1306 - จะไปที่ไหน?
1306 - จะไปที่ไหน?
ช่วงปลายฤดูหนาวทางภาคเหนือยังหนาวมาก
กลีบช่อดอกไม้สีขาวร่วงหล่นหน้าหลุมศพปลิวตามสายลม เย่ฟ่านคุกเข่าลงเงียบๆ ริมฝีปากสั่นเทา
ซูฉงเดินจากไป ทิ้งเย่ฟ่านไว้เพียงลำพัง
เธอไปเจอผู้ดูแลสุสานเพื่อสอบถามเรื่องดอกไม้สีขาวที่วางอยู่ข้างหน้าหลุมศพ แต่น่าเสียดาย สุสานแห่งนี้ผู้คนเข้าออกไม่มากนัก และไม่มีใครสนใจว่าพวกเขาเป็นใคร
เย่ฟ่านที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าหลุมศพ อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป เขาสูญเสียเป้าหมายในชีวิตมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“พ่อ นี่คือเหล้าพันปีที่ผมเอามาจากเป่ยโต่ว เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะได้ดื่ม มันมีไว้สำหรับผู้สูงศักดิ์เท่านั้น” เย่ฟ่านหยิบเครื่องดื่มออกมา กลิ่นที่หอมสดชื่นอบอวลไปทั้งสุสาน
ซูฉงประหลาดใจหันกลับไปมอง กลิ่นของเหล้านั้นหอมมาก เธอไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้ายังรู้สึกประทับกับกลิ่นนั้น
เมื่อคนดูแลสุสานเห็น จึงเข้ามาบอกในเรื่องของการฝ่าฝืนกฎและจำเป็นต้องเสียค่าปรับ
ซูฉงหยิบเงินออกมาแล้วมอบให้โดยไม่ให้เขาเข้าไปหาเย่ฟ่าน เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหา เธอรู้ดีว่าเย่ฟ่านคนปัจจุบันไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
“แม่ นี่คือเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆจากเป่ยโตว่” เครื่องประดับรูปทรงแปลกปรากฏในมือเย่ฟ่าน ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่สามารถยืดอายุขัยได้
เครื่องประดับแต่ละชิ้นแวววาว แม้แต่คนธรรมดาที่มองก็ทำให้ขนลุกได้
“ฟุบ!”
มีเปลวไฟพุ่งเข้าใส่มือเย่ฟ่าน เหล้าพันปีกลายเป็นเพียงแสงที่เจิดจ้า และกลายเป็นขี้เถ้าในที่สุด
คนดูแลสุสานเริ่มกังวล เย่ฟ่านได้ฝ่าฝืนกฎอย่างจริงจัง ในสถานที่แห่งนี้ห้ามเผาสิ่งใดๆ เมื่อเขาเห็นเปลวไฟที่ลุกในมือของเย่ฟ่าน ดวงตาของเขานั้นโตขึ้นเล็กน้อย
“บอกผมทีว่าเขากำลังเผาอะไร แสงสว่างที่พุ่งออกมากลิ่นอายของเหล้ามันหอมมาก ผมอยากจะลองมันสักหน่อย แค่กลิ่นมันก็ทำให้ผมเมาแล้ว”
ทันทีที่เขาเข้าใกล้ เขาก็เกิดความมึนเมาจนหมดสติไปชั่วขณะ
ซูฉงถอยหลังห่างด้วยความตกใจ
ไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องประดับที่เปล่งประกาย เพียงเหล้าที่ทำจากเนื้อแกะหากนำไปประมูลมันคงจะราคาสูงลิ่วอย่างแน่นอน
เมื่อคนดูแลสุสานตื่นขึ้นมา พบว่าทุกอย่างนั้นมืดสนิท ของต่างๆนั้นถูกเผาทั้งหมด เขาโกรธมากรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“พวกคุณเผาของทั้งหมดนั่นหรอ ผมต้องทำความสะอาดยังไง?”
