บทที่ 18 : การแต่งงาน (2)
บทที่ 18 : การแต่งงาน (2)
บทสนทนาที่โต๊ะอาหารนำโดยกิ้บสัน อดัมและกิดอนเป็นหลัก
บรรยากาศที่อ่อนโยนและเสียงหัวเราะเบาๆ มาพร้อมกับอาหารอันแสนอร่อย
ในบรรยากาศนั้นเนอร์เหลือบมองไปยังเบิร์ก ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ
คำพูดของไลลาเป็นความจริง เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและไม่พูดอะไรสักคำ
การทักทายครั้งแรกที่พวกเขาพูดคุยกันถือเป็นการสิ้นสุดปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา
เขาแสดงความสนใจเฉพาะเมื่อมีคนพูด มันคล้ายกับเขากำลังสื่อสารผ่านสายตาของเขา บางครั้งเขาก็มีส่วนร่วมในการสนทนา
เนอร์ยังคงบอกหัวใจที่เต้นรัวของเธอให้สงบ
ความรู้สึกที่ริมฝีปากของเขาแตะหลังมือของเธอยังคงชัดเจน
ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่
เนอร์ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของเธอในตอนนั้นอย่างไร
แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเช่นกัน
ภาพอันชั่วร้ายของเขาที่เธอสร้างขึ้นในใจยังไม่ปรากฏออกมา
เขาไม่ได้ดูโหดร้าย โหดเหี้ยม เกลียดหรือไม่ชอบผู้หญิง
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ละเลยความเป็นไปได้ที่ท่าทีในปัจจุบันของเขาอาจเป็นการแสดงก็ได้
“เนอร์ กินอีกสิ”
ขณะที่เอาแต่มองเบิร์ก เธอก็ละเลยที่จะทานอาหาร
เพราะคำพูดของกิบสัน ทุกคนจึงหันมาสนใจจานของเนอร์
เบิร์กเองก็มองจานของเธอด้วยเช่นกัน
คราวนี้สายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกเย็นยะเยือกอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อใดก็ตามที่เขาให้ความสนใจเธอ เธอก็จะรู้สึกอึดอัดและเธอจึงได้แต่ต้องเก็บซ่อนอาการของเธอเอาไว้
เนอร์ถือมีดและส้อมด้วยมือที่สั่นเทาและมุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้า
เธอหวังว่าความสนใจของเบิร์กจะหายไปเสียที
พูดตามตรง วันนี้เธอไม่อยากกินอะไรเลย
คนที่เธอต้องการหนีก็อยู่ตรงหน้าเธอ ดังนั้นเธอจึงกลืนอาหารไม่ได้สักนิดเดียว
เนอร์ไม่ได้มองเบิร์ก แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเขากำลังมองผ่านร่างกายของเธอด้วยความละเอียด
เป็นอีกครั้งที่ความเย็นยะเยือกไหลลงมาตามกระดูกสันหลังของเธอ ขนตามร่างกายของเธอพลันตั้งชันขึ้น
เธอเก็บหางไว้และพยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่เธอก็เกือบจะเผยให้เห็นความรู้สึกจริงๆ ของเธอออกมา
เนอร์ยังคงทำตัวเป็นปกติ
ขณะที่หั่นสเต็กเป็นชิ้นๆ เบิร์กก็เปิดปากของเขาเป็นครั้งแรก
“…มนุษย์หมาป่าชอบอะไรเหรอครับ?”
กิ้บสันรู้สึกสนใจในคำถามแรกของเบิร์ก
“ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม?”
“ผมหมายถึงอาหาร พวกคุณชอบกินอะไรกันเหรอ?”
เขาพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในขณะที่สายตาของเบิร์กหันไปทางกิ้บสัน เนอร์เองก็แอบเหลือบมองที่เบิร์กอีกครั้ง
เธอต้องการอ่านความรู้สึกเขา แต่เธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อไม่มีการเปิดเผยอารมณ์ผ่านบนใบหน้าของเขา เนอร์จึงไม่สามารถคาดเดาได้เลย
กิ้บสันจึงตอบอย่างสบายๆ ไป
“มันก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มนุษย์หมาป่าน่ะมีความชอบที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับมนุษย์”
“…”
เบิร์กพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
จากนั้นเขาก็เริ่มทานอาหารอีกครั้ง
“…”
'เขากำลังสื่อถึงอะไรสักอย่างงั้นเหรอ?'
เนอร์คิดอยู่แล้วว่าเธออาจจะเข้ากันไม่ได้กับเบิร์ก
ในแง่ของมารยาทในการรับประทานอาหาร เบิร์กได้แสดงให้เห็นถึงนิสัยห่ามๆ ของเขา
เขาไม่เปลี่ยนมีดและส้อมเมื่อทานอาหารที่ต่างกัน
เขาไม่ได้หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ เพียงใส่คำใหญ่เข้าไปในปากของเขาแล้วเคี้ยวเลยทันที
วิธีถือแก้วไวน์ของเขาก็แปลกเช่นกัน เขาไม่ได้ลิ้มรสกลิ่นหอมของไวน์ก่อนดื่ม
การใช้ส้อมของเขายิ่งน่าอึดอัดใจ เขาเชี่ยวชาญแค่มีดเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเขาจะแค่เติมสารอาหารให้ตัวเอง แทนที่จะเพลิดเพลินกับรสชาติของอาหาร
พูดง่ายๆ คือเขาไม่มีอะไรเหมาะกับเธอเลย
และเหนือสิ่งอื่นใด การที่เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาได้นั้นน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า
มีสถานการณ์ที่เธอรู้สึกกดดัน และมีหลายครั้งที่เธอกลัวเบิร์ก
การบีบบังคับให้ต้องมาอยู่เช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุด
การสนทนาดำเนินไปอย่างสบายๆ
เนอร์รู้สึกเหมือนเธอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในกลุ่มคนเหล่านี้อีกครั้ง
หัวข้อสนทนาก็ยากที่จะเข้าไปแทรก
มันมีเพียงเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้และสัตว์ประหลาดเท่านั้น
เบิร์กยังคงเงียบเช่นเคย
เมื่อเวลาผ่านไป เนอร์เองก็รู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรู้สึกของตัวเองหรือหัวข้อของการสนทนา
และในที่สุด เธอก็ได้กินอะไรบางอย่างเสียทีหลังจากเวลาผ่านไปนาน
จากนั้นเธอจึงวางส้อมลงอย่างระมัดระวังและวางมือบนเข่าของเธอ
เธอไม่อยากกินอะไรอีกต่อไปแล้ว
กึ้ก…
"อ่ะ…!"
เนอร์รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ฝ่าเท้าของเธอ
กิดอนกำลังเหยียบเท้าของเธอด้วยส้นเท้าหนาของเขา
เนอร์เงยหน้าขึ้นมองกิดอน
แต่เขายังคงสนทนาต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเขา
กิดอนกำลังบอกเป็นนัยว่าอย่ารบกวนบรรยากาศการรับประทานอาหาร
เนอร์กลืนน้ำลาย ยื่นมือออกไปทางส้อมและมีด
เธอระงับความรู้สึกที่อยากจะอาเจียนออกมา
ดูเหมือนเธอคงได้แต่จะต้องกินอาหารที่ไม่อยากกินสินะ
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีเบิร์กอยู่ตรงหน้าเธอ เนอร์ไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านกิดอนเลย
แต่ในขณะเดียวกัน เบิร์กกลับวางส้อมและมีดลง
อาหารหลายจานที่อยู่ใกล้เขาหายไปหมดแล้ว
เขาเช็ดปากด้วยผ้าที่วางอยู่ตรงหน้า แสดงให้เห็นว่าเขาทานอาหารเสร็จแล้ว
"หา? เบิร์ก อิ่มแล้วเหรอ?”
