนั้น
“ไหนดูซิว่าใครกล้ายิงอาจารย์ของฉัน!”
จู่ ๆ ลัวหลงก็ตะโกนเสียงดัง ก่อนจะยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เหนือหลังคารถบรรทุก ในมือมีเปลวไฟลุกโชนขึ้น เปลวไฟนั้นค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเผาทั้งร่างของเขาราวกับคนถูกไฟคลอก
“อะไรวะนั่น!”
ไม่ว่าชาวบ้านทั่วไปหรือเหล่าทหาร แม้กระทั่งผู้สูงวัย ต่างก็ยืนนิ่งเหมือนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความหวาดกลัวหลังจากเห็นแบบนั้น
นายทหารคนนั้นตกใจมากจนมือสั่น หันปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ลัวหลง
แต่ขณะเดียวกันนั้นเอง มนุษย์กลายพันธุ์อีกคนก็ปรากฏตัว
จู่ ๆ พายุทอร์นาโดลูกเล็ก ๆ ก็พัดกระโชกเข้ามาสู่บริเวณโดยรอบ ฝุ่นทรายและเศษหินปลิวว่อน จนพวกเขาไม่สามารถลืมตาได้ นับประสาอะไรกับการเล็งปืนให้แม่นยำ
ประตูฝั่งที่นั่งผู้โดยสารเปิดออก ลัวเฟิงแค่นเสียงคำรามออกมาอย่างดุเดือด พลางแสดงสีหน้าดุร้าย
“ไปให้พ้น!”
เพียงชั่วพริบตาเดียว สายลมกระโชกพัดพวกเขาจนเสียหลัก ก่อนพากันล้มหงายหลัง
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าเหลือเชื่อเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
บนรถบรรทุก เด็กหนุ่มคนหนึ่งโกรธจนตัวลุกเป็นไฟ และเด็กสาวอีกคนก็เหมือนจะควบคุมลมพายุได้ ทั้งสองไม่ต่างจากยอดมนุษย์ที่มีอยู่จริง กำลังจ้องเขม็งไปที่ทุกคนอย่างดุร้าย
“อาจารย์ของฉันไม่ใช่ฆาตกร ถ้าคุณกล้ายิงเขา หลังจากนี้โดนฆ่าขึ้นมาก็อย่าหาว่าไม่เตือน!”
ลัวเฟิงเคารพเฉินเทียนเซิงมากกว่าสิ่งใด ถ้าคนพวกนี้กล้าทำให้อาจารย์ของเธอเดือดร้อน ต่อให้เป็นพ่อแท้ ๆ เธอก็ไม่ยอมไว้หน้า
“หยุด!”
ทหารอีกนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนแรกที่พยายามจะเจรจา
“พวกคุณหยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!”
ทันทีที่เขาเห็นหน้าเฉินเทียนเซิงซึ่งนั่งอยู่ในรถ เขาก็รู้สึกเกลียดอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ไม่ว่าเรื่องราวจะถูกหรือผิด แต่เขาก็ตัดสินในใจไปแล้วว่าเฉินเทียนเซิงต้องไม่ใช่คนดี
เนื่องจากตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน งานย่อมสำคัญกว่า ไม่ควรที่จะมาเสียเวลากับอาชญากรเหล่านี้
“เราได้รับคำสั่งให้อพยพประชาชน ถ้าคุณปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ ทางเราจะไม่รับประกันความปลอดภัยของคุณอีกต่อไป!”
กระจกรถถูกลดระดับลง น้ำเสียงอันเย็นชาของเฉินเทียนเซิงตอบกลับมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิด ที่เรายังไม่ออกไป ก็เพราะเรายังมีจิตสำนึก เลยต้องการดูแลความปลอดภัยให้พวกคุณต่างหากล่ะ”
“อย่าพูดไร้สาระ คนอย่างคุณเนี่ยนะ โม้หน้าไม่อาย จริง ๆ” นายทหารแค่นเสียงเย้ยหยัน
เฉินเทียนเซิงตอบกลับอย่างเย็นชา
“มียอดมนุษย์ถึงสองคนเกิดขึ้นในวันสิ้นโลกแบบนี้ ยังคิดไม่ได้อีกเหรอว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากกว่าคุณ แถมคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังพวกนี้คืออะไร เอาเป็นว่าคุณไม่มีคุณสมบัติมากพอจะคุยกับผม ถ้าอยากเจรจานักก็ถีบตัวเองขึ้นมาให้สูงพอ ๆ กันสิ พวกคุณมันไม่คู่ควรพอด้วยซ้ำ!”
