บทที่ 13 ไม่รู้จักพอ
บทที่ 13
ไม่รู้จักพอ
ปรากฏว่ามีคนแอบอยู่หลังภูเขาเทียมก้อนอื่น ดูไม่มีอันตราย บุคคลนั้นเป็นหญิงสาวสวมแมสก์ ดวงตาของเธอดูอ่อนเยาว์ ยืนตัวสั่นอยู่ข้างภูเขาเทียม และสะพายกระเป๋าเป้อยู่บนหลัง
เฉินเทียนเซิงลดการป้องกันลง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“มาเอาเสบียงเหรอ?”
“อืม”
เสียงของเธอมีความอ่อนหวาน แต่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเธอเป็นยังไง ถ้าถอดแมสก์ออก
“ฉันเรียบร้อยแล้ว เข้ามาเอาสิ”
เฉินเทียนเซิงถอยหลังอย่างช้า ๆ หลีกทางให้เธอเข้ามาเอาเสบียง
ผู้หญิงคนนั้นโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า พูดด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่ ไม่ ไม่ ขอแค่น้ำให้ฉันก็พอค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรมาก”
เฉินเทียนเซิงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงกลัวเขาขนาดนั้น
เขาลืมความจริงไปซะสนิทว่าตัวเองสวมหน้ากากกันแก๊สพิษแถมยังถือพลั่ว ประกอบกับความโหดเหี้ยมที่เขาฆ่าซอมบี้และอันธพาลก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอขาดแคลนน้ำ เธอคงไม่กล้าลงมาที่นี่
“รีบมาเอา อย่าพูดมาก”
เฉินเทียนเซิงเดินไปรอบ ๆ เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เธอ
ผู้หญิงคนนั้นก้าวไปข้างหน้าขณะที่ตัวสั่น เมื่อเห็นเสบียงในกล่อง เธอจึงหันไปมองเฉินเทียนเซิง ก่อนหยิบเงินทั้งหมดที่เธอมี แล้วยื่นให้เขาอย่างเขินอายและกล่าวขอบคุณ
“ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินแค่นี้ ถ้ามันไม่พอ รอธนาคารเปิดแล้วฉันจะเอามาให้เพิ่ม แล้วเงินแค่นี้ฉันซื้อน้ำจากคุณได้กี่ขวด?”
เฉินเทียนเซิงขมวดคิ้ว สำหรับวันสิ้นโลก เงินไม่มีค่าอีกแล้ว
“เก็บเศษเงินไว้เป็นที่ระลึกเถอะ อยากได้เสบียงก็เอาไป แล้วอย่ามายุ่งกับฉัน”
เฉินเทียนเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะขี้เกียจอธิบาย ยังไงก็ตามเสบียงกล่องนี้ไม่ใช่ของเขาคนเดียว
แต่ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิดไป เธอคิดว่าชายในหน้ากากกันแก๊สตรงหน้าเป็นฆาตกรบ้าอำนาจ ที่คิดจะเอาเสบียงทั้งกล่องกลับไปคนเดียว โดยไม่แบ่งปันให้ใคร ซึ่งคนส่วนใหญ่ในชุมชนคิดอย่างนั้นจริง ๆ
ตอนนี้เธอแอบรู้สึกว่าเขาไม่ได้ชั่วร้าย ไม่เหมือนกับคนอื่น
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่เมตตาฉัน!”
ผู้หญิงคนนั้นโค้งคำนับหลายครั้ง ก่อนขนขวดน้ำแร่ไปจำนวนหนึ่ง แล้วกล่าวขอบคุณอีกสามครั้งและจากไป
ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ในชุมชนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ เมื่อเห็นว่านอกจากชายสวมหน้ากากแล้ว ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาเอาเสบียงด้วย ไม่นานพวกเขาก็ทยอยกันออกมา
น่าเสียดายที่มีซอมบี้บางตัวเดินเพ่นพ่านตามโถงทางเดินชั้นอื่น ๆ เมื่อพวกเขาวิ่งไปเจอซอมบี้ ก็ถูกพวกมันจับกินอย่างสยดสยอง บางคนเห็นดังนั้นก็วิ่งหนีกลับไปซ่อนในห้องตามเดิม
“หว่านชิง หว่านชิง ขาของฉันเดินไม่ไหว หนูช่วยเอาของมาเผื่อได้ไหม?”
