บทที่ 20 : การแต่งงาน (4)
บทที่ 20 : การแต่งงาน (4)
ฉันกับเนอร์นั่งคู่กันที่หัวโต๊ะของงานเลี้ยง มองดูฝูงมนุษย์หมาป่าที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวากำลังสนุกสนานกันมาก
เสียงหัวเราะและคำอวยพรหลั่งไหลมาหาเราอย่างต่อเนื่อง
เราทั้งคู่ตอบรับคำเหล่านั้นโดยไม่ได้มีท่าทีที่กระตือรือร้นมากนัก
มันเป็นการแต่งงานที่รู้สึกแปลกๆ
มันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแต่งงานจริงๆ
เนอร์ที่นั่งข้างฉันคือคู่ชีวิตที่จะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต
ตอนนี้เธอเป็นคนที่ควรค่าแก่การทะนุถนอมมากกว่าใครๆ
…แต่มันรู้สึกอึดอัดมากในตอนนี้ ฉันได้แต่หวังว่าเราจะใกล้ชิดกันมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันในเรื่องของอนาคต
เนอร์นั่งซุกหางและวางมือบนต้นขา
หญิงสาวมนุษย์หมาป่าที่สวยงามคนนี้ดูสงวนท่าทีมากขึ้นเมื่ออยู่บนเก้าอี้ของเธอ
“…”
เมื่อมองดูเธอ ฉันก็มีความคิดที่หลากหลายในหัว
หลังพิธีแต่งงาน ฉันกับเนอร์ไม่ได้คุยกันเรื่องสำคัญใดๆ เลย
ความเงียบยังคงอยู่ระหว่างเราทั้งสองคน
การที่ฉันขาดทักษะการสนทนาย่อมมีส่วนทำให้เกิดสถานการณ์นี้ เนอร์เองก็ดูหวาดกลัวมาก
ฉันจึงไม่กล้าที่จะพยายามเข้าใกล้เธอทันที
เรามีเวลาอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า
แต่แน่นอนว่าอย่างน้อยเราคงต้องปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยอะไรสักอย่างหน่อย ไม่งั้นคงอึดอัดแย่
ในไม่ช้า การเฉลิมฉลองก็จะสิ้นสุดลง
เนื่องจากเราไม่สามารถจัดงานเลี้ยงใหญ่โตได้ อาหารจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว
อีกไม่นานนัก เราจะต้องต่อสู้กับฝูงสัตว์ประหลาด ดังนั้นทุกคนจึงพยายามยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ดื่มเครื่องดื่ม
กิ้บสันก็ดูเหมือนจะมีความคิดแบบเดียวกัน เขาเดินเข้ามาหาเรา
“เนอร์”
เนอร์ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของกิ้บสัน เมื่ออยู่ข้างๆ เธอ ฉันจึงสังเกตเห็นทุกอิริยาบถและการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ
กิ้บสันพูดกับเราสองคนด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“…ไปทำพิธีเชื่อมจิตตวิญญาณกันเถอะ”
เรากำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการแต่งงานก่อนเริ่มคืนแรก
****
คนกลุ่มหนึ่งพาเราไปที่ป่าเล็กๆ ภายในเขตพื้นที่ของตระกูลแบล็ควูด
พี่น้องของกิ้บสันและเนอร์ ทหารมนุษย์หมาป่า พี่อดัม บารอน และทหารทีมของฉันต่างล้อมรอบเราในฐานะผู้คุ้มกัน
ฉันเดินนำหน้าเนอร์ไปหนึ่งก้าว และเธอก็เดินตามฉันมาอย่างช้าๆ
เมื่อฉันหันหลังไปมองเล็กน้อย ฉันก็มองเห็นหางของเธอ
ฉันไม่รู้ความหมายหรอกว่าหางเคลื่อนไหวแบบไหนหมายถึงยังไง แต่ฉันได้ยินมาว่าเมื่อมันเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามนุษย์หมาป่าคนนั้นกำลังเศร้าโศกอยู่
