บทที่ 15 เทคนิคการคิดหัวข้อและขยายประโยค (2)
บทที่ 15 เทคนิคการคิดหัวข้อและขยายประโยค (2)
ในบทความที่แล้ว เรื่องการขยายประโยค บางทีบางคนอาจยังสับสนอยู่บ้างหลังจากได้อ่านแล้ว ดังนั้นบทความต่อเนื่องนี้จะช่วยอธิบายพร้อมกับตัวอย่างตั้งแต่เริ่มต้นทำจนจบกระบวนการ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เรามาเริ่มกันที่ “ตัวละครหลักมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ” ขั้นแรกคือคิดถึงว่าเขาควรแข็งแกร่งด้านใด
สำหรับตัวอย่างนี้ ลองใช้แบบธรรมดามากที่ใช้กันทั่วไป “ตัวละครหลักมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อด้านการต่อสู้” ความแข็งแกร่งของตัวละครหลักของคุณไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นนวัตกรรมแปลกใหม่ตื่นตะลึงทั้งวงการแต่อย่างใด
ขั้นที่สอง ทำไมตัวละครหลักของคุณถึงแข็งแกร่งด้านการต่อสู้?
เมื่อลองพิจารณาดู จะรู้ว่ามันดีกว่าอยู่แล้ว ถ้าจะมีไอเดียสดใหม่มาปรับใช้ แน่นอนว่าคำว่าสดใหม่นั้น มันสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณจะอ้างอิงเปรียบเทียบเท่านั้น เนื่องจากธรรมชาติที่แท้จริงนั้น เราไม่สามารถหนีไปจากความซ้ำซากได้ สิ่งที่เราทำได้คือปรับแต่งหน้าตาเปลือกนอกที่ยังไม่เคยใช้มาก่อนสวมลงไปในความซ้ำซากนั้น
ลองใช้ความซ้ำซากแบบธรรมดาดู อย่างเช่น “ตัวละครหลักมีอาจารย์ที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ”
แล้วคราวนี้ลองปรับหน้าตาของความซ้ำซากนี้ด้วยโฉมใหม่ ที่ทำให้ผู้อ่านคิดไม่ถึงว่าคุณกำลังใช้ไอเดียที่ซ้ำซากอยู่ และคราวนี้เปลือกนอกแบบไหนที่เราควรสวมใส่ให้มันดี?
เราลองให้อาจารย์ของตัวละครหลักเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด หรือเป็นวิญญาณอาจารย์มาสิงร่างคนอื่นอีกที? ไอเดียแบบนี้ค่อนข้างน้อย แต่หากคุณคิดดีๆ จะพบว่า แค่เฉพาะตอนแรกเท่านั้นที่ผู้อ่านจะคิดว่าเป็นการนำเสนอที่สดใหม่ หลังจากนั้นเรื่องก็จะกลับมาดำเนินไปแบบที่ต้องพึ่งพาเงื่อนไขการกลับชาติมาเกิดที่ซ้ำซากเหมือนเดิม เมื่อความรู้สึกสดใหม่จางหายไปแล้ว คุณจะรู้สึกว่า ใช้ตัวละครหลักเป็นคนกลับชาติมาเกิดเองเลยก็ได้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลองให้เป็นปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์ทรงพลังเข้าสิงตัวละครหลัก แล้วปีศาจก็กลายเป็นอาจารย์ของเขา? แบบนี้ก็ใช้ได้ และนี่อาจดีกว่าตัวอย่างก่อนหน้าเสียอีก แต่มันก็ไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นกับสิ่งนี้แต่อย่างใด
ถ้าอย่างนั้นลองให้ตัวละครหลักได้รับความรู้พิเศษจากมนุษย์ต่างดาว หรือตำราโบราณ หรืออาจารย์เดรัจฉานเทพที่ดุร้าย หรือแม้กระทั่งตัวเขาเองในอนาคตมาเยี่ยมเขาและสั่งสอนวิชาตัวเขาเอง...
ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น ตัวอย่างเช่น ได้รับการสอนจากตัวเขาเองจากอนาคตก็พอใช้ได้ แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ยังเป็นชนิดย่อยของประเภทกลับชาติมาเกิดอยู่ดี
หลังจากที่เราใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ลองกำหนดค่าให้ “ตัวละครหลักมีความสามารถพิเศษในการมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตในบางสถานที่ที่กำหนดเท่านั้น”?