อดัมถามเบิร์กที่นั่งอยู่ข้างๆ
เขาตอบกัปตันของเขา
"ครับ"
“ดูเหมือนว่ารองกัปตันจะไม่ค่อยเจริญอาหารนะ หรือบางทีอาหารอาจไม่ถูกปากของนายงั้นเหรอ?”
เมื่อกิดอนถาม เบิร์กก็ส่ายหัว
"…ไม่ ผมแค่อิ่มแล้ว"
“…”
เนอร์เองเมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกๆ
ต้องขอบคุณการวางส้อมของเบิร์ก เนอร์จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารต่อไป
ไม่จำเป็นต้องยัดอาหารเข้าปากเธออีก...
เธอวางมือกลับบนเข่าแล้วครุ่นคิด
'มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?'
“…”
เนอร์สงสัยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่มีทางที่ผู้ชายแข็งทื่อ เย็นชา โหดร้าย ไร้ความปรานี และเข้มงวดจะให้ความสนใจเธออย่างละเอียดอ่อนเช่นนี้หรอก
แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ
เธอได้แต่คิดว่าช่วงเวลาที่บังเอิญนี้คือโชคจากสวรรค์ที่ประทานพรให้
เมื่อเบิร์กละมือจากอาหาร ทำให้บรรยากาศมื้ออาหารได้สิ้นสุดลง
และด้วยเหตุนี้ กิ้บสันจึงหยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมาพูดคุย
“…พรุ่งนี้งานแต่งงานจะดำเนินไปยังไงหรือ? พวกมนุษย์ก็ต้องมีวัฒนธรรมของตนเองใช่ไหม?”
อดัมตอบคำถามของกิ้บสันด้วยคำถามเช่นกัน
“แล้วชนเผ่ามนุษย์หมาป่าจัดงานแต่งงานยังไงเหรอคัรบ? ผมรู้ว่าคุณมีพิธีที่เรียกว่า 'พันธะแห่งจิตวิญญาณ' ใช่ไหม?”
เนอร์แอบกัดริมฝีปาก
หากมีการกล่าวถึงคำว่า "พันธะแห่งจิตวิญญาณ" มันย่อมจำเป็นต้องทำโดยไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว
เธอหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องนี้ เธอหวังว่าตัวเธอจะข้ามพิธีกรรมนี้ไปได้ แต่เมื่อมันมาถึงจุดนี้แล้ว เธอคงได้แต่ต้องยอมแพ้
กิ้บสันจึงกล่าวต่อไปว่า
“เรามีขั้นตอนการทำพิธีพันธะแห่งจิตวิญญาณในระหว่างกระบวนการแต่งงานของเรา”
อดัมสนใจเรื่องนั้น
"อ๋อ ผมเข้าใจแล้วครับ แล้วมันทำยังไงบ้างเหรอ?”
“มันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของงานแต่งงานของมนุษย์หมาป่า พิธีกรรมนี้ต้องทำร่วมกันเพียงสองคนในเวลากลางคืน ทำในส่วนลึกของป่า พวกเขาทั้งสองจะคุกเข่าพร้อมกับต้นไม้ที่พวกเขาเลือกให้เป็นพยาน เกี่ยวหางของพวกเขาเข้าด้วยกัน และสาบานกับดวงจันทร์ พวกเขาทั้งสองจะสัญญาว่าจะเป็นพลังให้กันและกัน รักกันตราบชั่วนิรันดร์ เป็นคำสาบานอันศักดื์สิทธิ์”
กิดอนกล่าวเพิ่มเติม
“ความหมายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของต้นไม้ ต้นสนเป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคง ต้นโอ๊กเป็นตัวแทนของความไว้วางใจที่ไม่เปลี่ยนแปลง และต้นเบิร์ชเป็นตัวแทนของความยืดหยุ่นและการคำนึงถึง... ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นายให้คุณค่าหลังการแต่งงาน”
อดัมหัวเราะ
"เป็นความคิดที่ดี. แต่… แล้วคู่ที่ไม่มีหางล่ะครับ?”
