1310 - ตัวตนของผังป๋อ
1310 - ตัวตนของผังป๋อ
ผังป๋อยังไม่จากโลกนี้ไป!
ทันทีที่เย่ฟ่านได้ยินคำพูดนี้ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า
ร่างกายของเย่ฟ่านเย็นชา เพื่อนที่จริงใจคนนั้นจะโกหกเขาได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้?
“เพิ่มมาคนหนึ่ง…” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเอง
เขายังคงจำฉากนั้นได้ชัดเจน เมื่อนับจำนวนคน คนที่อยู่ในโลงศพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ตอนนั้นมันทำให้ทุกคนตกใจ แต่เขาเป็นคนแรกที่บอกว่านั่นคือผังป๋อ
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดครั้งเดียวซึ่งเย่ฟ่านรู้สึกสงสัยในตัวผังป๋อ เหตุการณ์ที่พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากนั้นผังป๋อไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความจริงใจต่อเย่ฟ่าน
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นใคร แล้วมีประโยชน์อะไรในการทำเช่นนี้”
นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก เพื่อนที่ดีที่สุดของเขากลับกลายเป็นคนอื่น
“ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อฉัน” เย่ฟ่านคลายความโศกเศร้าและต้องการค้นหาความจริงให้ได้
เขาหลุดพ้นจากเงามืดจากการตายของพ่อกับแม่ เมื่อมองไปสุดขอบฟ้าดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง!
เย่ฟ่านเดินไปทางใต้เพื่อค้นหาความจริง เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าผังป๋อยังมีชีวิตอยู่ ที่อยู่ของผังป๋อเปลี่ยนไปนานแล้ว
ซูฉงไม่จำเป็นต้องช่วยเย่ฟ่านค้นหา ภายใต้การติดต่อกับครอบครัวเพื่อนเก่ามากมายเขารู้การเปลี่ยนแปลงมากมายตลอดในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาก พ
วกเขาย้ายออกจากเมืองเดิมแทบจะทั้งหมดแล้ว เมื่อมาถึงที่หมายเย่ฟ่านยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้พลังวิญญาณสำรวจสถานการณ์โดยรอบ
สีหน้าของเย่ฟ่านแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจทันทีเมื่อเห็นพ่อแม่ของผังป๋อ
พ่อของผังป๋อมีร่างกายที่กำยำ แม้ว่าเขาจะอายุเกือบแปดสิบปีแต่กลับไม่มีผมหงอกสักเส้นเขาดูไม่แตกต่างจากชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
อย่างไรก็ตามแม่ของผังป๋อกลับแก่ชราอย่างยิ่ง สภาพของเธอไม่แตกต่างอะไรจากหญิงชราที่พบได้ทั่วไป
ผังป๋ออยู่ที่ไหน? ทำไมเขาไม่ได้อยู่ในห้อง?
