บทที่ 463: อาวุธแรง ๆ! กลับไปยังซากปรักหักพังอีกครั้ง!
หลังจากเสร็จจากเรื่องที่ทางเข้าแล้วถังเจิ้นก็กลับเข้าเมืองไป
การปรากฏขึ้นของเย่โหลว (อาคารป่า) ยอดเขานี้ได้เพิ่มตัวแปรในการต่อสู้แย่งชิงศิลาเสาเอกของเมืองหานเยว่เป็นอย่างมาก ซึ่งโชคดีจริง ๆ ที่มันอยู่ในการควบคุมของตน
แม้ว่ามอนสเตอร์ข้างในนั้นจะแข็งแกร่งก็ตาม แต่ก็ถูกกฎฟ้าดินจำกัดเอาไว้ทำให้ไม่อาจออกห่างจากศิลาเสาเอกได้ ดังนั้นเลยไม่มีอะไรต้องกลัว
หลังจากกลับมาที่ห้องฝึกลับและพักผ่อนได้ซักสองสามชั่วโมงถังเจิ้นก็เทเลพอร์ตกลับโลกเดิม
ยามที่เริ่มเปิดฉากที่เมืองหานเยว่ถังเจิ้นจะต้องเตรียมอาวุธแรง ๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งเอาตรง ๆ ตอนนี้ก็แค่จะหาไปเผื่อไว้เท่านั้น
จริง ๆ ของพวกนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่มีไว้ก็ไม่เสียหายเพราะอนาคตมันไม่แน่ หากจำเป็นขึ้นมามีติดมือไว้ใช้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ถังเจิ้นค่อน ๆ เปิดประตูออกจากห้องโถงของบ้านซูเฟิง
หากเทียบกับโลกโหลวเฉิงแล้วที่นั่นมีสภาพอากาศดีกว่าที่นี่คนละเรื่องเลย ยิ่งตัวเขาเองที่อยู่โลกโหลวเฉิงมานานยิ่งสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในเรื่องมลพิษของโลกเดิม ความรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในขวด
ถังเจิ้นโฟกัสที่สภาพแวดล้อมรอบตัวโดยไม่ได้สนใจคุณภาพของอากาศห่วย ๆ
จากมุมมองแผนที่จะเห็นได้ว่าผู้อยู่อาศัยเดิมโดยรอบบริเวณนี้ได้หายไปหมดแล้ว โดยคนที่อยู่ตอนนี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่ถูกส่งมาคอยดูแล
หน้าที่หลัก ๆ ของพวกเขาก็คือดูแลสถานที่แห่งนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงเข้ามาได้
แน่นอนว่าการมีพวกนี้อยู่นั้นมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ว่าสำหรับถังเจิ้นแล้วข้อดีมากกว่าข้อเสียชัดเจน!
ในอดีตเมื่อต้องการอาวุธพิเศษดังกล่าวจะต้องวิ่งวุ่นหาและขโมยมา แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่เขาเดินออกจากบ้านก็มีคนเข้ามาโค้งคำนับให้
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณถัง”
ชายหนุ่มในชุดลำลองคนนี้เป็นพนักงานที่ซูเฟิงจัดไว้ในบ้านซึ่งพร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง
เนื่องจากเวลากลับมาของถังเจิ้นไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงทำได้แค่รออย่างเดียวเลย ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ทำได้และทำเพื่อไม่ให้งานของถังเจิ้นต้องล่าช้า
ถังเจิ้นพยักหน้าถามชายหนุ่มว่า “ของที่สั่งครั้งก่อนพร้อมยัง”
“ของที่คุณถังสั่งไว้กำลังปรับแก้และจะส่งมาถึงมือภายในหนึ่งวันครับ”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบก็มีชายในชุดสูทสวมแว่นราคาแพงเดินออกจากประตูมาด้วยท่าทางสง่างาม
ย่างก้าวที่เดินนั้นเบาเหมือนเสือแต่องอาจเหมือนมังกร ดวงตาหลังเลนส์ก็คมกริบ
แม้ว่าเจ้าตัวจะสวมเสื้อผ้าแบบคนธรรมดาก็ตามแต่ก็ไม่อาจปิดบังท่วงท่าของทหารที่ซ่อนอยู่ในเนื้อผ้าเหล่านั้นได้เลย
ถังเจิ้นเหลือบมองอีกฝ่ายและรู้ว่าเป็นอีกฝ่ายที่พูดประโยคเมื่อกี๊
ตัวตนของชายหนุ่มคนนี้พิเศษมาก ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสมาพันธ์เอเชียเลยก็ว่าได้ และเขาได้ติดต่อกับถังเจิ้นมาแล้วหลายครั้ง
“สวัสดีครับคุณถัง!”