“…”
หมายความว่าตอนนี้เธอกำลังเศร้า
“เชิญทางนี้”
กิดอนพาเราไปยังทางเข้าป่า
ถึงเวลาแก้ไขข้อขัดแย้งเรื่องเมื่อวานและการแต่งงานในวันนี้แล้ว
ในเมื่อฉันยอมรับคำเตือนของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดื้อรันอะไรอีกต่อไป
ทางเข้าป่าซึ่งนำทางโดยกิดอนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
บารอนยื่นดาบให้ฉันโดยสัญชาตญาณ
ฉันห้อยดาบไว้ที่เอวให้เรียบร้อย
“ในป่าไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทว่าเมื่อทั้งสองคนสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการสนทนา คุกเข่าหน้าต้นไม้ที่ตัดสินใจร่วมกัน และจงให้คำมั่นสัญญาอีกครั้งยามมองดูดวงจันทร์”
กิ้บสันอธิบายให้เราทั้งคู่ฟังอย่างช้าๆ ถึงพิธีของมนุษย์หมาป่าอีกครั้ง
แม้ว่าฉันจะฟังคำอธิบายของเขา ทว่าความสนใจของฉันก็ยังคงอยู่ที่เนอร์ที่อยู่เคียงข้างฉัน
นั่นเพราะเธอเป็นภรรยาของฉันตอนนี้เหรอ? ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลเรื่องอารมณ์ของเธอ
“…ถ้ามีข้อสงสัย เนอร์จะอธิบายให้คุณฟังเอง”
คำอธิบายของกิ้บสันได้จบลงแล้ว
ฉันพยักหน้าแล้วหันไปหาเนอร์
“…”
จากนั้นฉันก็ยื่นมือไปหาเธอแล้วพูดขึ้น
"…ไปกันเถอะ"
เนอร์สลับสายตาของเธอระหว่างมือกับใบหน้าของฉัน ก่อนที่จะยื่นมือของตนออกมาช้าๆ
เธอจับปลายนิ้วของฉันอย่างแผ่วเบา
ซึ่งนั่นมันก็เพียงพอแล้ว
ฉันก้าวไปในป่าและเธอก็เดินตามฉันมาเงียบๆ
และเราก็เคลื่อนตัวเข้าไปอย่างเชื่องช้า
แสงเริ่มจางหายไป เราเร่งฝีเท้าและเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่แสงจากคบเพลิง
ในไม่ช้าบริเวณโดยรอบก็มืดลงจนมองไม่เห็นสิ่งใด
ตุ๊บ
“…เอ่อ”
มีบางอย่างสะดุดเท้าของฉัน และฉันจึงสูญเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ
ฉันปล่อยมือของเนอร์ทันที
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"
เมื่อฉันหันกลับไปหาเธอ แสงสีเหลืองก็ส่องประกายในความมืด
นั่นส่งผลให้ดวงตาของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
ฉันลืมไปชั่วขณะว่ามนุษย์หมาป่าไม่ได้รับผลกระทบจากความมืด
แม้แต่ในสลัม มันก็ค่อนข้างยากที่จะต่อสู้กับมนุษย์หมาป่าเพราะความสามารถในการมองเห็นยามค่ำคืน...
"…ผมไม่เป็นไร"
เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดคุยกับเธออย่างไม่เป็นทางการ
เนอร์พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ฉันมองไปยังรอบๆ ที่มืดสนิท ก่อนจะนั่งลงชั่วขณะหนึ่ง
เนอร์ไม่ได้เข้าใกล้จุดที่เธอปล่อยมือฉันเลย
'ฉันควรจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดีนะ?'
ฉันรู้ว่าเธอไม่ค่อยอยากแต่งงานมากนัก
"…มานี่สิ"
ฉันคุยกับเธอเพื่อเริ่มการสนทนา
แต่เนอร์ก็ส่ายหัว
“…”
'เป็นเพราะความมืดเหรอ? หรือเพราะเราอยู่ลึกเข้าไปในป่า?'
'เป็นเพราะไม่มีใครอยู่แถวนี้เหรอ?'