กิ้บสัน ได้ตอบกลับ
“ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีกรรมเชื่อมพันธะแห่งจิตวิญญาณจะต้องได้รับการแก้ไขเองโดยทั้งสองผู้ซึ่งจะกลายเป็นคู่รักกันอย่างสมบูรณ์ มันเป็นประเพณีที่บ่งบอกถึงการแก้ปัญหาในอนาคตร่วมกัน ในฐานะคู่รัก… ดังนั้นส่วนนั้นควรให้กับเบิร์กและเนอร์เป็นผู้คิดหาวิธีเอง”
กิดอนพูดอีกครั้ง
“เมื่อฉันผูกดวงวิญญาณกับภรรยา จู่ๆ ก็มีหมีตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในป่า ฉันต้องฆ่ามันเพื่อภรรยาของฉัน”
ตอนนี้เอง กิ้บสันก็ได้ถามคำถามอีกครั้ง
“แล้ววัฒนธรรมของมนุษย์ล่ะ?”
“เราจัดงานเลี้ยง เราแบ่งปันอาหารกับคนมากมายและรับคำอวยพรจากพวกเขา นอกจากนี้เรายังสาบานว่าจะรักกันต่อหน้าคนเหล่านั้น แลกแหวนที่นิ้วที่สี่ และก็...ค้างคืนแรกด้วยกัน”
ใจของเนอร์แทบตกลงตาตุ่มเมื่อมีการเอ่ยถึงคำว่าคืนแรก
เธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
เธอหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์
“สวมแหวนที่นิ้วที่สี่…อืม นั่นหมายความว่ายังไงหรือ?”
“มันแสดงถึงคำมั่นสัญญาแห่งความรัก มันเป็นประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน ดังนั้นผมจึงไม่เคยคิดถึงความหมายอันลึกซึ้งของมันเลย”
"อย่างไรก็ตาม สำหรับมนุษย์หมาป่า คืนแรกจะตามมาหลังพิธีพันธะแห่งจิตวิญญาณ”
“ถ้าอย่างนั้น เราควรปฏิบัติตามธรรมเนียมของเราในพิธีแต่งงานครั้งแรกและทำพิธีพันธะแห่งจิตวิญญาณในภายหลังดีหรือเปล่า? เนื่องจากวัฒนธรรมของเราทับซ้อนกัน มันย่อมไม่มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว”
กิ้บสันพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม ทำเช่นนั้นก็ดี”
เมื่อสถานการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ หัวใจของเนอร์ก็หนักอึ้งกว่าที่เคยเป็นมา
อดัมพูดขึ้นต่อ
“ทว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ผมไม่คิดว่าเราจะสามารถจัดงานเลี้ยงที่หรูหราได้ ดูเหมือนว่าเราคงได้แค่เลี้ยงของว่างและเครื่องดื่มง่ายๆ เท่านั้น”
“ส่วนนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง ฉันจะปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของนายแล้วกัน”
“ฮ่าฮ่า ก็ดีครับ”
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่พวกเขาประสบอยู่ เนอร์เองก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะมีงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน
อีกทั้งตัวเธอมันก็แค่สิ่งที่ถูกขายไป…
งานแต่งงานย่อมเป็นเพียงเหมือนกระบวนการส่งมอบเท่านั้น
ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากกับมันเลย
แต่เนอร์เองก็เคยอยากรู้สึกโรแมนติกในงานแต่งงานของเธอเช่นกัน
ทำให้การต้องมาจัดงานแต่งแบบนี้...มันทำให้เธอเสียใจและเจ็บปวดมากเกินพอเลย
ไม่สิ ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานแบบไหน มันก็คงจะแย่เหมือนกันถ้าอีกฝ่ายเป็นทหารรับจ้างที่เป็นมนุษย์
ทันทีที่แผนงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้ได้ข้อสรุป กิ้บสันก็กล่าวว่า
“เอาล่ะ ถ้าเราทานอาหารกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายไปพักผ่อนเลยไหม?”