ชายหนุ่มเดินไปหาถังเจิ้นและจับมือกับเขาเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณซุน!”
หลังจากพูดคุยกันสองสามคำทั้งคู่ก็ไปหานั่งโซฟาและถกประเด็นกันแบบไม่อ้อมค้อม
ชายคนที่ถังเจิ้นเรียกว่าคุณซุนได้หยิบเอกสารที่มีเครื่องหมาย ‘ลับสุดยอด’ ออกมาจากกระเป๋าแล้วมอบให้ถังเจิ้น
ถังเจิ้นหยิบรับมาอ่านอยู่ซักพักก่อนจะคืนให้อีกฝ่ายไป
หลังจากที่เห็นถังเจิ้นอ่านจบคุณซุนจึงกล่าวว่า “เนื่องจากการทดลองต้องใช้เงินมาก ลูกปัดสมองที่คุณให้ไว้ครั้งก่อนก็หมดไปแล้ว ดังนั้นทางผมเลยอยากให้คุณช่วยจัดชุดใหม่ให้ด้วยน่ะครับ!”
ถังเจิ้นพยักหน้า เพราะหากเป็นแค่ลูกปัดสมองจำนวนไม่มากนักเขาก็สามารถจัดให้ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
“นอกจากนี้เรายังหวังว่าคุณถังเจิ้นจะสามารถจัดหาไอเทมจากโลกโหลวเฉิงเพิ่มอีกซักอีกชุดให้ด้วย อย่างเช่นชุดเฟมโตเหมือนเมื่อครั้งก่อนนี่พอจะได้มั้ยครับ”
ได้ยินว่าชุดเฟมโตถังเจิ้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าไม่พอใจกับคำขอของอีกฝ่าย แต่ว่าคำขอนี้มันกระตุ้นให้นึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ต่างหาก
นั่นก็คือตั้งแต่ที่หนีออกจากซากปรักหักพังยานรบอย่างน่าสมเพชเมื่อครั้งล่าสุดแล้วก็ไม่เคยไปดูที่นั้นซ้ำอีกเลย
มันทำให้เขานึกได้อีกว่าในซากยานรบลำนั้นมันมีระเบิดที่ทรงพลังมาก ๆ อยู่ด้วยซึ่งอาจได้ใช้ในศึกตีเมืองหายเยว่ก็เป็นได้
เมื่อเปรียบเทียบกับของอย่างระเบิดปรมาณูและระเบิดนิวตรอนแล้ว ระเบิดดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้าง แต่เรื่องความแรงนี่เชื่อถือได้สุด ๆ ด้วย
ตลอดหลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับการจัดการภัยพิบัติหานเยว่ดังนั้นเลยลืมเรื่องนี้ไปเลย
และเมื่อนึกขึ้นมาได้แล้วก็เห็นทีจะได้เวลาไปดูอีกรอบ
ถังเจิ้นไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้าตอบรับคำขอของอีกฝ่าย
หลังจากส่งอีกฝ่ายออกไปแล้วถังเจิ้นก็พักต่ออีกแป๊บหนึ่งก่อนจะกลับไปโลกโหลวเฉิง
หลังจากเอาการ์ดแอปพลิเคชันเก็บของส่งให้กับทางย่านการค้าแล้วเขาก็สยายปีกบินตรงดิ่งไปยังซากปรักหักพังขนาดยักษ์
เนื่องจากครั้งก่อนเขาไม่แข็งแกร่งพอทำให้ต้องโดนไอ้พวกมอนสเตอร์ในยานรบไล่ฆ่าจนสภาพดูไม่จืด แต่ตอนนี้เขาคือคนที่อยู่ห่างจากระดับราชาเพียงแค่ก้าวเดียวแล้ว ด้วยกำลังขนาดนี้สามารถใช้บดขยี้มอนสเตอร์ทุกตัวในนั้นได้แน่นอน
แต่ยังติดตรงที่เขายังไม่รู้เหมือนกันว่ามอนสเตอร์ที่ซ่อนอยู่ในหลุมยักษ์ที่มีแต่หมอกสีเทาตัวนั้นมันระดับไหน!