เธอคงกลัวฉันมากกว่าสิ่งใดที่จะต้องพบในป่าอีกสินะ
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย
เพราะฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดเดียว
…แต่ฉันรู้ว่าทำไมเผ่าพันธุ์อื่นๆ จึงหวาดกลัวมนุษย์กัน
ซึ่งมันก็คงเพราะเธอยังไม่รู้จักฉันดีนัก เธอจึงเป็นแบบนี้
หรือบางทีเธออาจมีอคติกับฉัน เพราะฉันเป็นทหารรับจ้างกระมัง
มันน่าขันเสียจริงที่ขุนนางเช่นเธอกลับต้องมาเกี่ยวโยงกับคนธรรมดาสามัญที่เกิดในสลัมอย่างฉัน คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะยอมรับมันในทันที
“…”
ฉันถอนหายใจอย่างเงียบๆ
แม้ว่าพิธีเชื่อมจิตวิญญาณนี้จะทำให้เราใกล้ชิดมากกว่าที่คนอื่นเห็น แต่ตอนนี้มันกลับกำลังดำเนินไปอย่างเฉยเมยเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรา
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็พูดขึ้นมา
“…คุณหญิงแบล็ควูด”
เนอร์มองดูฉันอยู่นาน แล้วค่อยๆ พยักหน้า ซึ่งฉันรู้ว่าเธอพยักหน้าได้จากการที่ดวงตาสีเหลืองของเธอขยับขึ้นลง
“…ผมหวังว่าคุณจะหาต้นไม้ให้เราคุกเข่าด้วยกันได้นะ จริงๆ แล้วในความมืดมิดนี้ ผมมองเห็นได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมเป็นมนุษย์”
เนอร์กระพริบตาครู่หนึ่งแล้วเริ่มเดินไปที่ไหนสักแห่ง
ฉันพยายามก้าวเดินอย่างช้าๆ ผ่านความมืดและติดตามเธอไป
ไม่นานเธอก็หยุดเดิน
เธอไม่ได้เดินไปไกลเพื่อหาต้นไม้แห่งโชคชะตาอะไรเลย
ดูเหมือนเธอจะหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ทั่วไปรอบๆ นี้
“…เราทำที่นี่ได้ไหมคะ?”
"…อืม"
ฉันเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ที่เนอร์นำทางฉันไปและวางมือบนต้นไม้นั้น
มันคือต้นเซลโควา มันไม่ใหญ่โตนักและดูไม่แข็งแรงด้วย
“…ต้นเซลโควาเป็นสัญลักษณ์ของอะไรเหรอ?”
ฉันถามเนอร์
หลังจากเงียบไปนาน เนอร์ก็กระซิบเบาๆ
“…โชคชะตาแห่งรัก”
“…”
ฉันพยักหน้าและมองดูต้นไม้อีกครั้ง
'โชคชะตา'
'เธอคิดว่าการแต่งงานของเราเป็นหนึ่งในโชคชะตาที่เราต้องยอมรับเหรอ?'
ฉันเคาะต้นไม้เบาๆ
แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมของมนุษย์หมาป่ามากนัก แต่ฉันก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะได้ผลจริงเหรอ?
ถึงกระนั้น มันก็เป็นพิธีที่เรียกว่าพิธีเชื่อมจิตวิญญาณ ดังนั้นฉันจึงเริ่มรู้สึกสงสัยว่ามันจะดีงั้นเหรอที่จะต้องมาทำใต้ต้นไม้แบบนี้
'ทำไมเธอถึงต้องการต้นเซลโควา? จะดีกว่าไหมถ้าเลือกต้นที่แข็งแรงกว่าและมั่นคงกว่านี้เล็กน้อย'
“…”
แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนี้นานนัก
เพราะท้ายที่สุดพิธีกรรมก็ไม่สำคัญเลย มันไม่ใช่ว่าพระเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่สักหน่อย
ความเข้าใจและการคำนึงถึงกันและกันในชีวิตแต่งงานในอนาคตจะย่อมมีความสำคัญมากยิ่งกว่าพิธีอะไรนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันจึงไม่ได้คิดดูถูกต้นไม้ที่เนอร์เลือกไว้
อารมณ์ของเธอในตอนนี้ซับซ้อนมาก หากเธอเลือกมัน ฉันก็ต้องยอมรับ
"…เริ่มกันเลยเถอะ"
ฉันคุกเข่าและนั่งอยู่หน้าต้นไม้ที่เนอร์เลือกไว้
เนอร์ก็คุกเข่าไปทางขวาของฉันหนึ่งก้าว
ว่ากันว่าเราต้องสาบานต่อดวงจันทร์โดยมีต้นไม้เป็นพยาน และโชคดีที่เราสามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้ มันส่องแสงเจิดจ้าจนมองเห็นพื้นที่โดยรอบ
ขั้นตอนต่อไป… คือการมัดหางของเรา
แต่ว่าตัวฉันไม่มีหางสำหรับทำอะไรแบบนั้น
“หางคือ…”
“…”
เมื่อฉันถามเนอร์อยู่ครู่หนึ่ง ก็มีบางอย่างแตะที่น่องของฉัน
เมื่อฉันหันกลับไป หางของเนอร์ซึ่งส่องแสงสีเงินภายใต้แสงจันทร์ก็วางอยู่บนน่องของฉัน
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ต้องทำมีแค่ให้ร่างกายเชื่อมต่อหรือสัมผัสกันงั้นสินะ
"…แล้วจะทำอะไรต่อไปงั้นเหรอ?"