หากสร้างเงื่อนไขอย่างนี้ ตัวละครหลักจะสามารถมีสุดยอดอาจารย์สอนวิชาได้อย่างนับไม่ถ้วน
ยกตัวอย่าง สำนักแห่งหนึ่งมีสุดยอดปรมาจารย์สอนวิชาที่นี่ และตัวละครหลักอาจเป็นเด็กชายทำงานทำความสะอาดให้สำนัก หลังจากที่อาจารย์สอนลูกศิษย์เสร็จแล้ว เมื่อทุกคนออกจากพื้นที่ฝึกวิชาไป หลังจากนั้นเมื่อเด็กชายทำงานของเขาเสร็จ เขาก็จะไปที่บริเวณฝึกวิชา และใช้พลังพิเศษ ดูอาจารย์สอนวิชาในเวลาก่อนหน้านั้น
หรือเขาอาจไปที่บริเวณลานต่อสู้ของจอมยุทธยอดฝีมือ และได้เห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างใกล้ชิด ได้เรียนรู้วิชาวิทยายุทธใหม่ที่เขาไม่สามารถหาได้จากที่ใด...
หรือเด็กคนนี้อาจไปในสถานที่แห่งหนึ่งและได้รับพลังลึกลับเทคนิคการมองเห็นอดีต...
โอกาสมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนปาฏิหาริย์สามารถเกิดกับตัวละครหลักได้ เมื่อครอบครองพลังเช่นนี้ นี่เท่ากับว่าตัวละครหลักมีสุดยอดปรมาจารย์อย่างนับไม่ถ้วนเป็นผู้สอนวิชาให้เขา
อีกทั้งจะเป็นการดีที่สุดที่ตัวละครหลักสามารถเพิ่มระดับพลังความสามารถนี้ไปด้วย บางทีตอนเริ่มแรกเขาอาจจะแค่มองเห็นกลับไปแค่ไม่กี่นาทีในอดีต ซึ่งความสามารถจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อตัวละครหลักแข็งแกร่งขึ้น เขาจะเริ่มเห็นอดีตกลับไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเหล่าปีศาจในตำนาน ซึ่งช่วยให้เขาได้เรียนและพัฒนาฝีมือด้านการทำลายล้างอีกด้วย
และตอนนี้เราก็มีเหตุผลที่ดีแล้ว สำหรับให้ตัวละครหลักมีความแข็งแกร่ง “เพราะว่าตัวละครหลักได้พลังความสามารถในการมองกลับไปในอดีต ทำให้เขามีความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้อย่างเหลือเชื่อ”
ขั้นต่อไปคือสร้างเป้าหมายของตัวละครหลัก
คุณสามารถใช้วิธีซ้ำซากในการเลือกเหตุผลธรรมดาว่าทำไมตัวละครหลักต้องการมีความแข็งแกร่ง หรือคุณจะสร้างภูมิหลังของตัวละครหลักโดยเฉพาะ และสร้างเป้าหมายที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับเขาเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น คุณอาจเขียนว่าครอบครัวของตัวละครหลักตกอยู่ภายใต้คำสาปประหลาดบางอย่าง ครอบครัวของเขามีทายาทเพื่อสืบทอดตระกูลได้เพียงคนเดียวในทุกรุ่น และผู้ชายในตระกูลที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 40 ปี เงื่อนไขนี้จะทำให้ตัวละครหลักต้องออกเดินทางค้นหาคำตอบเพื่อที่จะช่วยทั้งชีวิตเขาเองและลูกหลานในอนาคต
เหตุผลนี้สามารถกลายเป็นเป้าหมายของตัวละครหลักได้แน่นอน นั่นคือ ค้นหาแหล่งที่มาของคำสาปของตระกูลเขาและวิธีถอนคำสาป
ยกตัวอย่าง ตัวละครหลักรู้ว่ามีปราสาทลอยฟ้าที่มีวิหารลึกลับตั้งอยู่ที่นั่น ตามตำนานกล่าวว่าวิหารนี้ครอบครองความรู้ทั้งหมดในโลกไว้ และสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถาม อย่างไรก็ตาม มีแค่บุคคลระดับนักบุญขึ้นไปเท่านั้นที่อนุญาตให้เข้าไปได้ และแต่ละคนสามารถถามได้เพียงคำถามเดียว
ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวทั้งหมดนั้น ทำให้เราได้เป้าหมายก้าวแรกของตัวละครหลักแล้ว คือเขาจำเป็นต้องเพิ่มระดับพลังให้ได้ระดับนักบุญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ก่อนที่เขาจะมีอายุ 40 ปี หรือแม้กระทั่ง 30 และเข้าไปที่วิหารลอยฟ้าให้ได้
ถึงตอนนี้คุณลักษณะของตัวละครหลักที่คุณตั้งค่าไว้ก็สมบูรณ์แล้วไปกว่าครึ่ง