ซูฉงรีบเดินไปข้างหน้าและส่งเงินก้อนใหญ่ให้เขาอีกครั้ง
“ในชีวิตมีหลายๆเรื่องที่เราไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ความเสียใจมันเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจะไม่ตำหนิอะไรคุณ ตราบใดที่คุณยังปลอดภัย สิ่งที่พวกเขาต้องการเพียงอย่างเดียว คือคุณปลอดภัย” ซูฉงพูด
“ผมรู้ คุณกลับไปก่อนก็ได้” เย่ฟ่านพูดตอบ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ถูกแทนที่ด้วยดวงดาว เขายังคงนั่งเงียบๆ คนดูแลสุสานโกรธมากแต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้เขา ก่อนกลับซูฉงก็ให้เงินจำนวนมากแก่เขาอีกครั้ง
ในเวลาต่อมา ดวงอาทิตย์ส่องแสงแต่เย่ฟ่านยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขานั่งอยู่ที่นั่นทั้งคืน นึกเหตุการณ์ในอดีตเงียบๆ ทุกฉากทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับพ่อแม่ของเขา มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุดความคิด
เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง เขาถอนหายใจเบาๆลุกขึ้นยืน เดินออกจากสุสานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับบ้าน แต่ซูฉงไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ เธอเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่า เย่ฟ่านสามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ คงไม่มีใครที่จะท้าร้ายเขาได้ อาจจะมีแค่ตัวเขาเอง
เย่ฟ่านกลับมานั่งบนโซฟาเงียบๆ เพื่อฟังเรื่องราวในอดีตของทั้งสองจากซูฉง
เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆในระหว่างนั้น
ทุกคนล้วนมีความสุข ความเศร้า และความทรงจำที่มีความสุข
ซูฉงเองก็รอเย่ฟ่านมาสองปี ท้ายที่สุดเธอก็แต่งงาน เธอจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้จะเกิดความเศร้าโศกแค่ไหนก็ตาม
หลังจากแต่งงานเธอย้ายมาที่ชานเมือง จนได้พบกับพ่อแม่ของเย่ฟ่าน เธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้
“ลุงกับป้าเป็นคนดีมาก พวกเขาบริจาคเงินที่คุณทิ้งไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเสมอ เวลาที่พวกเขาเห็นเด็กๆ พวกเขาจะคิดถึงคุณตลอดเวลา ฉันคิดว่าสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าคงส่งช่อดอไม้นั้นมา”
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ซูเย่เปิดประตูแล้วตะโกนออกมาว่า “พ่อกลับมาแล้ว”
“ฉันซื้อบ้านที่นี่ด้วยเงินที่พวกเราได้รับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สามีของฉันเขาซื่อสัตย์มาก ซูเย่ไม่ใช่ลูกของเขาจริงๆ แต่เขาก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี” เมื่อซูฉงพูดถึงชื่อลูก น้ำเสียงของเธอก็สั่นเล็กน้อย
หลังจากล้มเหลวในการแต่งงานมาแล้วหนึ่งครั้ง ซูฉงระมัดระวังในการเลือกสามีใหม่มาก คนนั้นคือศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่ศึกษาการวิจัยทางโบราณคดี เขาเป็นคนดีมาก
เมื่อมองแวบแรก หยางเซียวดูไม่ใช่คนเรียบง่าย ซูฉงแนะนำเขาให้รู้จักกับเย่ฟ่าน เขายิ้มออกมาด้วยความยินดีแล้วกล่าวทักทาย
“พ่อกลับมาตอนไหน หนูเห็นดาวตกมันเกือบจะชนบ้านของเรา แม่กลัวมันมาก” ซูเย่พูดเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุข
“พ่อติดงานอยู่ที่เจียงหลิงหลายวัน มีการค้นพบสุสานขนาดใหญ่ที่นั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนที่เข้าไปนั้นเสียชีวิตหมด”
“พ่ออย่าไปอีกนะ” ซูเย่กล่าวอย่างหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้น? อย่าเสี่ยงเลยมันอันตรายมาก” ซูฉงขมวดคิ้วและเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร พวกเราจะไม่เสี่ยงเข้าไปข้างในกัน” หยางเซียวตอบกลับ
“ภูเขาปาหลิงในมณฑลเจียงหลิงหรือ?” เย่ฟ่านถาม
สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงมาก มีภูมิหลังที่ดีในสมัยโบราณ บนภูเขามีสุสานโบราณหลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นสุสานฉู่ตามมาด้วยสุสานฮั่น
ภูมิประเทศมีความพิเศษมาก ประกอบด้วยภูเขาแปดลูกที่ทอดยาวในแนวตั้งและแนวนอน ความยิ่งใหญ่และสูงตระหง่านนั้นถูกเรียกว่าภูเขามังกรสวรรค์
หยางเซียวพยักหน้า และพูดว่า “การพบสุสานขนาดใหญ่จากยุคสงคราม ในสถานที่นั้นมันลึกลับอย่างมาก อุปกรณ์ทุกชนิดไม่มีประโยชน์ในการสำรวจ มีคนจำนวนมากเสียชีวิต อย่างไรก็ตามมันมีอักษรประทับตราขนาดใหญ่ รูปนก ปลา และสัตว์ต่างๆ อยู่ข้างในสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์”
เย่ฟ่านเงียบไปอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจจนสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้อีกต่อไป
“พ่ออย่าไปเลย มันอันตราย” ซู่เย่อกอดแขนข้างหนึ่งของหยางเซียว
“ถ้าคุณไม่คิดถึงตัวเอง คุณก็ควรคิดถึงเสี่ยวเย่ด้วย” ซูฉงกล่าว
“เอาล่ะ ฉันไม่ไป ฉันจะให้คนอื่นทำแทน” หยางเซียวยิ้มอย่างเรียบง่าย
หลังจากที่เย่ฟ่านถามทุกอย่างเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขา เขาก็เตรียมที่จะกล่าวลา
“คุณจะไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”
ซูฉงมองเขาและพยายามชักชวนให้เขาอยู่ต่อ
“ไม่ ผมมีที่ที่ต้องไป แต่ผมขอเลี้ยงอาหารค่ำกับครอบครัวคุณเป็นค่าตอบแทน” ก่อนจะไป เย่ฟ่านหยิบเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ออกมามอบให้เธอ
“ว้าว มันสวยมาก มันทำมาจากอะไร มันดูเหมือนเพชร”
หยางเซียวดูตกใจ เขายืนขึ้น ขยับเข้ามาใกล้ๆ ปรับกรอบแว่นแล้วพูดว่า “ของพวกนี้... อายุไม่ต่ำกว่าสองพันปี”
เย่ฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบของเล็ก ๆ ออกมา มันเป็นเครื่องรางในรูปแบบสร้อยข้อมือและมอบให้กับหยางเซียว เขาบอกว่าสิ่งนี้เมื่อใช้สำรวจโบราณคดีจะทำให้หยางเซียวปลอดภัย
ซูเย่อยากได้ของสิ่งนี้มาก เธอกอดแขนข้างหนึ่งของเย่ฟ่านและเรียกเขาว่าลุงซ้ำๆ แต่หยางเซียวบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีค่าเกินไปไม่สามารถเก็บไว้ได้
มีเพียงซูฉงเท่านั้นที่รู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นว่าเย่ฟ่านสามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
เย่ฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบขวดหยกออกมาอีกสองขวดวางไว้ในมือของซูฉง และส่งเสียงด้วยจิตสำนึกทางจิตวิญญาณของเขา บอกกับเธอว่าหากเกิดความเจ็บป่วยหรือไม่สบายอย่างหนักก็ให้กินของเหลวที่อยู่ข้างในทันที
เย่ฟ่านกำลังจะจากไป ซูฉงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งน้ำตาและพึมพำกับตัวเองในคำพูดที่ไม่มีใครได้ยิน
“แม่ ทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ?” ซูเย่ตะโกน
หยางเซียวหยิบเสื้อคลุมออกมา เดินออกไปสวมมันให้กับเธอแล้วพูดเบาๆ
“เขาไปแล้ว เข้ามาเถอะ ข้างนอกมันหนาว”
ซูฉงพยักหน้า
เย่ฟ่านเดินออกไปจากบ้าน เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนเขาเพียงต้องการเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
เขาหยุดอยู่หน้าม้านั่งในสวนสาธารณะ นั่งคิดอย่างจริงจังว่าจะเอาอย่างไรต่อดี
จากนั้นที่มือทั้งสองข้างของเขามีวัตถุที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้น มันคือโลงศพโบราณที่ฉีลั่วต้องการให้เขานำไปทิ้งในจักรวาลอันมืดมิด โลงศพเก้าสวรรค์
ทันใดนั้น ก็มีแสงเล็กๆราวกับหิ่งห้อยล้นออกมือของเขา กลายเป็นฝนแห่งแสงที่กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
“นี่คือ…”
………..