ด้วยความเร็วในตอนนี้ทำให้เขาใช้เวลาบินไม่นานก็ไปถึงซากปรักหักพังดังกล่าวและแลนดิ้งที่ชายขอบทันที
เมื่อภัยพิบัติหานเยว่มาถึงสถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นที่รกร้าง บนพื้นหิมะใกล้ ๆ นี้ไม่มีร่องรอยว่ามีใครหรือตัวอะไรผ่านมาเลย
แม้ว่าแดนร้างเดิมมันจะร้างตามชื่อก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ขาดความนิยมของคน มีหรือจะกลายเป็นสถานที่ที่น่าจะมีแต่ผีที่มาอยู่แบบนี้ได้
ถังเจิ้นยังคงเห็นซากปรักหักพังนี้มีหมอกสีเทากินพื้นที่ใจกลางเป็นบริเวณกว้างมากเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด และเขาก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปในหมอกสีเทานั้น
ยามที่เดินผ่านเย่โหลวที่ตั้งอยู่ในหมอกเขาก็ได้เหลือบมองผ่าน ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรมอนสเตอร์เย่โหลวในหมอกสีเทานี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหานเยว่เลย ซึ่งพวกมันยังคงล่องลอยเวียนวนอยู่ในใจกลางของเย่โหลวแห่งนี้ต่อไปเหมือนเดิม
ทว่าแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจ เขายังคงมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ใจกลางต่อ
ไม่กี่นาทีต่อมาถังเจิ้นก็มาถึงหน้าซากยานรบและจับจ้องมองไปยังหลุมยักษ์ที่มีแต่หมอกสีเทาอัดแน่นเต็มหลุม
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงออร่าของไอ้ตัวที่ซ่อนอยู่ในหลุมว่ามันกำลังแอบมองตนอยู่เงียบ ๆ
มอนสเตอร์ตัวนี้ยังคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหนและไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหานเยว่
หลังจากที่ถังเจิ้นยืนเงียบ ๆ ได้ซักพักก็ได้ปล่อยคลื่นพลังจิตอันกดขี่บดขยี่หลุมหมอกสีเทานั่นซะ
ซึ่งก็เหมือนมันจะรู้แต่แรกแล้วว่าเขาจะลงมือทำให้ทันทีที่เขาลงมือมันก็ตอบโต้กลับได้ทันควัน
พลังจิตของทั้งสองฝ่ายปะทะกันโดยที่ตาเปล่ามองไม่เห็น จะเห็นก็แค่หมอกสีเทานั้นเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงและเกิดแสงวาบ ๆ ขึ้น
ถังเจิ้นที่ทำหน้าไร้อารมณ์จนถึงตอนนี้ได้ยกยิ้มมุมปากและเดินตรงไปที่หลุมดังกล่าว
เพราะในการปะทะกันครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ!
ตู้ม!
เขาได้ชู้ตก้อนหินบนพื้นใส่หลุมไปอย่างแรง และขณะนั้นเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ในหลุมนั่นกำลังตัวสั่นอยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่มันทำท่าเหมือนกำลังกลัวถังเจิ้นอยู่เลย
ทำให้เขาแอบสงสัยอยู่ในใจว่า ‘หรือไอ้ตัวนี้มันกลัวกูวะ’
แต่คิดไปคิดมาก็สรุปว่าใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเทียบตัวเขาตอนนี้กับตัวเขาในครั้งก่อนแล้วคือแข็งแกร่งกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่า!
ทำให้มอนสเตอร์ที่แต่เดิมโคตรน่ากลัวเลยนั้นได้กลายเป็นตัวที่ไม่เหลือค่าให้ชายตาแลไปแล้วนั่นเอง
ยิ่งเสียงฝีเท้าดังเข้าไปใกล้หลุมมากขึ้นเท่าไหร่ ถังเจิ้นก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้นว่าไอ้เจ้ามอนสเตอร์ในหมอกสีเทานั้นกลัวเขาจริง ๆ
ซึ่งเป็นความรู้สึกกลัวที่ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าเขาก็ไม่ได้เหลิง ในใจก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะหลอกให้เขาตายใจแล้วปล่อยท่าใหญ่ใส่ตอนทีเผลอทิ้ง
แต่เขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาต่อแล้วดังนั้นเลยกะว่าจะจบการต่อสู้นี้ซะเลย
ถังเจิ้นเอาปืนกลออกมายิงถล่มใส่หลุม ห่ากระสุนทะลวงเข้าไปในหมอกสีเทาที่อัดแน่นเต็มหลุม
และในขณะนั้นเองก็ได้มีดวงตาสีเขียวขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหมอกสีเทาและจ้องมองทะลุผ่านหมอกมาที่ตัวเขา
ถังเจิ้นเห็นแบบนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วเปลี่ยนเป้ายิงใส่ดวงตาคู่นั้นซะเลย
และเมื่อมอนสเตอร์ในหมอกสีเทาเห็นแบบนั้นมันก็รวบหมอกสีเทานั้นคลุมร่างตัวเองเอาไว้แล้วพุ่งออกจาหลุมและหนีเข้าไปในซากปรักหักพังของยานรบด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด