ตอนที่แล้วบทที่ 19 : การแต่งงาน (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 : คืนแรก (1)

บทที่ 20 : การแต่งงาน (4)


บทที่ 20 : การแต่งงาน (4)

ฉันกับเนอร์นั่งคู่กันที่หัวโต๊ะของงานเลี้ยง มองดูฝูงมนุษย์หมาป่าที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวากำลังสนุกสนานกันมาก

เสียงหัวเราะและคำอวยพรหลั่งไหลมาหาเราอย่างต่อเนื่อง

เราทั้งคู่ตอบรับคำเหล่านั้นโดยไม่ได้มีท่าทีที่กระตือรือร้นมากนัก

มันเป็นการแต่งงานที่รู้สึกแปลกๆ

มันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแต่งงานจริงๆ

เนอร์ที่นั่งข้างฉันคือคู่ชีวิตที่จะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต

ตอนนี้เธอเป็นคนที่ควรค่าแก่การทะนุถนอมมากกว่าใครๆ

…แต่มันรู้สึกอึดอัดมากในตอนนี้ ฉันได้แต่หวังว่าเราจะใกล้ชิดกันมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันในเรื่องของอนาคต

เนอร์นั่งซุกหางและวางมือบนต้นขา

หญิงสาวมนุษย์หมาป่าที่สวยงามคนนี้ดูสงวนท่าทีมากขึ้นเมื่ออยู่บนเก้าอี้ของเธอ

“…”

เมื่อมองดูเธอ ฉันก็มีความคิดที่หลากหลายในหัว

หลังพิธีแต่งงาน ฉันกับเนอร์ไม่ได้คุยกันเรื่องสำคัญใดๆ เลย

ความเงียบยังคงอยู่ระหว่างเราทั้งสองคน

การที่ฉันขาดทักษะการสนทนาย่อมมีส่วนทำให้เกิดสถานการณ์นี้ เนอร์เองก็ดูหวาดกลัวมาก

ฉันจึงไม่กล้าที่จะพยายามเข้าใกล้เธอทันที

เรามีเวลาอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า

แต่แน่นอนว่าอย่างน้อยเราคงต้องปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยอะไรสักอย่างหน่อย ไม่งั้นคงอึดอัดแย่

ในไม่ช้า การเฉลิมฉลองก็จะสิ้นสุดลง

เนื่องจากเราไม่สามารถจัดงานเลี้ยงใหญ่โตได้ อาหารจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว

อีกไม่นานนัก เราจะต้องต่อสู้กับฝูงสัตว์ประหลาด ดังนั้นทุกคนจึงพยายามยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ดื่มเครื่องดื่ม

กิ้บสันก็ดูเหมือนจะมีความคิดแบบเดียวกัน เขาเดินเข้ามาหาเรา

“เนอร์”

เนอร์ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของกิ้บสัน เมื่ออยู่ข้างๆ เธอ ฉันจึงสังเกตเห็นทุกอิริยาบถและการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ

กิ้บสันพูดกับเราสองคนด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“…ไปทำพิธีเชื่อมจิตตวิญญาณกันเถอะ”

เรากำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการแต่งงานก่อนเริ่มคืนแรก

****

คนกลุ่มหนึ่งพาเราไปที่ป่าเล็กๆ ภายในเขตพื้นที่ของตระกูลแบล็ควูด

พี่น้องของกิ้บสันและเนอร์ ทหารมนุษย์หมาป่า พี่อดัม บารอน และทหารทีมของฉันต่างล้อมรอบเราในฐานะผู้คุ้มกัน

ฉันเดินนำหน้าเนอร์ไปหนึ่งก้าว และเธอก็เดินตามฉันมาอย่างช้าๆ

เมื่อฉันหันหลังไปมองเล็กน้อย ฉันก็มองเห็นหางของเธอ

ฉันไม่รู้ความหมายหรอกว่าหางเคลื่อนไหวแบบไหนหมายถึงยังไง แต่ฉันได้ยินมาว่าเมื่อมันเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามนุษย์หมาป่าคนนั้นกำลังเศร้าโศกอยู่

“…”

หมายความว่าตอนนี้เธอกำลังเศร้า

“เชิญทางนี้”