“…เราจะให้คำสัตย์สาบานและมองดูดวงจันทร์ เอ่ยคำมั่นในอนาคตของเรา ภายในใจของเรา”
คำสาบาน พอเธอพูดฉันก็เข้าใจทันที
ฉันพยักหน้า
เนื่องจากมันเป็นพิธีของเผ่าพันธุ์เธอ ฉันจึงกระทำตามเธอทุกอย่าง
ขณะที่เธอทำ ฉันก็จับมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันและหลับตาลง
จากนั้นฉันก็ย้ำคำปฏิญาณเรื่องอนาคตในใจและสาบาน
****
เนอร์รู้สึกโล่งใจที่คำโกหกของเธอช่วยให้เธอรอดพ้นไปได้
ในระหว่างพิธี มีสิ่งหนึ่งอันแสนสำคัญที่พวกเขาต้องทำกัน
พวกเขาต้องสารภาพรักและสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน
ทว่าเบิร์กที่เป็นมนุษย์รับจ้างไม่รู้ถึงธรรมเนียมของมนุษย์หมาป่า ดังนั้นจึงสามารถข้ามขั้นตอนเหล่านั้นทั้งหมดได้
เนื่องจากเธอได้เลี่ยงพิธีการทั้งหมดนี้ไป จึงไม่สามารถพูดได้ว่าวิญญาณของพวกเขาถูกพันธนาการเข้าด้วยกัน
เนอร์พลันรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของตนที่ซับซ้อน
เธอยังคงกลัวเบิร์ก แต่เขาไม่เคยกระทำการใดๆ ที่จะทำให้เกิดความกลัวแก่เธอเลย
เธอยังไม่เคยเห็นความโหดร้าย ความเข้มงวดหรือการดูหมิ่นผู้หญิงจากเขาเลย
เขาพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขายังไม่อาจเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงของเขาออกมาได้
หากเขากลายเป็นสามีของเธอ และเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของเขาทันทีเหมือนพลิกฝ่ามือและเริ่มปฏิบัติต่อเธอตามที่เขาพอใจ ระบายอารมณ์กับเธอ…นั่นคงจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเปลวเพลิงสีชาตและตระกูลแบล็ควูด
ว่ากันว่าแม้จะอยู่ในความสัมพันธ์ระยะยาว ก็ยังมีบ้างที่เราอาจจะได้รู้จักอีกด้านของกัน
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ดีแค่ไหน
ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมละทิ้งความระมัดระวังของเธอตั้ไปงแต่แรก
…ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้าอีก
เมื่อพิธีการสิ้นสุดลง คืนแรกมาก็มาถึง
ถึงเวลาที่เธอจะต้องมอบความบริสุทธิ์ให้กับเขา
เบิร์กรู้ข้อเท็จจริงนั้นแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงสงบขนาดนี้
“….”
