บทที่ 13 การสร้างภาพกอบกู้โลกคงไม่เหมาะกับข้า
บทที่ 13
การสร้างภาพกอบกู้โลกคงไม่เหมาะกับข้า
ลั่วจ้านชิงชายตามองอวี้ซินหรานเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่เผยสีหน้าแสดงอารมณ์ใด แต่เขาก็ถอนสายตากลับไปทันที
องครักษ์เงาที่ยืนอยู่ถัดจากเขารู้สึกแปลกใจ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของพี่สาวนาง ไม่ควรค่าพอที่จะต้องระวังตัวด้วยซ้ำ กล่าวกันตามตรงว่าผู้ใดพบเห็นก็รู้สึกคลื่นไส้ แต่ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่คิดเช่นนั้น
อวี้ซีหยวนให้ความมั่นใจแก่น้องสาว อวี้ซินหรานจึงยอมติดตามองครักษ์เงากลับไปแต่โดยดี
สายตาของนางหันกลับไปหาลั่วจ้านชิงอีกครั้ง เป็นเชิงบอกว่าเขาสามารถพูดได้แล้ว
ลั่วจ้านชิงโยนตะเกียบทิ้งลงในจานตรงหน้า จ้องเขม็งไปที่อวี้ซีหยวนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เริ่มตั้งคำถาม “เจ้าเป็นใคร?”
อวี้ซีหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาพินิจลั่วจ้านชิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยท่าทีนิ่งสงบ รูปลักษณ์ของเขายังคงมั่งคั่งและสง่างามดังเดิม ทว่าภายในดวงตาฉายแววจริงจังเล็กน้อย
เว้นแต่ เขารู้อะไรเกี่ยวกับนางบ้าง?!
ขณะจ้องสบตากลับ อวี้ซีหยวนเม้มริมฝีปากพร้อมเอ่ยตอบ “องค์ชายรัชทายาทควรรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นใคร?” น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใด
ลั่วจ้านชิงไม่ตอบกลับแต่อย่างใด เพียงมองตรงไปยัง อวี้ซีหยวนอย่างเงียบเชียบอยู่อย่างนั้น
อวี้ซีหยวนไม่มีเวลามากพอที่จะอยู่เล่นแง่กับเขา จึงถอนหายใจออกแผ่วเบา “หากองค์ชายรัชทายาทไม่ต้องการกล่าวคำใด ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
กล่าวจบแล้ว นางก็ลุกขึ้นเตรียมเดินจากไปทันที
ยังไม่ทันที่นางจะก้าวขาออกไป กลับได้ยินสุ้มเสียงอันเย็นชาจากบุรุษที่อยู่ด้านหลัง น้ำเสียงนั้นช่างน่ารื่นรมย์และบริสุทธิ์ราวกับตาน้ำพุที่ใสสะอาด ทว่าสิ่งที่สามารถทำอวี้ซีหยวนหยุดชะงักคือสิ่งที่เขากล่าวต่อไป
“มีเนื้อความถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณ ‘ทันทีที่โคมลอยมอดดับ ชะตากรรมแห่งแคว้นจะกลับกลายหายนะ ในที่สุดหยกโลหิตจะเปิดรับวิญญาณจากอีกโลกหนึ่ง”
อวี้ซีหยวนพยายามท่องจำมันซ้ำสองหน พลางนึกย้อนไปถึงสิ่งที่องครักษ์เงากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ถึงเจ้าแห่งหยกโลหิต นางหันหลังกลับ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสุกใสราวหงส์ไฟกะพริบปริบ “หมายความว่าองค์ชายรัชทายาทคิดว่าข้าเป็นดวงวิญญาณที่มาจากอีกโลกหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
อวี้ซีหยวนพลันกล่าวเย้ยหยัน “องค์ชายรัชทายาทมีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ไม่กลัวหรือว่าการคาดเดาของตนจะผิดพลาด?” ใบหน้าอันน่าขยาดกลัวของนางเต็มไปด้วยความขบขัน ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใส
แม้สีหน้าของนางจะแสดงออกเช่นนั้น ทว่าภายในจิตใจอวี้ซีหยวนกลับเกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย
สิ่งที่ลั่วจ้านชิงกล่าวมา เป็นเสมือนหินก้อนเล็กที่ถูกโยนลงไปในแอ่งน้ำนิ่ง สร้างระลอกคลื่นให้ผิวน้ำเพียงไม่นาน ก่อนที่จะกลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
ลั่วจ้านชิงจ้องสบนัยน์ตาคู่นั้น พร้อมกับโคลงศีรษะ “ข้าไม่กลัว คำทำนายไม่มีวันผิดพลาด”
“ท่านเชื่อถือเนื้อหาในตำราโบราณเล่มนั้นมากน้อยเพียงใด?”
“ตำราโบราณบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรัฐจื่ออวิ๋น ของข้าไว้ มีแม้กระทั่งเรื่องราวจากทั่วทั้งแว่นแคว้น เป็นทั้งบันทึกและคำทำนาย อีกทั้งบรรดาคำทำนายที่ปรากฏในตำราเล่มนั้นล้วนเป็นจริงทั้งหมด
“ไฟของโคมลอยดับลงแล้ว แสดงให้เห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากสำหรับรัฐจื่ออวิ๋น เป็นไปได้ว่ามันอาจถูกทำลายหรือถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในการปกครองของผู้อื่น อาจส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของทั้งแว่นแคว้น และผู้ที่มีอิทธิพลต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้คือเจ้าแห่งหยกโบราณ ซึ่งก็คือเจ้า”
อวี้ซีหยวนนิ่งงันไป ดังนั้น สิ่งที่นางต้องรับผิดชอบคือการช่วยชีวิตคนให้รอดพ้นจากวิบากกรรมอย่างนั้นรึ?
หยกโลหิตดังกล่าว เป็นสิ่งที่อวี้ซีหยวนได้ยินมาจากคำบอกเล่าของพวกเขาอีกทีหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วอวี้ซีหยวนไม่เคยเห็นหยกโลหิตที่ว่าเลยสักครั้ง
นอกจากปฏิกิริยาตอบสนองเพียงเล็กน้อยภายในห้วงความคิดของนาง ก็ไม่มีเบาะแสใดอีกที่อวี้ซีหยวนจะสามารถอธิบายได้ว่าหยกโลหิตที่ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร
“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้น แต่ข้ากลับคิดว่า…”
อวี้ซีหยวนเหลือบมองสายตาของลั่วจ้านชิงขณะหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไป “มันช่างไร้สาระสิ้นดี”
“องค์ชายรัชทายาท การสร้างภาพกอบกู้โลกเห็นทีคงไม่เหมาะสำหรับข้า และตัวข้าเองก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าหยกโลหิตมาก่อน ขอบคุณสำหรับความกรุณาอันใหญ่หลวงจากท่านที่ไม่ลงมือสังหารข้าเสียตั้งแต่ตอนนั้น ข้าและน้องสาวไม่ขออยู่รบกวนท่านอีก”
หลังจากกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น อวี้ซีหยวนตั้งท่าจะเดินจากไปอีกครั้ง ทว่าลั่วจ้านชิงกลับจ้องมองการกระทำของนางอย่างเย็นชา แล้วโยนบางสิ่งที่อยู่ในมือของเขาออกไปตรงหน้าทันที
รูม่านตาของนางหดตัวลงเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ประกายแสงสว่างวาบอันดุดันฉายผ่านดวงตาของนาง อวี้ซีหยวนเบี่ยงกายหลบ ก่อนหันกลับไปชี้หน้าลั่วจ้านชิงอย่างไม่พอใจ “ท่าน...”