กิดอนพาเราไปยังทางเข้าป่า

ถึงเวลาแก้ไขข้อขัดแย้งเรื่องเมื่อวานและการแต่งงานในวันนี้แล้ว

ในเมื่อฉันยอมรับคำเตือนของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดื้อรันอะไรอีกต่อไป

ทางเข้าป่าซึ่งนำทางโดยกิดอนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืด

บารอนยื่นดาบให้ฉันโดยสัญชาตญาณ

ฉันห้อยดาบไว้ที่เอวให้เรียบร้อย

“ในป่าไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทว่าเมื่อทั้งสองคนสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการสนทนา คุกเข่าหน้าต้นไม้ที่ตัดสินใจร่วมกัน และจงให้คำมั่นสัญญาอีกครั้งยามมองดูดวงจันทร์”

กิ้บสันอธิบายให้เราทั้งคู่ฟังอย่างช้าๆ ถึงพิธีของมนุษย์หมาป่าอีกครั้ง

แม้ว่าฉันจะฟังคำอธิบายของเขา ทว่าความสนใจของฉันก็ยังคงอยู่ที่เนอร์ที่อยู่เคียงข้างฉัน

นั่นเพราะเธอเป็นภรรยาของฉันตอนนี้เหรอ? ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลเรื่องอารมณ์ของเธอ

“…ถ้ามีข้อสงสัย เนอร์จะอธิบายให้คุณฟังเอง”

คำอธิบายของกิ้บสันได้จบลงแล้ว

ฉันพยักหน้าแล้วหันไปหาเนอร์

“…”

จากนั้นฉันก็ยื่นมือไปหาเธอแล้วพูดขึ้น

"…ไปกันเถอะ"

เนอร์สลับสายตาของเธอระหว่างมือกับใบหน้าของฉัน ก่อนที่จะยื่นมือของตนออกมาช้าๆ

เธอจับปลายนิ้วของฉันอย่างแผ่วเบา

ซึ่งนั่นมันก็เพียงพอแล้ว

ฉันก้าวไปในป่าและเธอก็เดินตามฉันมาเงียบๆ

และเราก็เคลื่อนตัวเข้าไปอย่างเชื่องช้า

แสงเริ่มจางหายไป เราเร่งฝีเท้าและเข้าไปอย่างรวดเร็ว

พระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่แสงจากคบเพลิง

ในไม่ช้าบริเวณโดยรอบก็มืดลงจนมองไม่เห็นสิ่งใด

ตุ๊บ

“…เอ่อ”

มีบางอย่างสะดุดเท้าของฉัน และฉันจึงสูญเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ

ฉันปล่อยมือของเนอร์ทันที

"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"

เมื่อฉันหันกลับไปหาเธอ แสงสีเหลืองก็ส่องประกายในความมืด

นั่นส่งผลให้ดวงตาของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

ฉันลืมไปชั่วขณะว่ามนุษย์หมาป่าไม่ได้รับผลกระทบจากความมืด

แม้แต่ในสลัม มันก็ค่อนข้างยากที่จะต่อสู้กับมนุษย์หมาป่าเพราะความสามารถในการมองเห็นยามค่ำคืน...

"…ผมไม่เป็นไร"

เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดคุยกับเธออย่างไม่เป็นทางการ

เนอร์พยักหน้าอย่างเงียบๆ

ฉันมองไปยังรอบๆ ที่มืดสนิท ก่อนจะนั่งลงชั่วขณะหนึ่ง

เนอร์ไม่ได้เข้าใกล้จุดที่เธอปล่อยมือฉันเลย

'ฉันควรจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดีนะ?'

ฉันรู้ว่าเธอไม่ค่อยอยากแต่งงานมากนัก

"…มานี่สิ"

ฉันคุยกับเธอเพื่อเริ่มการสนทนา

แต่เนอร์ก็ส่ายหัว

“…”

'เป็นเพราะความมืดเหรอ? หรือเพราะเราอยู่ลึกเข้าไปในป่า?'

'เป็นเพราะไม่มีใครอยู่แถวนี้เหรอ?'