อดัมพยักหน้า
“ครับ เป็นความคิดที่ดี ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญ เราแยกย้ายไปพักผ่อนให้เต็มที่กันดีกว่า”
เมื่อเป็นเช่นนั้น การสนทนาก็จบลง และพวกเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทีละคน
เนอร์เองก็ลุกขึ้นยืนเงียบๆ
เบิร์กและอดัมที่เป็นแขกเดินออกจากที่นั่งไปก่อน
อดัมโค้งคำนับอย่างสุภาพแล้วพูดว่า “เราจะไปแล้ว ขอบคุณมากที่ให้เกียรติเชิญเรามาร่วมรับประทานอาหารครับ”
กิ้บสันตอบด้วยความสุภาพว่า “ยินดี”
เนอร์แอบเหลือบมองเบิร์กอีกครั้ง
และดวงตาของเธอก็ประสานกับเบิร์กที่กำลังจ้องมองเธออยู่
ร่างกายของเนอร์สั่นเทา
ทว่าเบิร์กกลับเพียงก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไม่นานเขาก็หันหน้าไป
อดัมและเบิร์กจากไปแล้ว
มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้อง และกิ้บสันก็ถอนหายใจยาวออกมา
มันเป็นการถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แม้เพียงปรายตามองก็รับรู้ได้
“…เธอต้องแสดงความรังเกียจขนาดนั้นออกมาเลยเหรอ?”
กิดอนเยาะเย้ยและพูดกับเนอร์
“…กิดอน หยุดเถอะ”
กิ้บสันห้ามกิดอน แต่พี่ชายของเนอร์ไม่หยุด
“เธอชักมือออกจากคนที่ทักทาย เธอไม่ได้พูดอะไรตลอดมื้ออาหารและนั่งอยู่ที่นี่ด้วยสีหน้าเศร้าโศก มันจะไปสร้างความสัมพันธ์อันดีได้ยังไงกันเล่า? หรือเธอต้องการที่จะทำลายการเจอกันครั้งนี้เพื่อยุติการแต่งงานและนำไปสู่จุดจบของตระกูลแบล็ควูด?”
“กิดอน…!”
ด้วยการตำหนิอย่างรุนแรงของกิ้บสัน ในที่สุดกิดอนก็ได้แต่ปิดปากของเขาทันที
“…”
เนอร์ไม่สามารถปฏิเสธอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เธอรู้อยู่แล้ว
เธอรู้ว่าเธอทำอะไรไม่ได้เลยตลอดมื้ออาหารนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรที่จะทำให้เบิร์กชอบเธอด้วยซ้ำ
แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะเธอกลัวเบิร์กมาก
เนื่องจากมีอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องของการแต่งงานครั้งนี้จึงทำให้เธอเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เพราะนิสัยที่เย็นชาของเขา เธอจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ด้วยบรรยากาศที่อึดอัด เธอจึงไม่สามารถพูดได้สักคำเดียว
มันก็เหมือนกับความสงบก่อนเกิดพายุไต้ฝุ่น ท่าทางที่เงียบสงบของเขาดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุถึงอนาคตที่แสนยากลำบากที่กำลังรอคอยเธออยู่
แขนของเขาที่ยังคงมีรอยแผลเป็นยังดูใหม่อยู่ ทำให้เธอนึกถึงการต่อสู้หลายครั้งต่อหลายครั้งของเขา
เขาต้องต่อสู้กี่ครั้งถึงมีรอยแผลเป็นบนแขนมากมายขนาดนี้?
เขาใช้แขนของตนเพื่อฆ่าคนไปกี่คนแล้ว?