หญิงชราคนหนึ่งยืนตะโกนจากระเบียงลงมา ดูเหมือนว่า หว่านชิงน่าจะเป็นชื่อของผู้หญิงที่มาเอาน้ำ
ผู้หญิงคนนี้ชื่อหว่านชิง แต่เขาไม่รู้แซ่ของเธอ
เธอหันไปมองกล่องเสบียงด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่เห็นชายสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษแล้ว เธอจึงตะโกนตอบกลับไป
“ได้ค่ะย่าหลิว แต่หนูขอเอาน้ำกลับไปเก็บก่อน”
เสียงของพวกเธอดังเกินไปแล้ว ส่งเสียงดังในพื้นที่เปิดโล่งแบบนี้ คงได้ซวยกันหมดแน่ ซอมบี้ตัวไหนบ้างไม่วิ่งมาตามเสียง? นี่เห็นวันสิ้นโลกเป็นเรื่องตลกกันรึไง?
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เขาอยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ ไม่อยากเสียเวลากับพวกที่ชอบส่งเสียงดัง
หลังจากเดินหนีไปไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงซอมบี้ดังใกล้เข้ามา เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เขาหยุดเดินแล้วยกโล่ขึ้นมา
หว่านชิงวิ่งตามเขามาด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“เดี๋ยวค่ะคุณหน้ากาก ฉันขอเอาน้ำไปให้ย่าหลิวหน่อยได้ไหมคะ?”
แม่ง!
พระเจ้าลงโทษ หรือเวรกรรมอะไรเนี่ย
เฉินเทียนเซิงพาเธอวิ่งหนีขึ้นไปที่ภูเขาเทียม ด้วยความเร็วของเขา เขาใช้เวลาวิ่งในระยะทางแค่ 50 เมตรน้อยกว่าสองวินาที
จากนั้นเขาใช้พลั่วโจมตี ทำให้หัวของซอมบี้กลิ้งตกไปที่ปลายเท้าของหว่านชิง
เธอตกใจจนหน้าซีด ได้แต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เธอไม่เคยเห็นซอมบี้แบบใกล้ ๆ ขนาดนี้มาก่อน
เฉินเทียนเซิงสะบัดพลั่วในมือเพื่อสาดเลือดบนพลั่วออก แล้วหันไปพูดว่า
“อยากทำไรก็ทำ ไม่ต้องมาขอฉัน!”
เสียงของเขาปลุกให้หว่านชิงกลับมาได้สติ เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนหันหลังกลับวิ่งไปที่กล่องเสบียง หยิบเสบียงเพิ่มอีกบางส่วนและวิ่งจากไป
ผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่ตรงระเบียงชั้นแรก หันไปพูดกับเธอไม่กี่คำ โดยขอให้หว่านชิงช่วยขนเสบียงมาให้
คนขี้ขลาดพวกนี้แทบไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับ เฉินเทียนเซิง ไม่มีใครในหมู่พวกเขากล้าร้องขอให้ช่วย ได้แต่เฝ้าดูเขาสับหัวพวกซอมบี้ต่อไป เกิดขอความช่วยเหลือแล้วอีกฝ่ายหันมาสับหัวตัวเองจะทำยังไงล่ะ
เฉินเทียนเซิงหยิบผลึกกลายพันธุ์ออกมา แล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“พวกขี้ขลาด ฉันล่ะเบื่อจริง ๆ ที่ต้องมาทำงานอ้อม ๆ ให้คนแบบนี้!”
แปลกชะมัดที่พวกแกยังไม่ถูกซอมบี้กิน
หว่านชิงวิ่งแบกของวิ่งไปมา เหงื่อไหลโซมออกมามากขึ้นเพราะความอ่อนล้า แต่เธอรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแน่นอน เพราะชายสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ ถึงจะดูโหดเหี้ยมแต่ก็จิตใจดี อย่างน้อยเขาก็ช่วยจัดการซอมบี้ให้เธอ ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
หว่านชิงวิ่งแบกของไปมาประมาณ 10 รอบ ไม่นานผู้รอดชีวิตอีกกลุ่มก็ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อน
“อย่าเพิ่งไปสิ นี่มันของที่รัฐแจกจ่ายให้ทุกคนนะ ถ้าไม่ยอมแบ่งให้ งั้นพวกเราจะย้ายเข้าไปอยู่กับเธอซะเลย เอาแบบนั้นไหมล่ะ?”
“จริงด้วย ฉันเห็นเธอวิ่งไปมาหลายรอบแล้ว เธอดูไม่เหนื่อยเลย ถ้าเป็นพวกเราคงเหนื่อยตายแน่”
“เฮ้ เพื่อนบ้าน ช่วยแบ่งเสบียงให้ฉันหน่อยสิ”
หว่านชิงทั้งเหนื่อยและเจ็บเท้ามาก จึงปฏิเสธด้วยความลำบากใจว่า
“ขอโทษเพื่อนบ้านทุกคนด้วยนะ แต่เสบียงในกล่องนั้นยังมีเหลืออยู่อีกเยอะ ฉันเลยไม่ได้ขนมาทั้งหมด”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ถ้าคุณแบ่งเสบียงให้เรา เรายินดียกโทษให้”
ผู้รอดชีวิตคนอื่นพยายามโน้มน้าวให้เธอยอมแบ่งเสบียง
หว่านชิงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เฉินเทียนเซิงที่เพิ่งรวบรวมผลึกเสร็จก็เดินตรงมาแล้วพูดว่า
“พอแล้ว หุบปากให้หมด!”