เธอคงกลัวฉันมากกว่าสิ่งใดที่จะต้องพบในป่าอีกสินะ

โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย

เพราะฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดเดียว

…แต่ฉันรู้ว่าทำไมเผ่าพันธุ์อื่นๆ จึงหวาดกลัวมนุษย์กัน

ซึ่งมันก็คงเพราะเธอยังไม่รู้จักฉันดีนัก เธอจึงเป็นแบบนี้

หรือบางทีเธออาจมีอคติกับฉัน เพราะฉันเป็นทหารรับจ้างกระมัง

มันน่าขันเสียจริงที่ขุนนางเช่นเธอกลับต้องมาเกี่ยวโยงกับคนธรรมดาสามัญที่เกิดในสลัมอย่างฉัน คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะยอมรับมันในทันที

“…”

ฉันถอนหายใจอย่างเงียบๆ

แม้ว่าพิธีเชื่อมจิตวิญญาณนี้จะทำให้เราใกล้ชิดมากกว่าที่คนอื่นเห็น แต่ตอนนี้มันกลับกำลังดำเนินไปอย่างเฉยเมยเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรา

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็พูดขึ้นมา

“…คุณหญิงแบล็ควูด”

เนอร์มองดูฉันอยู่นาน แล้วค่อยๆ พยักหน้า ซึ่งฉันรู้ว่าเธอพยักหน้าได้จากการที่ดวงตาสีเหลืองของเธอขยับขึ้นลง

“…ผมหวังว่าคุณจะหาต้นไม้ให้เราคุกเข่าด้วยกันได้นะ จริงๆ แล้วในความมืดมิดนี้ ผมมองเห็นได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมเป็นมนุษย์”

เนอร์กระพริบตาครู่หนึ่งแล้วเริ่มเดินไปที่ไหนสักแห่ง

ฉันพยายามก้าวเดินอย่างช้าๆ ผ่านความมืดและติดตามเธอไป

ไม่นานเธอก็หยุดเดิน

เธอไม่ได้เดินไปไกลเพื่อหาต้นไม้แห่งโชคชะตาอะไรเลย

ดูเหมือนเธอจะหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ทั่วไปรอบๆ นี้

“…เราทำที่นี่ได้ไหมคะ?”

"…อืม"

ฉันเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ที่เนอร์นำทางฉันไปและวางมือบนต้นไม้นั้น

มันคือต้นเซลโควา มันไม่ใหญ่โตนักและดูไม่แข็งแรงด้วย

“…ต้นเซลโควาเป็นสัญลักษณ์ของอะไรเหรอ?”

ฉันถามเนอร์

หลังจากเงียบไปนาน เนอร์ก็กระซิบเบาๆ

“…โชคชะตาแห่งรัก”

“…”

ฉันพยักหน้าและมองดูต้นไม้อีกครั้ง

'โชคชะตา'

'เธอคิดว่าการแต่งงานของเราเป็นหนึ่งในโชคชะตาที่เราต้องยอมรับเหรอ?'

ฉันเคาะต้นไม้เบาๆ

แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมของมนุษย์หมาป่ามากนัก แต่ฉันก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะได้ผลจริงเหรอ?

ถึงกระนั้น มันก็เป็นพิธีที่เรียกว่าพิธีเชื่อมจิตวิญญาณ ดังนั้นฉันจึงเริ่มรู้สึกสงสัยว่ามันจะดีงั้นเหรอที่จะต้องมาทำใต้ต้นไม้แบบนี้

'ทำไมเธอถึงต้องการต้นเซลโควา? จะดีกว่าไหมถ้าเลือกต้นที่แข็งแรงกว่าและมั่นคงกว่านี้เล็กน้อย'

“…”

แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนี้นานนัก

เพราะท้ายที่สุดพิธีกรรมก็ไม่สำคัญเลย มันไม่ใช่ว่าพระเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่สักหน่อย

ความเข้าใจและการคำนึงถึงกันและกันในชีวิตแต่งงานในอนาคตจะย่อมมีความสำคัญมากยิ่งกว่าพิธีอะไรนี้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันจึงไม่ได้คิดดูถูกต้นไม้ที่เนอร์เลือกไว้

อารมณ์ของเธอในตอนนี้ซับซ้อนมาก หากเธอเลือกมัน ฉันก็ต้องยอมรับ

"…เริ่มกันเลยเถอะ"

