1308 - ศิษย์คนที่สอง
1308 - ศิษย์คนที่สอง
เมื่อมองเข้าไปในถ้ำมีดวงตาโตคู่หนึ่งเป็นประกาย อารมณ์ของมันมีทั้งความกลัวและความสงสัย
“ออกมาซะ แล้วข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
เย่ฟ่านสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาข้างนอก อย่างไรก็ตามความรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างมากดังนั้นเขาจึงเรียกมันออกมาโดยตรง
ในที่สุดเจ้าของดวงตาข้างนั้นก็โผล่ออกมา ดวงตาของมันกลมโต อุ้งเท้าเล็กๆ ยื่นออกมาและโค้งคำนับต่อเย่ฟ่าน
เย่ฟ่านยืนอยู่ปากถ้ำอย่างระมัดระวัง สัตว์ตัวเล็กๆ นั้นเป็นสัตว์ชนิดใด มันมีความยาวเพียงหนึ่งฉื่อ ถ้าหากรวมหางปุยใหญ่ความยาวจะอยู่ที่สองฉื่อเท่านั้น
“กระรอกหรือ?” เย่ฟ่านประหลาดใจ
“ถูกต้อง!” สัตว์ตัวน้อยพยักหน้า
เป็นเรื่องยากที่จะเห็นกระรอกเช่นนี้ ดวงตาของมันคล้ายกับแร่อเมทิสต์ โปร่งแสงแวววาว
“เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะหรือ เข้าสู่เส้นทางนี้ได้อย่างไร?”
เย่ฟ่านที่นั่งอยู่ภูเขาหินหยิบรูปปั้นเล็กขึ้นมา มันหนักจนน่าแปลกใจ รูปปั้นหินนี้คือที่สิงสถิตของวิญญาณกระรอกนั่นเอง
เขาประหลาดใจเมื่อพระพุทธรูปหินเล็กๆนั้นที่ดูหยาบกระด้างมีขนาดเท่าฝ่ามือแต่มีขนาดหนักถึงพันจิน คนธรรมดาไม่สามารถยกได้แน่นอน
กระรอกยืนตัวตรงมองดูเย่ฟ่านด้วยความกังวลใจ ราวกับว่ามันจะสูญเสียสมบัติอันเป็นที่รักไป แต่มันไม่กล้าที่จะสบตาจึงมองลงไปอุ้งเท้าเล็กของตัวเอง
เย่ฟ่านยิ้มจางๆ รอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน “เจ้าจะยอมเป็นเพื่อนของข้าหรือไม่?”
เมื่อกระรอกได้ยิน ความกระตือรือร้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของมัน จากนั้นอุ้งเท้าเล็กๆ ทั้ง 2 ข้างก็ประสานเข้าหากันเพื่อแสดงความเคารพต่อเย่ฟ่าน
กระรอกสีม่วงแทบจะไม่ปรากฎบนโลกเลย ยกเว้นแต่กระรอกบางสายพันธ์ที่มีสีม่วงอ่อนๆเพียงเล็กน้อย แต่กระรอกตัวนี้กับมีสีสันสดใสราวกับเพชรสีม่วง ขนทุกเส้นของมันเปล่งประกายแวววาวด้วยความศักดิ์สิทธิ์
“แสดงให้ข้าเห็นว่าเต๋าของเจ้านั้นยิ่งใหญ่และทรงพลังแค่ไหน” เย่ฟ่านนั่งอยู่บนภูเขาหิน ดวงตาของกระรอกเป็นประกายราวกับเด็กค้นพบขุมทรัพย์
“ว้าว!”