ทหารรับจ้างย่อมมีนิสัยที่ไม่แตกต่างกันนักหรอก
“ทั้งสองคนเข้าไปข้างในเถอะ”
ในบรรยากาศที่กำลังคุกรุ่นนั้น กิ้บสันก็เริ่มพูดกับพวกเขาก่อน
กิดอนถอนหายใจและหันหลังออกไปก่อน ตามมาด้วยเนอร์
เนอร์มองดูหางสีขาวของเธอครู่หนึ่ง
เหล่าสาวใช้หวีมันด้วยน้ำมันกลิ่นกุหลาบอย่างขยันขันแข็ง แต่พอมองดูหางเธอครั้งนี้ มันกลับดูน่าเกลียดยิ่ง
เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกไร้ประโยชน์
ขณะที่พวกเขาออกจากห้อง คนรับใช้และสาวใช้ก็เดินตามหลังทั้งสองอย่างใกล้ชิด
เนอร์อยากกลับห้องเร็วๆ แล้ว
เธออยากกลับไปและไตร่ตรองถึงวันที่ยากลำบากอีกวันและมองดูดวงจันทร์ที่เป็นที่คอยปลอบประโลมใจเธอ
แต่เนื่องจากกิ้บสันไม่ได้อยู่ที่นั่น การพูดจาเสียดสีจากกิดอนจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เนอร์ได้แต่กัดริมฝีปากของเธออย่างอดทน
"เธอมันไร้ประโยชน์ แค่ยอมสละอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนการสละชีวิตแม่เธอก็ยังทำไม่ได้เลย”
“…”
“เธอน่ะมันน่าผิดหวังอยู่เสมอเลยนะ เหตุผลที่พี่น้องคนอื่นเกลียดเธอ รู้ไหมว่ามันมากกว่าแค่เรื่องแม่?”
“…”
“เธอคิดวางแผนที่จะใช้ชีวิตแบบนี้นานแค่ไหน…ต่อให้เธอจะไม่ได้เกิดมาเป็นคนในตระกูลแบล็ควูดก็…”
ตึ้ก
เสียงฝีเท้านั้นได้หยุดกิดอน รวมทั้งเนอร์และกลุ่มสาวใช้ที่ติดตามพวกเขาไว้
เนอร์มองไปข้างหน้า
และสิ่งที่เธอเห็นคือร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
เธอเห็นเพียงครึ่งล่างเท่านั้นที่ได้รับแสงสว่างจากแสงจันทร์ ทำให้ไม่สามารถระบุได้เลยว่าเขาเป็นใคร
กิดอนยังจ้องมองไปที่ร่างนั้นเพื่อพยายามระบุตัวตนของอีกฝ่าย
ตึก ตึก
ร่างนั้นเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
ในแต่ละย่างก้าว ใบหน้าของเขาที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็เผยให้เห็นทีละน้อย
"…อา"
เนอร์ถอนหายใจเล็กน้อย เพราะเธอจำเขาได้
เขาคือเบิร์ก
เขาเดินผ่านคฤหาสน์เพียงลำพัง อาจจะแยกตัวออกจากอดัมมา
เนอร์มองดูสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของเบิร์ก
'เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดเลยหรือเปล่านะ?'
เนอร์รู้สึกอายเป็นอย่างมาก
ไม่มีอะไรน่ากังวลไปกว่าการแสดงด้านไม่พึงประสงค์แก่คนที่ตัวเองไม่ชอบอยู่แล้ว
“…รองกัปตัน”
กิดอนร้องเรียกเบิร์ก
“…ทำไมนายถึงกลับมาอีกล่ะ?”
เบิร์กสังเกตทั้งสองคนอย่างเงียบๆ ทว่ากลับไม่ตอบกลับอะไร
เขามองไปทางกิดอน จากนั้นก็มองไปทางเนอร์และกลับมาที่กิดอนอีกที
เป็นอีกครั้งที่เธอไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เบิร์กคล้ายสร้างบรรยากาศที่น่าขนลุกด้วยความเงียบของเขา
กิดอนจึงยังพูดกับเขาต่อไป
“…ถ้านายต้องการอะไร ก็บอกมาได้เลยนะ…”
คำพูดของกิดอนแฝงไปด้วยอารมณ์เล็กน้อย
ท่าทางของกิดอนต่างจากท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวายามอยู่บนโต๊ะอาหาร ราวกับเขากำลังเตือนเบิร์ก
มันเหมือนจะเป็นการบอกกลายๆ ว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องครอบครัว
เบิร์กยืนนิ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาถอนหายใจและเข้าไปหากิดอน
“…ผมกำลังมองหาทางไปห้องน้ำ”
“ไมลส์ พารองกัปตันเบิร์กไปที่ห้องน้ำที”
กิดอนพูดอย่างเย็นชา
คนรับใช้ชื่อไมลส์ปรากฏตัวจากด้านหลัง
“เชิญทางนี้ค่ะ รองกัปตันเบิร์ก”
“…”
คราวนี้แทนที่จะโต้ตอบอะไร เบิร์กยังคงมองไปที่กิดอนต่อไป
ทั้งสองจ้องมองอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งจบลงด้วยการที่เบิร์กเดินตามสาวใช้ที่ชื่อไมลส์ออกไปก่อน
เบิร์กเดินออกไปในทิศทางตรงกันข้าม
เนอร์มองดูแผ่นหลังของเบิร์ก ขณะที่เขาเคลื่อนตัวออกไปตามกิดอนไป
“…รองกัปตัน”
จากนั้นกิดอนก็ตะโกนเรียกเบิร์ก
เบิร์กหันกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง
กิดอนพูดกับเขาราวกับกำลังพยายามระบายความรู้สึกไม่สบายใจที่หลงเหลืออยู่
“มนุษย์หมาป่าไม่ชอบให้ใครมาแอบฟังหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว”
“…”
“…มันคงจะดีถ้านายรับรู้เรื่องนี้เอาไว้”
“…”
เบิร์กเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ
แล้วเขาก็เดินตามไมลส์และหายไปจากสายตา
****
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เนอร์ก็นั่งบนเตียงและมองดูดวงจันทร์อีกครั้ง
ภาพของเบิร์กยังคงอยู่ในใจของเธอ
เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขาถูกสลักไว้ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกฝังไว้ภายในใจของเธอ
เธอไม่รู้ว่าตอนไหนเธอจะได้รู้จักกับตัวตนของเขาและสามารถรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับทหารรับจ้างกลุ่มนี้ได้
ดูเหมือนอนาคตอันโหดร้ายกำลังรอเธออยู่
วันคืนอันแสนทรมานก็หมดไปอีกวันแล้ว เนอร์เงยหน้าขึ้นเพื่อพูดกับดวงจันทร์
“เป็นอย่างที่ไลลาบอกเลย…เขาเย็นชาและนิ่งเฉย ฉันกลัวเหลือเกินว่าฉันอาจจะค้นพบด้านที่โหดร้ายของเขาในภายหลัง เขาไม่ได้สนใจฉันด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจจะไม่ชอบผู้หญิงเลย ฉันควรเรียกสิ่งนี้ว่าดีหรือไม่ดีกันนะ?”
ในด้านที่ดี เขาอาจจะไม่ให้ความสนใจเธอ แต่ในด้านที่ไม่ดี เธออาจกลายเป็นเครื่องมือระบายความโกรธของเขา
เนอร์พันหางรอบตัวเองโดยสัญชาตญาณ
กลิ่นกุหลาบที่เล็ดลอดออกมาจากหางของเธอทำให้จิตใจวิตกกังวลของเธอสงบลง
เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาลง
จากนั้นช่วงเวลาที่กิดอนตำหนิเธอต่อหน้าเบิร์กก็เข้ามาในใจเธอ
เธอคิดถึงภาพที่น่าอับอายนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และเธอก็พูดคุยกับคู่ครองในพรหมลิขิตของเธอ
“…ถ้าเป็นคุณ คุณจะปกป้องฉันจากพี่ชายของฉันในตอนนั้นไหมคะ?”
แค่พระจันทร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเช่นเคย