“ชายหนุ่มนั่นคือน้องชายของผังป๋อและน้องสะใภ้ของเขา อีกคนน่าจะเป็นหลานชาย”
“ทำไมไม่มีห้องของเขาในบ้านหลังนี้” เย่ฟ่านสงสัย
เขาไม่เห็นร่องรอยการมีชีวิตของผังป๋อ ทันใดนั้นเย่ฟ่านก็ตกใจเมื่อเห็นกรอบรูป นั่นคือรูปที่ขาวดำซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของรูปตายไปแล้ว
ราวกับถูกฟ้าผ่า เป็นไปได้อย่างไร ผังป๋อไม่ได้ออกจากโลกใบนี้เพราะเขาตายไปแล้วนั่นเอง
เย่ฟ่านรับความจริงไม่ได้ พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต แม้แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ยังตายไปแล้ว
ยิ่งใกล้วันครบรอบการเสียชีวิตของผังป๋อ พ่อแม่ของผังป๋อยิ่งเกิดความเศร้าโศก
“เด็กคนนี้” พ่อของผังป๋อกล่าวเบาๆ แล้วนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ อยู่ตรงนั้น
เย่ฟ่านเกิดความสงสัย สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะค้นวิญญาณพ่อแม่ผังป๋อโดยตรง
เขายืนอยู่บนดาฟ้ามึนงงอยู่พักหนึ่งและไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้
การตายของผังป๋อนั้นแปลกมาก เขาถูกฟ้าผ่าตาย ไม่แปลกใจที่แม่ของเขาคร่ำครวญว่า ถึงเขาจะออกมาจากภูเขาไท่ซานได้ สวรรค์ก็ยังไม่ปล่อยเขาไป
เย่ฟ่านตกตะลึงกับทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเกินความคาดหมายโดยแท้จริง
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา แม้ว่าผังป๋อจะยังอยู่บนโลกนี้จริงๆ เขาก็ไม่ควรตายปัญญาอ่อนแบบนี้”
เย่ฟ่านรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เขามุ่งหน้าไปยังสุสานของผังป๋อด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง
ตอนนี้เขากลัวการเข้าไปในสถานที่แบบนี้จริงๆ สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการเฝ้ามองคนที่รักจากไปทีละคน
ในดินแดนสีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นสนและต้นไซเปรส เย่ฟ่านพบหลุมศพของผังป๋อแล้วยืนอยู่เงียบเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็วางช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าหลุมศพ
“ฉันไม่เชื่อว่านายตายไปแล้ว”
เย่ฟ่านนั่งลงกับพื้น หยิบขวดเหล้าออกมา เทมันทั้งหมดลงบนพื้นและจุดบุหรี่สองสามมวน แล้ววางลงด้านหน้าหลุมศพ
ทุกอย่างดูเหมือนความฝัน เย่ฟ่านเกิดความสงสัยว่าผังป๋อที่ต่อสู้กับอันตรายทุกรูปแบบร่วมกับเขาภายในโลกอำพรางสวรรค์ถึงยี่สิบปีเป็นใครกันแน่?
เขานั่งอยู่ที่นี่เป็นเวลานานสูดดมควันบุหรี่แล้วพูดกับตัวเองว่า “บอกตามตรง ฉันยังไม่เชื่อว่านายตายไปแล้ว”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายเย่ฟ่านเหยียบยำบุหรี่บนพื้นจนดับสนิทจากนั้นก็คำรามด้วยความโกรธ “ฉันไม่เชื่อ ผังป๋อตัวจริงยังมีชีวิตอยู่เขาแค่ยังไม่กลับมา!”
ดวงตาเย่ฟ่านเฉียบคม ร่างกายเดือดพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่าเขากำลังเตรียมความพร้อมกำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่
แม้ว่าสิ่งที่เขารู้จากจิตใต้สำนึกของพ่อแม่ของผังป๋อเป็นความจริงแน่นอน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
อย่างแรกคือในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกฟ้าผ่าตาย และมันคงไม่บังเอิญมาเกิดขึ้นกับผังป๋อ
อย่างที่สองคือนิสัยของผังป๋อนั้นแตกต่างออกไป ตามที่พ่อแม่ของเขานั้นรู้ ผังป๋อคนนี้มีพฤติกรรมแปลกๆ แม้แต่พ่อแม่ของเขาเองก็ยังสงสัย
อย่างที่สาม สาเหตุที่เขาลาออกจกางานและเดินทางไปยังดินแดนรกร้างก็เพื่อสำรวจโบราณสถานตามที่ตัวเองชื่นชอบ แล้วผังป๋อไปชอบสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อใด
อย่างที่สี่ เหตุใดเขาจึงดื้อรั้นถามญาติอาวุโสในฝั่งพ่อทีละคนว่าตระกูลผังเป็นทายาทของราชาอสูรหรือไม่?