ฉันคุกเข่าและนั่งอยู่หน้าต้นไม้ที่เนอร์เลือกไว้

เนอร์ก็คุกเข่าไปทางขวาของฉันหนึ่งก้าว

ว่ากันว่าเราต้องสาบานต่อดวงจันทร์โดยมีต้นไม้เป็นพยาน และโชคดีที่เราสามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้ มันส่องแสงเจิดจ้าจนมองเห็นพื้นที่โดยรอบ

ขั้นตอนต่อไป… คือการมัดหางของเรา

แต่ว่าตัวฉันไม่มีหางสำหรับทำอะไรแบบนั้น

“หางคือ…”

“…”

เมื่อฉันถามเนอร์อยู่ครู่หนึ่ง ก็มีบางอย่างแตะที่น่องของฉัน

เมื่อฉันหันกลับไป หางของเนอร์ซึ่งส่องแสงสีเงินภายใต้แสงจันทร์ก็วางอยู่บนน่องของฉัน

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ต้องทำมีแค่ให้ร่างกายเชื่อมต่อหรือสัมผัสกันงั้นสินะ

"…แล้วจะทำอะไรต่อไปงั้นเหรอ?"

“…เราจะให้คำสัตย์สาบานและมองดูดวงจันทร์ เอ่ยคำมั่นในอนาคตของเรา ภายในใจของเรา”

คำสาบาน พอเธอพูดฉันก็เข้าใจทันที

ฉันพยักหน้า

เนื่องจากมันเป็นพิธีของเผ่าพันธุ์เธอ ฉันจึงกระทำตามเธอทุกอย่าง

ขณะที่เธอทำ ฉันก็จับมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันและหลับตาลง

จากนั้นฉันก็ย้ำคำปฏิญาณเรื่องอนาคตในใจและสาบาน

****

เนอร์รู้สึกโล่งใจที่คำโกหกของเธอช่วยให้เธอรอดพ้นไปได้

ในระหว่างพิธี มีสิ่งหนึ่งอันแสนสำคัญที่พวกเขาต้องทำกัน

พวกเขาต้องสารภาพรักและสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน

ทว่าเบิร์กที่เป็นมนุษย์รับจ้างไม่รู้ถึงธรรมเนียมของมนุษย์หมาป่า ดังนั้นจึงสามารถข้ามขั้นตอนเหล่านั้นทั้งหมดได้

เนื่องจากเธอได้เลี่ยงพิธีการทั้งหมดนี้ไป จึงไม่สามารถพูดได้ว่าวิญญาณของพวกเขาถูกพันธนาการเข้าด้วยกัน

เนอร์พลันรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของตนที่ซับซ้อน

เธอยังคงกลัวเบิร์ก แต่เขาไม่เคยกระทำการใดๆ ที่จะทำให้เกิดความกลัวแก่เธอเลย

เธอยังไม่เคยเห็นความโหดร้าย ความเข้มงวดหรือการดูหมิ่นผู้หญิงจากเขาเลย

เขาพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพ

แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขายังไม่อาจเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงของเขาออกมาได้

หากเขากลายเป็นสามีของเธอ และเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของเขาทันทีเหมือนพลิกฝ่ามือและเริ่มปฏิบัติต่อเธอตามที่เขาพอใจ ระบายอารมณ์กับเธอ…นั่นคงจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเปลวเพลิงสีชาตและตระกูลแบล็ควูด

ว่ากันว่าแม้จะอยู่ในความสัมพันธ์ระยะยาว ก็ยังมีบ้างที่เราอาจจะได้รู้จักอีกด้านของกัน

ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ดีแค่ไหน

ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมละทิ้งความระมัดระวังของเธอตั้ไปงแต่แรก

…ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้าอีก

เมื่อพิธีการสิ้นสุดลง คืนแรกมาก็มาถึง

ถึงเวลาที่เธอจะต้องมอบความบริสุทธิ์ให้กับเขา

เบิร์กรู้ข้อเท็จจริงนั้นแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงสงบขนาดนี้

“….”