เมื่อเนอร์คิดถึงคืนแรก น้ำตาก็ได้ไหลอาบแก้มแล้ว
เธอไม่รู้ว่าเธอจะกรีดร้องออกมากี่ครั้งหรือร้องไห้ออกมาได้มากแค่ไหน
เธอกลัวที่จะเห็นอีกด้านของเบิร์กที่เขาซ่อนอยู่
เธอไม่ต้องการที่จะมอบร่างกายให้กับคนแปลกหน้าเช่นเขา เพราะเขาไม่ใช่คู่ครองที่แท้จริงของเธอ
ยังมีความหวังริบหรี่อยู่ภายในใจเธอ
ตอนที่จูบในการแต่งงานนั้น เธอก็จำความลังเลของเบิร์กได้
เขาเป็นคนที่แกล้งทำเป็นจูบและสัมผัสแค่จมูกของเธอเท่านั้น
เธอไม่รู้ว่าการแสดงความรักเช่นนั้นมีอยู่ในวัฒนธรรมของมนุษย์หรือไม่ แต่สำหรับเนอร์ มันดูง่ายกว่าการจูบมาก
แต่ถ้าบังเอิญเขาเพียงแกล้งแสร้งทำให้เธอหลงเชื่อล่ะ?
ซึ่งหากในวัฒนธรรมมนุษย์มันไม่มีเช่นนั้น ก็หมายความว่าเขาอาจเพียงทำไปเพราะคำนึงถึงเธอ
…มันอาจทำให้เธอผ่านคืนแรกไปได้
เนอร์ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น
เนอร์ลืมตาขึ้นครู่หนึ่งแล้วมองไปด้านข้าง
เบิร์กยังมีสีหน้าแน่วแน่ หลับตาและจับมือเธอไว้
เนอร์ไม่เชื่อพฤติกรรมที่จริงจังเช่นนั้นของเขาเลย
เธอเคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อนแล้ว
ไม่มีทางเลยที่เธอจะอยู่กับคนๆ นี้ไปได้ตลอดชีวิต
เนอร์หันกลับไปมองท้องฟ้า
เธอเห็นเพื่อนของเธอ พระจันทร์อันสว่างสดใส
เธอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งว่าเธอจะสาบานหรืออธิษฐานอะไรได้บ้างในอนาคต
เธอไม่ต้องการใช้เวลานานนัก
เนอร์ปรารถนาสิ่งหนึ่งที่เธอปรารถนามากที่สุดในยามนี้
'ฉันหวังว่าฉันจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง'
หลังจากพิธีกรรมสิ้นสุดลง เบิร์กก็ลุกขึ้น
เนอร์ก็ลุกขึ้นตามเขาไปด้วย
จิตใจของเธอจดจ่ออยู่กับขั้นตอนต่อไป
คืนแรก
ความรู้สึกกดดันอย่างหนักทำให้เธอหนักใจ
แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
"…กลับกันเถอะค่ะ"
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ เนอร์พูดแล้วหันไปมองรอบๆ
"รอเดี๋ยว"
และในขณะนั้นเอง เบิร์กก็ดึงดาบของเขาออกมา
เนอร์สะดุ้งไปชั่วขณะและทรุดตัวลงอยู่กับที่
"…คุณจะทำอะไรงั้นเหรอ?"
เบิร์กมองเธอด้วยสีหน้าสับสน
เนอร์จ้องมองสลับระหว่างดาบกับเบิร์กชั่วครู่
มันน่ากลัวมากที่ได้เห็นทหารรับจ้างมนุษย์ตัวใหญ่และน่ากลัวกำลังถือดาบ
"…อา"
เบิร์กดูเหมือนจะเข้าใจปฏิกิริยาของเธอและค่อยๆ ปิดปากของเขา
เขาไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ที่เขาเพิ่งนั่งลงไป
สวบ! สวบ!
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบทิ้งรอยสัญลักษณ์ไว้บนต้นไม้
หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบไว้ในฝักทันที
“…ด้วยวิธีนี้ ผมจะรู้ได้ว่าผมคุกเข่าอยู่หน้าต้นไม้ต้นไหน”
มันเป็นเหตุผลที่เนอร์ไม่ได้คำนึงถึงด้วยซ้ำ
เธอมองไปยังต้นไม้ที่เบิร์กทิ้งร่องรอยไว้
มันมีรอยเด่นชัดมาก
เบิร์กต้องการรำลึกถึงมัน แม้ว่าเธออยากจะมองข้ามมันก็ตามงั้นเหรอ?
เนอร์มองไปยังเบิร์กอีกครั้ง
"…ไปกันเถอะ ลุกขึ้นกัน"
เขาพูด
เนอร์พยักหน้าด้วยความยากลำบาก
คงถึงเวลาแล้วสินะ