เขามาจากตระกูลที่เล็กมากเนื่องจากมีคำสาปลึกลับครอบงำอยู่ พ่อเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว สำหรับแม่ของเขาจะอยู่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการให้เรื่องดำเนินไปทางไหน
มันจะดีมากถ้าคุณออกแบบให้นิสัยตัวละครหลักของคุณไม่เป็นคนยอมแพ้อะไรง่ายๆ และมีพื้นฐานความเมตตาเป็นนิสัยก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
หากใช้พื้นฐานพล็อตเรื่องตามที่เราได้ออกแบบมานี้ ตัวละครหลักควรจะมีโอกาสได้รับบทคนรับใช้ หรือแรงงานทำสิ่งเล็กน้อย
ดังนั้น คุณควรเขียนให้เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา เพื่อที่ผู้อ่านจะได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนธรรมดามาก
ด้วยเหตุผลนี้ จะทำให้เขาเหมาะที่จะแกล้งทำเป็นอ่อนแอกว่าความเป็นจริงได้อย่างแนบเนียน
แต่ตัวละครหลักไม่จำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเสมอไป เขาเหมาะที่จะกลายเป็นคนประเภทไม่กลัวอำนาจปกครองจากใครๆ ได้มากกว่า เพราะว่าเขาสามารถมองย้อนอดีตที่การต่อสู้ของศัตรูของเขา และหาจุดอ่อนและข้อด้อยของศัตรูได้ ดังนั้นเขียนให้เขาเป็นคนที่ชอบท้าทายคนที่แข็งแกร่งจะเหมาะทีเดียว
สำหรับด้านความรักโรแมนติก หัวข้อนี้เหมาะมากที่จะพูดเรื่องการให้ผู้หญิงตกหลุมรักเขา บางทีผู้หญิงอาจจะสนใจระดับพลังและความเมตตาตัวละครหลัก เลยตกหลุมรักเขา แต่ตัวละครหลักมีความกังวลต่อคำสาปของครอบครัวเขา ทำให้เขาไม่กล้าที่จะรับรักหญิงคนใดเลย และนี่ยังสร้างสถานการณ์ที่เหล่าหญิงสาวที่มาชอบเขา ไม่ยอมแพ้ที่จะหาโอกาสได้มาอยู่เคียงข้างเขา
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็น่าจะสรุปการสร้างคุณลักษณะตัวละครหลักได้แล้ว สำหรับกระบวนการที่เขาจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของโครงเรื่องโดยรวม ซึ่งมันจะเขียนไม่ยากอีกต่อไป เพราะคุณได้สร้างหัวข้อเรื่องสำเร็จแล้ว
เขาค้นพบสุดยอดอาจารย์คนแล้วคนเล่าจากการมองไปในอดีตและฝึกฝนวิชาจนเขาเพิ่มระดับพลังขึ้นไปเรื่อยๆ นี่หมายความว่าตัวละครหลักจำเป็นต้องเดินทาง นั่นคือย้ายแผนผังสถานที่การดำเนินเรื่องไปเป็นระยะๆ
อันดับแรก เขาพบอาจารย์ที่ไม่เก่งมาก เช่นอาจารย์จากสำนักฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้ใกล้บ้าน หลังจากเขาได้ฉวยโอกาสจากพลังมองอดีตที่เขามี ฝึกกับอาจารย์คนนี้จนสำเร็จแล้ว ตัวละครหลักก็จะย้ายที่อยู่ ตัวอย่างเช่น ทำงานเป็นคนรับใช้ที่สำนักฝึกวิชาระดับสาม... หลังจากนั้นก็จากไป และไปพบอาจารย์ที่เก่งยิ่งขึ้นไปอีก
ใช้หัวข้อเริ่มต้นที่กล่าวทั้งหมดนี้เป็นแก่นแท้ของเรื่อง บวกกับตัวละครหลักเพิ่มระดับพลังเป็นระยะๆ มีการปะทะฝีมือกับศัตรู พบเพื่อนใหม่หลากหลาย ค้นพบทรัพย์สมบัติหลายแห่ง ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายแบบ... โครงเรื่องโดยรวมนิยายของคุณจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
หลังจากนั้นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำคือสรุปภูมิหลังเฉพาะบางอย่างของเรื่อง และสรุปข้อมูลชื่อตัวละครหลัก อายุ บุคลิกของเหล่าตัวละครนำรอง และสรุปข้อมูลเฉพาะบางอย่างในโครงเรื่องโดยรวม และจัดการสิ่งเล็กน้อยที่ยังตกค้างให้เรียบร้อย
กระบวนการทั้งหมดมีเท่านี้อย่างแท้จริง สำหรับการเตรียมเขียนนิยายที่มีความยาวประมาณ 2 ล้านถึง 3 ล้านคำ
ถ้าคุณเป็นนักเขียนมือใหม่ หลังจากได้อ่านบทความนี้ คุณยังคิดว่าการหาหัวข้อสำหรับนิยายของคุณ ยากอยู่หรือเปล่า?
..................................................................................