มันกลายเป็นแสงสีม่วงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังของมันแผ่ออกไปไกลหลายร้อยวา
อาณาจักรลับแห่งแรกของร่างกายมนุษย์คือกงล้อแห่งทะเล ซึ่งมีขอบเขตการบ่มเพาะอยู่สี่แห่งได้แก่ ทะเลแห่งความทุกข์ น้ำพุแห่งชีวิต สะพานวิญญาณ และอีกฟากฝั่งหนึ่ง เมื่อไปถึงอาณาจักรน้ำพุแห่งชีวิตจะสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้
หากนี่เป็นโลกอำพรางสวรรค์ความแข็งแกร่งของมันย่อมไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ
แต่การที่มันอาศัยอยู่ในโลกที่เต๋าถูกปราบปรามแต่กลับสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตนี้ได้แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับธรรมดาอย่างแน่นอน
เย่ฟ่านมองอย่างละเอียด พบว่าเจ้าตัวเล็กนี้วิเศษมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มันก้าวออกจากอาณาจักรกงล้อแห่งทะเลแล้ว และตอนนี้กลายเป็นผู้บ่มเพาะที่สร้างตำหนักเต๋าแห่งที่สองได้สำเร็จ
“โลกนี้มันช่างโหดร้าย เต๋าถูกปราบปรามและทำให้ผู้บ่มเพาะในโลกแทบไม่สามารถบินได้ ไม่ว่ากระรอกตัวนี้จะเป็นถึงผู้บ่มเพาะอาณาจักรตำหนักเต๋า แต่กลับบินไปได้ไกลไม่กี่ร้อยวาเท่านั้น”
เย่ฟ่านพยายามสัมผัสให้ถึงแก่นแท้ของสวรรค์พิภพอย่างระวัง เขาสามารถจับปราณมังกรได้เพียงไม่กี่เส้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเมื่ออยู่ในโลกนี้เขาสามารถเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ท่าทีแปลกๆเมื่อพยายามมองเจ้าตัวเล็กนี้ทำให้กระรอกตกใจเป็นอย่างมาก มันรีบชี้มือไปที่พระพุทธรูปหินอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ขโมยหรอก แค่อยากรู้ว่าเจ้าฝึกฝนอย่างไร”
กระรอกสีม่วงสะบัดหางปุยของมัน วางพระพุทธรูปหินแล้วชี้ไปที่เศียรของพระพุทธ แล้วชี้ขึ้นไปบนฟ้า สิ่งนี่ทำให้เย่ฟ่านไม่เข้าใจ
เขาสำรวจพระพุทธรูปนี้อีกครั้งแต่ไม่พบสิ่งอื่นใดนอกจากความหนัก
ไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลง ดวงดาวปรากฎขึ้น มีบางอย่างผิดปกติ พระพุทธรูปหินมีแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในเวลาต่อมาแสงเหล่านั้นก็แผ่กลิ่นอายแห่งเต๋าอันเข้มข้นอย่างไม่สิ้นสุด
เต๋าเหล่านั้นถูกเจ้าตัวน้อยนี้ดูดกลืนเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะเป็นวิธีการบ่มเพาะของมัน
“นี่คือสมบัติที่แปลกมาก แม้ว่าข้าจะอยู่ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่มีระดับสูงกว่าแต่กลับไม่เคยได้ยินวิธีการฝึกฝนเช่นนี้มาก่อน”
ในกลางดึกเเจ้าตัวเล็กนั้นชักชวนเย่ฟ่านไปในทิศทางหนึ่งราวกับกำลังพาเขาไปดูบางอย่าง
เย่ฟ่านประหลาดใจจีงเดินตามลงมาจากภูเขา มาถึงหน้าซากปรักหักพังของวัดโบราณที่สร้างอยู่ด้านล่าง
กระรอกกระโดดลงมา เย่ฟ่านตามเข้าไปและเกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เพราะที่นี่คือคูดินที่ผุดขึ้นมาจากพื้นคล้ายกับมังกรตัวใหญ่!
มันปรากฎขึ้นได้อย่างไร?
แม้แต่ในตงหวงซึ่งเป็นดินแดนที่มีเส้นเลือดมังกรขนาดใหญ่ที่สุดก็ยังไม่สามารถทำให้คูดินเปลี่ยนร่างเป็นมังกรได้
น่าเสียดายที่คูดินนี้ศีรษะของมังกรบางส่วนพังทลายไปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเพียงเส้นเลือดมังกรที่แห้งเหือดไปเมื่อหลายพันปีก่อน
แต่การดำรงอยู่ของมันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโลกใบนี้เคยยิ่งใหญ่มากเพียงใด
ด้านหน้าปากมังกรมีโถดินเผาใบเล็กที่แตกละเอียด สิ่งที่บรรจุอยู่ในโถดินเหล่านั้นยังคงเปล่งประกายด้วยกลิ่นหอมทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
กระรอกวิ่งไปข้างหน้ายกมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับมอบให้กับเย่ฟ่านดื่ม
เย่ฟ่านหยิบโถดินเผาเล็กๆขึ้นมาแล้วเอะใจ สีแปลกนั่นคือน้ำนม
น้ำนมปฐพี?
นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง น้ำที่หยดจากปากมังกรกลายเป็นน้ำนมในโถนี้
กระรอกแสดงท่าทีที่ต้องการให้เย่ฟ่านดื่ม มันกลืนนำลายตามเงียบๆ เห็นได้เลยว่าสิ่งนี้มีค่ากับมันมาก
“ข้าไม่ต้องการมัน”
เย่ฟ่านสื่อสารด้วยจิตวิญญาน จากนั้นก็สอบถามว่ามันเคยพบกับผู้บ่มเพราะคนอื่นๆ ในบริเวณนี้หรือไม่?
กะรอกไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่จิตวิญญานของมันแสดงออกมาได้ค่อนข้างชัดเจน มันอยู่ที่นี่มาตลอดไม่เคยเห็นสิ่งชีวิตอื่นอีก
เมื่อหลายปีก่อนมีนกดุร้ายโฉบลงมาจากท้องฟ้าและทำร้ายแม่ของมันจนเสียชีวิต ไม่นานแม่กระรอกก็ตายจาก กระรอกน้อยก็เติบโตขึ้นด้วยน้ำนมปฐพีนี้
เย่ฟ่านถอนหายใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้เจอพ่อแม่อีกตลอดกาล
กระรอกชี้ไปที่ถ้ำที่เป็นที่ฝังร่างของแม่มัน
เย่ฟ่านปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วทำให้ถ้ำสว่างไสวทันที
“อย่ากลัว ข้าเอาให้เจ้า” เย่ฟ่านปลอบโยนกระรอกน้อย
“ไปจากที่นี่กับข้าไหม” เย่ฟ่านรู้สึกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี และการมีกระรอกน้อยอยู่ด้วยมันทำให้เขาไม่รู้สึกเงียบเหงาอีกต่อไป
กระรอกตกใจมาก มันไม่เคยที่คิดจะจากที่นี่ไป
“ไม่เป็นไร สบายใจเถอะ อยู่ที่นี่และสนุกกับตัวเอง” เย่ฟ่าลุกขั้นกำลังจะหันหลังกลับจากไป
กระรอกคว้ากางเกงของเขาไว้แน่น แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ไม่ปกติ แต่มันตัดสินใจที่จะไปกับเขา
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็ลูกศิษย์คนที่สองของข้า”
กระรอกมีดีใจมาก เย่ฟ่านเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงที่ล้นออกมาจากตัวของมัน เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“กลิ่นอายนี้ช่างเหมือนกับจักพรรดิอสูรจริงๆ!”
ระหว่างทางกลับ เย่ฟ่านพยามทุกวิถึทางในที่สุดก็เจาะพลังวิญญาณเข้าไปในพระพุทธหินได้สำเร็จ
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือภายในพระพุทธรูปนี้กลับเป็นอาคารโบราณขนาดใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ด้านหน้าอาคารโบราณเขียนไว้ด้วยภาษาสันสกฤตและยังมีพระพุทธรูปหลายองค์นั่งสมาธิอยู่ภายในอาคารโบราณนี้
เย่ฟ่านกลับเข้าเมือง แม้ว่าใจจะยังรู้สึกเศร้าอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง เขาบังคับตัวเองให้เก็บความเศร้าไว้เพราะยังมีเรื่องให้ทำ
อย่างแรกเลยเขาและผังป๋อเคยบอกไว้ว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านพวกเขาจะไปเยี่ยมครอบครัวของเพื่อนที่จากไปทุกคน และช่วยเหลือคนในครอบครัวของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“ผังป่อ ข้าเชื่อเจ้า ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายเสมอ”
ก่อนที่จะขึ้นแท่นบูชาห้าสี ผังป๋อก็จากไปอย่างกระทันหัน หลี่เสี่ยวม่านบอกว่าผังป๋อเป็นจอมมารและต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมด แต่เย่ฟ่านไม่เชื่อ แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ ก็ตาม
หลังจากกลับมาที่เมือง
เย่ฟ่านเชิญครอครัวซูฉงมาทานอาหาร เขาไม่ต้องการแสดงพลังเหนือธรรมชาติ เพื่อไม่ให้โลกตกใจกลัว ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกเสมอว่า โลกนี้นันลึกลับเกินไป
เขาขอให้ซูฉงช่วยครอบครัวของเพื่อนบางคน จากนั้นเขาก็มอบตัวอักษรสันสกฤตที่พบในพระพุทธรูปหินให้หยางเซียว และขอให้อีกฝ่ายช่วยแปลคำเหล่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานหยางเซียวก็ส่งคำตอบกลับมา
เมื่อได้ฟังสิ่งนั้นทำให้เย่ฟ่านประหลาดใจอย่างมาก!