“ไอ้ฆาตกร อย่าทำตัวหยิ่งผยองให้มันเกินไปนัก!” เว่ยเฉียงสาปแช่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ถึงแม้ว่าวังอาหยาง หัวหน้าทีมกู้ภัยและค้นหาผู้รอดชีวิตจะดูถูกเฉินเทียนเซิงอย่างออกหน้าออกตา แต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหากับมนุษย์ยุคใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถควบคุมลมพายุและเปลวไฟ ดังนั้นจึงทำได้เพียงระงับความโกรธลงไป
“ผมจะกลับไปรายงานตามความเป็นจริง”
หลังจากพูดจบ เขาก็เลิกทะเลาะกับเฉินเทียนเซิง หันไปออกคำสั่ง
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย ไปกันเถอะ รีบพาทุกคนขึ้นรถ แล้วเตรียมถอยกลับเลย เราต้องรีบอพยพเดี๋ยวนี้!”
พอไม่บรรลุเป้าหมาย เว่ยเฉียงกับคนอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ได้แต่สาปแช่งอย่างลับ ๆ
“คอยดูเถอะว่าพวกแกจะรอดไปได้สักกี่น้ำ หึ เดี๋ยวได้รู้กัน”
ทุกคนแยกย้ายกันไป สวี่หว่านชิงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เธอเดินตรงเข้าไปหารถบรรทุกตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะส่งสมุดวาดภาพให้คนในรถ
“ฉันวาดการ์ตูนรูปเหมือนของคุณเอาไว้ ได้โปรดรับไว้ด้วยค่ะ”
เดิมทีสวี่หว่านชิงเป็นนักวาดภาพประกอบ ช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา หลังจากได้พบชายสวมหน้ากากในวันนั้น เมื่อเธอนึกถึงเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะวาดตัวการ์ตูนจำพวกซูเปอร์ฮีโร่ โดยยึดเขาเป็นต้นแบบ และได้ตั้งชื่อให้ตัวการ์ตูนนี้ว่า ‘ผู้กล้าของฉัน’
ขณะนั้นเอง ลัวหลงก็กระโดดลงมาจากหลังคารถ เนื้อตัวแดงเถือกด้วยความร้อน ยังมีควันพวยพุ่งออกมา เขาเปิดประตูรถอย่างรวดเร็วแล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งผู้โดยสาร
สวี่หว่านชิงเลื่อนสายตาไปมองเขา ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดลามมาถึงลำคอ เอาแต่กะพริบตา ปริบ ๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก
เฉินเทียนเซิงเอื้อมไปรับสมุดวาดภาพมาจากเธอ เป็นครั้งแรกที่เขามีรอยยิ้ม
“ดูดีมากเลย”
“ขอบคุณค่ะ”
สวี่หว่านชิงขอบคุณทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ จากนั้นก็หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไป แต่ทันทีที่หมุนตัวก็ชนเข้ากับใครบางคน จึงรีบขอโทษขอโพยแล้ววิ่งต่อไป
หยางเซวี่ยรู้สึกเจ็บไหล่เล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็ถามอย่างหยอกล้อ “ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนคุณเหรอ?”
“ไร้สาระน่า”
“ถ้าไม่ใช่แฟน แล้วทำไมถึงได้หน้าแดงแบบนั้นล่ะ เธอปิ๊งคุณเหรอ?”
เฉินเทียนเซิงรีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปหาลัวหลงที่นั่งเบียดเสียดอยู่ข้างหลังแล้วบอกว่า
“ฉันเตือนกี่ครั้งแล้วว่าให้ควบคุมพลังตัวเองหน่อย นายกลายเป็นชีเปลือยอีกแล้ว!”
ใบหน้าลัวหลงซีดขาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แต่ เฉินเทียนเซิงจ้องมองออกไปนอกตัวรถแล้วร้องอุทานขึ้นมา
“แย่แล้ว บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น”
เสียงโต้เถียงดังมาจากนอกตัวรถ
ตอนแรกกำหนดการที่ใช้ในการอพยพคนไม่ควรเกิน 30 นาที แต่ผู้อาศัยในเขตพัฒนาส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้มีร่างกายอ่อนแอ และเด็กเล็ก
มีคนหนุ่มสาวและคนชราบางส่วน ต่างมีสิ่งของมีค่าส่วนตัวมากมาย พวกเขาไม่เพียงแต่ขอให้ทหารช่วยดูแลเงินทองเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องสิ่งที่ไร้เหตุผลมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่สำคัญหรอกว่าก่อนหน้านี้เป็นยังไง แต่ตอนนี้มันใช่เวลามาเรียกร้องที่ไหนกัน มีทั้งหายนะ มีทั้งซอมบี้ออกอาละวาด
ทหารที่ถืออาวุธปืนครบมือ กลับต้องมาช่วยคนชราขนกระเป๋าเสื้อผ้า รวมถึงทรัพย์สินมีค่าของเขาขึ้นรถ
สิ่งที่ทำให้เฉินเทียนเซิงรู้สึกประหลาดใจ คือตอนนี้มีหญิงชราวัยประมาณ 50 กำลังอุ้มหมาปั๊กตัวหนึ่ง กำลังยืนโต้เถียงอยู่กับทหาร
“คุณป้า เราคงให้หมาตัวนี้ขึ้นรถไปกับเราไม่ได้จริง ๆ มันเป็นกฎ!”