เมื่อเนอร์คิดถึงคืนแรก น้ำตาก็ได้ไหลอาบแก้มแล้ว

เธอไม่รู้ว่าเธอจะกรีดร้องออกมากี่ครั้งหรือร้องไห้ออกมาได้มากแค่ไหน

เธอกลัวที่จะเห็นอีกด้านของเบิร์กที่เขาซ่อนอยู่

เธอไม่ต้องการที่จะมอบร่างกายให้กับคนแปลกหน้าเช่นเขา เพราะเขาไม่ใช่คู่ครองที่แท้จริงของเธอ

ยังมีความหวังริบหรี่อยู่ภายในใจเธอ

ตอนที่จูบในการแต่งงานนั้น เธอก็จำความลังเลของเบิร์กได้

เขาเป็นคนที่แกล้งทำเป็นจูบและสัมผัสแค่จมูกของเธอเท่านั้น

เธอไม่รู้ว่าการแสดงความรักเช่นนั้นมีอยู่ในวัฒนธรรมของมนุษย์หรือไม่ แต่สำหรับเนอร์ มันดูง่ายกว่าการจูบมาก

แต่ถ้าบังเอิญเขาเพียงแกล้งแสร้งทำให้เธอหลงเชื่อล่ะ?

ซึ่งหากในวัฒนธรรมมนุษย์มันไม่มีเช่นนั้น ก็หมายความว่าเขาอาจเพียงทำไปเพราะคำนึงถึงเธอ

…มันอาจทำให้เธอผ่านคืนแรกไปได้

เนอร์ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น

เนอร์ลืมตาขึ้นครู่หนึ่งแล้วมองไปด้านข้าง

เบิร์กยังมีสีหน้าแน่วแน่ หลับตาและจับมือเธอไว้

เนอร์ไม่เชื่อพฤติกรรมที่จริงจังเช่นนั้นของเขาเลย

เธอเคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อนแล้ว

ไม่มีทางเลยที่เธอจะอยู่กับคนๆ นี้ไปได้ตลอดชีวิต

เนอร์หันกลับไปมองท้องฟ้า

เธอเห็นเพื่อนของเธอ พระจันทร์อันสว่างสดใส

เธอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งว่าเธอจะสาบานหรืออธิษฐานอะไรได้บ้างในอนาคต

เธอไม่ต้องการใช้เวลานานนัก

เนอร์ปรารถนาสิ่งหนึ่งที่เธอปรารถนามากที่สุดในยามนี้

'ฉันหวังว่าฉันจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง'

หลังจากพิธีกรรมสิ้นสุดลง เบิร์กก็ลุกขึ้น

เนอร์ก็ลุกขึ้นตามเขาไปด้วย

จิตใจของเธอจดจ่ออยู่กับขั้นตอนต่อไป

คืนแรก

ความรู้สึกกดดันอย่างหนักทำให้เธอหนักใจ

แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

"…กลับกันเถอะค่ะ"

นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ เนอร์พูดแล้วหันไปมองรอบๆ

"รอเดี๋ยว"

และในขณะนั้นเอง เบิร์กก็ดึงดาบของเขาออกมา

เนอร์สะดุ้งไปชั่วขณะและทรุดตัวลงอยู่กับที่

"…คุณจะทำอะไรงั้นเหรอ?"

เบิร์กมองเธอด้วยสีหน้าสับสน

เนอร์จ้องมองสลับระหว่างดาบกับเบิร์กชั่วครู่

มันน่ากลัวมากที่ได้เห็นทหารรับจ้างมนุษย์ตัวใหญ่และน่ากลัวกำลังถือดาบ

"…อา"

เบิร์กดูเหมือนจะเข้าใจปฏิกิริยาของเธอและค่อยๆ ปิดปากของเขา

เขาไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ที่เขาเพิ่งนั่งลงไป

สวบ! สวบ!

จากนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบทิ้งรอยสัญลักษณ์ไว้บนต้นไม้

หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบไว้ในฝักทันที

“…ด้วยวิธีนี้ ผมจะรู้ได้ว่าผมคุกเข่าอยู่หน้าต้นไม้ต้นไหน”

มันเป็นเหตุผลที่เนอร์ไม่ได้คำนึงถึงด้วยซ้ำ

เธอมองไปยังต้นไม้ที่เบิร์กทิ้งร่องรอยไว้

มันมีรอยเด่นชัดมาก

เบิร์กต้องการรำลึกถึงมัน แม้ว่าเธออยากจะมองข้ามมันก็ตามงั้นเหรอ?

เนอร์มองไปยังเบิร์กอีกครั้ง

"…ไปกันเถอะ ลุกขึ้นกัน"

เขาพูด

เนอร์พยักหน้าด้วยความยากลำบาก

คงถึงเวลาแล้วสินะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด