นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 535 - มุ่งหน้าสู่ตระกูลเคียร์ริน
ความคิดของเดวิดยังคงดูสับสนวุ่นวายอยู่เล็กน้อย แม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการสำรวจเอาไว้ล่วงหน้า และเตรียมตัวเอาไว้บ้างบางส่วนแล้ว แต่มันก็ยังไม่พร้อมสรรพดีนัก ระยะเวลาที่เหลืออีกแค่ 3-4 วันถือว่าน้อยเกินไป แผนการหลายอย่างที่วางเอาไว้ต้องยกเลิกไปอย่างไม่มีทางเลือกเลย
หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอยู่ครู่ใหญ่ เดวิดก็พยักหน้าเบา ๆ “เอาล่ะ! แล้วนายต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่? การเชิญให้เข้าร่วมทีมสำรวจ คงไม่ใช่แค่ต้องการให้ฉันไปช่วยหาสมบัติให้แน่”
นายน้อยอลันยิ้มกว้าง “เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ การคุยกับคนฉลาดนี่มันเปลืองแรงน้อยกว่าจริง ๆ หน้าที่หลักในครั้งนี้คือการเข้าไปสำรวจเพื่อเก็บเกี่ยวสมบัติและของมีค่ากลับมาจริง ๆ แต่! นายจะต้องรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันให้ฉันด้วย โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์มันเข้าขั้นวิกฤติขึ้นมา”
คิ้วของเดวิดยังไม่คลายออก “วิกฤติ!? อย่างไรถึงจะเรียกว่าวิกฤติ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าต้องลงมือตอนไหน? มันจะมีอันตรายถึงระดับไหนกัน”
“ยังไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก เมื่อถึงเวลานายก็จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้เอง การสำรวจสนามรบโบราณในครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เหล่าทายาทรุ่นเยาว์ของ 9 ตระกูลใหญ่ต่างก็มีส่วนร่วมในการสำรวจด้วย บอกแค่นี้นายก็คงจะเดาออกแล้วใช่มั้ยว่าเมื่อเข้าไปด้านในมันจะยุ่งเหยิงโกลาหลแค่ไหน การแข่งขันแย่งชิงต้องดุเดือดเข้มข้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเหตุผลให้บรรดาทายาทของตระกูลใหญ่ต่าง ๆ พยายามดึงเหล่ายอดฝีมือให้ร่วมขบวนไปด้วยในฐานะผู้คุ้มกัน คิดเสียว่านายก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยอีกคนก็พอ”
“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่ผู้คุ้มกันคนเดียวที่นายจ้างงาน?”
“แน่นอน! ฉันชื่นชมในความแข็งแกร่งและเชื่อมั่นความสามารถในการป้องกันของนาย แต่! เหล่าผู้คุ้มกันที่เหล่านายน้อยและคุณหนูคนอื่น ๆ เชิญเข้าร่วมขบวนก็คงจะเป็นระดับสัตว์ประหลาดที่ไม่ต่างจากนายมากนัก เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ฉันไม่มีทางเชิญผู้คุ้มกันแค่เพียงคนเดียวอย่างแน่นอน”
เดวิดกระพริบตาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมา มันเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผล ถ้าเป็นเขาก็ไม่มีทางฝากชีวิตไว้กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งแน่นอน
“ถึงตอนนี้! นายตอบรับคำเชิญของฉันแล้วใช่มั้ย?”
“อืม!” เดวิดส่งเสียงคำรามในลำคอออกมาเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบตกลง
“แล้วพวกเราจะออกเดินทางกันตอนไหน?” เขาถามต่อ
บนใบหน้าของนายน้อยอลันในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเริ่มกระซิบบอกข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการที่สำคัญให้กับเดวิดอย่างไม่รอช้าทันที
ตอนที่เดวิดออกจากภัตตาคารมาก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาขึ้นไปนั่งบนเรือเหาะที่ดูคล้ายกับแลมโบกินี่เหาะได้ของตัวเอง และควบคุมให้มันทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องอาหารส่วนตัว นายน้อยอลันยังคงเพลิดเพลินอยู่กันแก้วไวน์ชั้นเยี่ยมในมือ เขายกมันขึ้นจิบอย่างพึงพอใจเป็นระยะ สีหน้าเหมือนกำลังทบทวนแผนการของตัวเองอยู่เช่นกัน
ร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าที่มุมห้อง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับเดินเข้ามาหานายน้อยที่นั่งอยู่กลางห้องอย่างไม่รีบร้อนนัก
“เจ้าเด็กคนนี้ใช้การได้แน่อย่างนั้นหรือ?” เสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบห้าวเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าดูจากการที่กล้าเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์ใหญ่ ฉันคิดว่าเขาก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนักเลย”
“แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนประเภทที่จะรับคำสั่งใครง่าย ๆ แน่”
“เขาแข็งแกร่ง และดูเหมือนว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดี แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วอีกอย่าง เจ้าหมอนี่ต้องการเข้าไปตามหาอาจารย์ของตัวเองในสนามรบโบราณ ยังไงเสียก็ต้องพึ่งพาฉัน เขาไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าขัดใจอย่างแน่นอน
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงแหบห้าวจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“วางแผนการใส่คนแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเจ้าเด็กนั่นรู้ความจริงขึ้นมา ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งสนุกไม่ใช่หรือยังไง?” ดวงตาของนายน้อยอลันทอประกายสีม่วงเจิดจ้าออกมา
...
เดวิดกลับเข้ามาอยู่ในห้องพักตัวเองอีกครั้ง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ สมองกำลังใช้ความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อีกครั้ง
เป็นธรรมดาที่เดวิดจะไม่ได้เชื่อกับคำพูดอีกฝ่ายแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาไม่ใช่เด็กที่ไร้เดียงสาขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ ข้อมูลทั้งหมดชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจารย์ของตัวเองอยู่ในสนามรบโบราณแห่งนั้น เวลาที่มีแค่ 3-4 วันที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอให้เดวิดตามหาตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นอีก นายน้อยอลันเป็นตั๋วเข้าไปด้านในเพียงใบเดียวที่มีอยู่ในมือตอนนี้
หลังจากที่เข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร? นั่นก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของนายน้อยหลงตัวเองผู้นี้แล้ว ถ้าเป็นเด็กดี เดวิดก็อาจจะช่วยปกป้องชีวิตให้ตามที่รับปากเอาไว้ แต่ถ้าไม่! เขาก็ไม่ลังเลที่จะจัดการให้อีกฝ่ายเป็นศพเฝ้าสนามรบโบราณเลย
เดวิดตรวจสอบสภาพร่างกายและความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างรอบคอบ ทางเลือกในการฝึกฝนช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 1-2 วันมีไม่มากนัก ตัดทักษะกายาเทวราชทิ้งไปได้เลย เขาไม่คิดที่จะเสี่ยงกับจิตวิญญาณแห่งโลกอีกครั้ง ก่อนที่จะยกระดับเป็นอาตมันได้ เดวิดไม่คิดจะขัดใจจิตวิญญาณเก่าแก่ขี้เหนียวใจแคบตนนี้อีก ทักษะการฝึกฝนคลื่นสมองอื่น ๆ ก็ดูจะไร้ประโยชน์ ทักษะระดับปฐพีชั้นสูงที่ฝึกสำเร็จล้วนเกินกว่าระดับสมบูรณ์แบบไปแล้ว การฝึกทักษะใหม่ไม่น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการผจญภัยระดับสูงแบบนี้ได้ดีเท่าไรนักเลย
ร่างแวมไพร์? ร่างมนุษย์หมาป่า? ร่างผสม? และสุดท้าย! ร่างมังกร!!? เดวิดหลับตาส่งจิตสำนึกตัวเองเข้าไปในโครงข่ายดีเอ็นเอรอบหนึ่ง ก่อนจะลืมตากลับขึ้นมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด จุดเด่นที่สุดในตอนนี้ของตัวเองคือร่างกายที่แข็งแกร่งจากทักษะระดับสวรรค์ และดูเหมือนว่ามีเพียงร่างมังกรเท่านั้นที่จะเสริมจุดนี้ได้รวดเร็วที่สุด
เขาหลับตาลงอีกครั้ง กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเริ่มสั่นไหวเบา ๆ เลือดถูกบังคับให้สูบฉีดเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายตามทิศทางและตำแหน่งที่ต้องการ เดวิดตัดสินใจที่จะฝึกฝนทักษะกลั่นร่างมังกร ถ้ายกระดับร่างมังกรของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในระดับ 4-5 ยีนได้เป็นอย่างน้อย แค่เกล็ดของมันก็จะเพิ่มพลังป้องกันให้ได้อีกอย่างมหาศาลแล้ว
.........
ช่วงเช้าของอีก 2 วันถัดมา
เดวิดบังคับให้ ‘แลมโบกินี่ลอยฟ้า’ ของตัวเองร่อนลงจอดที่ลานจอดเรือเหาะส่วนตัวที่อยู่ลึกเข้ามาทางด้านหลังสถาบัน ก่อนจะเก็บมันเข้าไปไว้ในแหวนเก็บของอย่างถนุถนอม เมื่อเงยหน้ากวาดสายตามองดูสถานการณ์รอบ ๆ เขาก็กระตุ้นให้ตัวเองตื่นตัวเตรียมพร้อมขึ้นมาเล็กน้อยทันที
ศาสตราจารย์ใหญ่ลอยตัวมองจ้องมาทางนี้อยู่อย่างเงียบ ๆ บนก้อนเมฆที่อยู่ห่างไกลออกไป เหล่าศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนก็ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าในตำแหน่งต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน สภาพของพวกเขาไม่ต่างจากการล้อมลานจอดเรือเหาะแห่งนี้เอาไว้อย่างแน่นหนาเลย
เดวิดเลิกคิ้วขึ้นอย่างสับสน มันไม่มีจิตสังหารปรากฏออกมาให้สัมผัสได้เลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะมาล้อมจับตนเอง แล้วออกมากันทำไม? ตาแก่ยายเฒ่าพวกนี้ว่างงานกันนักหรือ? ทำไมไม่ไปทำวิจัยหรือสอนนักเรียนไปตามเรื่องตามราว ออกมาทำอะไรกันที่นี่?
เขาก้มหน้ากลับลงมามองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงบันไดขึ้นเรือเหาะขนาดใหญ่ คิ้วเลิกสูงขึ้นมากไปยิ่งกว่าเดิมอีก 1 เท่าตัว เรือเหาะลำนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับตึกทั้งหลังเลยทีเดียว นายน้อยอลันยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นพร้อมกับผู้คุ้มกันที่เดวิดไม่เคยเห็นหน้าอีก 2 คน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรออยู่ได้สักครู่หนึ่งแล้ว
“ไม่ต้องตกใจไป! พวกเขาแค่มายืนยันว่าฉันเดินทางออกไปจากที่นี่โดยปลอดภัยเท่านั้น” นายน้อยของตระกูลเคียร์รินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
เดวิดพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าหนึ่งในทายาทของ 9 ตระกูลใหญ่เป็นอะไรขึ้นมาในเขตสถาบัน เรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นไม่น่าจะรับมือได้ง่ายดายนัก ถ้าเป็นเขาก็คงมาดูให้แน่ใจว่า ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ได้ไสหัวออกไปจากอาณาเขตของตัวเองอย่างไร้รอยขีดข่วน
“ไปกันเถอะ” นายน้อยอลันกล่าวชวนออกมาแบบเรียบง่าย และเดวิดก็ขยับเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่รีรอเช่นกัน
เขาชะงักเท้าลงเล็กน้อยเมื่อเห็นการตกแต่งที่หรูหราโอ่อ่าภายในห้องโดยสาร พรมที่ปูอยู่บนพื้นอย่างงดงามทอประกายสีทองแวววาว ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่านี่เป็นพรมที่ใช้ด้ายทองบริสุทธิ์เป็นส่วนประกอบสำหรับทอมันขึ้นมา เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะรับแขก โซฟาที่วางอยู่เลิศหรูดูดี นี่มันไม่ใช่ห้องโดยสารเลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นห้องรับแขกในคฤหาสน์ชัด ๆ
เดวิดขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องนั่งอยู่ในนี้ตลอดการเดินทาง เขาไม่อยากที่จะต้องเสวนาพาทีกับนายน้อยคนนี้นัก โชคดีที่มันไม่ได้เป็นอย่างคิดเอาไว้ นายน้อยอลันพยักหน้าให้สาวใช้เดินนำพาเดวิดเข้าไปสู่ในห้องพักส่วนตัวที่หรูหราไม่แพ้กันทันที
“นายพักผ่อนให้ดี! พวกเราจะไปถึงตระกูลเคียร์รินพรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ”...