“เขาไม่ใช่หมา แต่เป็นลูกชายของฉัน เป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ แม้แต่ลูกชายฉัน พวกคุณยังไม่ยอมให้พาไปด้วย พวกคุณเป็นทหารของประชาชนประสาอะไรกัน?”
หญิงชราพูดเริ่มขึ้นเสียง ยืนกรานหนักแน่นว่าจะเอาหมาปั๊กตัวนี้ขึ้นรถให้ได้ พร้อมกับแสดงท่าทีจะเป็นจะตายถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
“กฎคือกฎครับ ห้ามพาไปก็คือห้ามพาไป”
“กฎบ้ากฎบออะไรกัน หมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์เลยนะ ทำไมไม่ยอมให้ฉันเอามันไปด้วย นี่คุณไม่มีจิตเมตตาเลยหรือไง?”
ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ พยายามช่วยเกลี้ยกล่อม
มีเพียงเฉินเทียนเซิงเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าหมาปั๊กกำลังเลียคราบเลือดบนพื้นอยู่
พื้นถนนเต็มไปด้วยคราบเลือดของซอมบี้รวมถึงชิ้นเนื้อแหลกเหลว แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยสารพรีออน
เขาไม่รู้ว่าหมาปั๊กกินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้มันกำลังเคี้ยวเศษเนื้อบนพื้นอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว เขาก็มองหมาปั๊กตัวนั้นเปลี่ยนไป เพราะนี่เป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะกลายพันธุ์
พอเห็นภาพแบบนั้น เฉินเทียนเซิงก็รีบหยิบขวานแล้วกระโดดลงจากรถ โชคร้ายที่ยังช้าเกินไป ความหายนะได้เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากกินชิ้นเนื้อพวกนั้นจนหมด หมาปั๊กยังหิวโหยอยากกินเนื้อเพิ่ม แต่เพราะถูกเชือกจูงรั้งไว้ หมาปั๊กจึงหันกลับมาแล้วกัดเนื้อหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของแทน
“โอ๊ย ลูกจ๋า กัดแม่ทำไม อย่าโกรธเลยนะ แม่จะไม่ทิ้งลูกไว้ตามลำพังแน่”
หญิงชราหมอบลงเพื่ออุ้มหมาปั๊กขึ้นมาปลอบ แต่ตอนนี้หมาปั๊กได้กลายพันธุ์อย่างสมบูรณ์แล้ว มันเหวี่ยงเธอกระเด็นออกไป ก่อนอ้าปากที่เต็มไปด้วยคราบเลือดกัดหญิงชราซ้ำ
“ลากหมาตัวนี้ออกไป!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนแบบนั้นขึ้นมา ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ยังไม่ทันดึงหมาปั๊กออกมาจากร่างของเธอ
“หลีกไป!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ ๆ พลังมหาศาลจะพุ่งพรวดเข้ามาจากด้านข้าง เฉินเทียนเซิงสับขวานลงไป ฆ่าทั้งคนทั้งหมาในคราวเดียว
“กรี๊ด เขาฆ่าคน!”
เมื่อเห็นฉากนองเลือดในระยะประชิดแบบนี้ คนอื่น ๆ ที่อยู่ในรถก็กรีดร้องเสียงดัง
ทหารที่เห็นก็ตกตะลึงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้กองวังอาหยาง เขายกปืนขึ้นแล้วพูดด้วยความโกรธว่า
“ทำบ้าอะไรน่ะ วางอาวุธสังหารลงเดี๋ยวนี้!”
เฉินเทียนเซิงชี้ไปทางสองแม่ลูกต่างสายพันธุ์ตรงหน้า แล้วพูดเสียงกร้าว
“หมาตัวนี้กลายพันธุ์แล้ว ถ้าคนโดนกัด คนก็จะ กลายพันธุ์ตามไปด้วย ผมฆ่าเขาก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ จนกระทั่งเว่ยเฉียงตะโกนขึ้นว่า
“พูดมาได้ว่าเพื่อความปลอดภัยของเรา อย่าไว้ใจเขานะ เขาเป็นฆาตกร!”
ประโยคโต้กลับแค่ประโยคเดียว ทำให้เหตุการณ์โดยรอบวุ่นวายเกินจะควบคุม