เสียงของเฉินเทียนเซิงดังออกมาจากหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ น้ำเสียงของเขาเหมือนกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ มีความหนักแน่น น่าเกรงขาม และเข้มแข็ง
ทุกคนพากันเงียบกริบเมื่อได้ยิน
เฉินเทียนเซิงใช้พลั่วชี้ไปที่หว่านชิง ก่อนมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า
“เธอไม่ใช่ทาสของพวกคุณ อยากได้เสบียงก็ใช้ความสามารถของตัวเองสิ อย่าเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้!”
“เหอะ แล้วคนอย่างแกมีความสามารถมากมั้ง!”
“ถ้าเก่งมากนัก ก็ฆ่าซอมบี้ตามโถงทางเดินให้หมดทั้งอาคารเลยสิ แกทำได้ไหมล่ะ?”
ผู้รอดชีวิตหลายคนเริ่มสาปแช่ง ในเมื่อสู้แรงไม่ได้ จึงเลือกตอบโต้ด้วยคำพูดที่ก้าวร้าว
คนกลุ่มนี้สันดานต่ำเกินไป จนเฉินเทียนเซิงเริ่มไม่อยากปกป้องคนแบบนี้
“พวกคุณทั้งหมด ขี้ขลาดกว่าผู้หญิงคนนี้ซะอีก!” เขาใช้พลั่วชี้ไปที่พวกเขาแล้วโต้กลับ
“นี่แกด่าพวกเราเหรอ แน่จริงพูดอีกรอบสิ!”
“ฉันโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยมีใครด่าฉันว่าขี้ขลาดมาก่อนเลยนะ!”
“มา มา มา เข้ามาสิ รับรองว่าฉันฟันหัวแกขาดก่อนแน่!”
คนขี้ขลาดกลุ่มนี้ ต่างก่นด่าและสาบแช่งเฉินเทียนเซิงสารพัด
แต่เฉินเทียนเซิงไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงกับคนขี้ขลาดทั้งหลาย ด่ากลับเพียงประโยคเดียวก็พอแล้ว
จากนั้นเขาหันไปมองหว่านชิงที่มีสภาพเหนื่อยล้าเต็มที
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนี่ งั้นฉันขอตัวก่อน แต่ถ้าคุณอยากตายก็เชิญวิ่งกลับไปได้เลย”
หลังจากเฉินเทียนเซิงพูดจบ หว่านชิงโค้งคำนับแล้วกล่าวขอบคุณเขา
“ขอบคุณนะคะคุณหน้ากาก ฉันจะตอบแทนคุณถ้ามีโอกาส”
“ไปได้แล้ว!”
เฉินเทียนเซิงตอบอย่างเย็นชา ก่อนเดินไปที่รถตำรวจ แล้วถอดชิ้นส่วนของแผงวงจรออกมา นำสายไฟมาชนกันเพื่อสตาร์ทรถ ไม่นานก็สตาร์ทติด หลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปทันที
ผู้รอดชีวิตทุกคนต่างยืนนิ่งด้วยความงุนงง เมื่อพวกเขาหันกลับมามองเสบียง ถึงรู้ตัวว่าหว่านชิงไม่ได้แบ่งเสบียงให้แต่อย่างใด จึงทำได้แค่มองตาปริบ ๆ
แน่นอนว่าผู้รอดชีวิตสองกลุ่มนี้หาเสบียงเองไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มหันไปด่าทอหว่านชิงว่าเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ส่วนผู้รอดชีวิตบางคนที่หว่านชิงวิ่งเอาเสบียงมาให้ ก็ไม่มีใครปกป้องเธอเลย
นี่แหละธรรมชาติของมนุษย์ กวาดหิมะแค่หน้าประตูบ้านของตัวเอง*
*กวาดหิมะแค่หน้าประตูบ้านของตัวเอง = เป็นสำนวนที่ใช้เพื่อกล่าวหาคนอื่นที่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือตัวเองว่าเห็นแก่ตัว
หว่านชิงไม่สนใจและเอาแต่มองไปทางหน้าต่าง ขณะที่มองเฉินเทียนเซิงขับรถจากไป ความรู้สึกแปลก ๆ ก็ผุดขึ้นมา