เรื่องนี้เขาไม่ได้สอบถามพ่อของตัวเองเพียงครั้งสองครั้ง แต่สุดท้ายพ่อของเขาก็ทนไม่ไหวแล้วตบผังป๋อไปด้วยความโกรธ
“โลกนี้ซับซ้อนกว่าที่ฉันคิดไว้มาก…”
เย่ฟ่านกลับมาที่บ้านของผังป๋ออีกครั้งอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาเห็นพลังโลหิตในร่างของชายชราและรู้สึกว่ามันไม่มีทางที่มนุษย์ทั่วไปจะมีพลังโลหิตที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้
“ไม่แปลกใจที่ผังป๋อจะมีร่างกายที่สูงกว่าคนทั่วไป อาจจะมีเลือดอสูรอยู่ในร่างกายจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ทายาทของจักรพรรดิชิงพาตัวเขาไปในตอนนั้น”
เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง “พลังโลหิตที่อยู่ในร่างพ่อและน้องชายของผังป๋อผิดปกติจากคนทั่วไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ยังไม่สามารถสะกิดความสนใจของเย่ฟ่านได้”
ผังป๋อสามารถฝึกฝนคัมภีร์โบราณของจักพรรดิชิงได้ เป็นไปได้ไหมว่าเลือดอสูรในร่างกายของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว?
เย่ฟ่านอยู่ในเมืองอีกสองสามวัน ก่อนจะแอบช่วยเหลือพ่อแม่ของผังป๋อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
เมื่อค้นหาหลักฐานทุกอย่างได้แล้วเย่ฟ่านก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผังป๋อที่ตายไปนั้นคือตัวปลอม
“ตอนนั้นเขาไปที่ภูเขาไท่หรือเปล่า?”
เขาต้องการหาอดีตเพื่อนร่วมงานของผังป๋อ อย่างไรก็ตามเวลาผ่านไปถึง 20 ปีเพื่อนร่วมงานเก่าทุกคนล้วนลาออกไปจนหมดแล้ว
เย่ฟ่านต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่า ผังป๋อไปไท่ซานในปีนั้น มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งช่วยจองตั๋วให้
ในตอนนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของผังป๋อ ผังป๋อที่ตายกลับบ้านในวันที่เกิดเหตุ บอกว่าไม่สามารถไปได้แล้ว
เพื่อนร่วมงานที่ช่วยผังป๋อจองเที่ยวบินมีความทรงจำที่แตกต่างไป เขาบอกว่าผังป๋อลงจากเครื่องบินเพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสเพื่อไปภูเขาไท่ซาน
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรคนที่ตายก็ไม่ใช่ผังป๋อตัวจริงซึ่งทำให้เย่ฟ่านสบายใจเป็นอย่างมาก
ไม่นานหลังจากที่เย่ฟ่านกลับมาที่เมือง เขาได้รับโทรศัพท์จากหยางเซียว จริงๆแล้วมันเกี่ยวข้องกับพระพุทธหิน ข่าวของเรื่องโบราณวัตถุแห่งพุทธศาสนาแพร่ออกไป และมีปรมาจารย์ของพุทธศาสนาแห่งอินเดียหลายคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้
“พวกเขาต้องการพบคุณ ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ”
“พวกเขาเป็นใคร” เย่ฟ่านกล่าว
“มีพระเฒ่าสองสามรูปมาที่นี่ พวกเขาบอกว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง มันมีการเชื่อมต่อกับเทพอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการพบคุณให้ได้”
หยางเซียวเป็นนักวิชาการ ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อในเรื่องนี้
เย่ฟ่านหัวใจสั่นไหว แม้ว่าพุทธศาสนาในประเทศจีนจะค่อนข้างเฟื่องฟูแต่พุทธศาสนาในอินเดียกลับเสื่อมโทรมลงไปมาก อย่างไรก็ตามอินเดียยังคงเป็นจุดศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนามาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว
สุดท้ายเย่ฟ่านจึงยินยอมให้พระเฒ่าแห่งอินเดียสองสามรูปเหล่านั้นเข้าพบ