ตอนที่ 32 แม่ทัพแห่งแคว้นจิน
ในห้องโถงหลักของสำนักสี่กระบี่อัสนี นักพรตสี้จือมองไปที่ฝูงชนอย่างใจเย็น.
“งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับ โรงเรียนสิบแคว้นมากนัก แต่ข้าได้รับรายงานลับมาว่า แคว้นจิน ได้ส่งปรมาจารย์กระบี่นับร้อยคนมาเพื่อตรวจสอบสองเรื่อง”
“เรื่องแรกคือเรื่องของแจกันเจ็ดสมบัติที่หายไป”
“เรื่องที่สองนั้นเกี่ยวกับโรงเรียนแคว้นจิน”
“โรงเรียนสิบแคว้นกำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ และยอดฝีมือของทั้งสิบแคว้นจะถูกเลือก ทว่านั่นจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง. นอกเหนือจากลูกศิษย์สำนักในบางคนที่แคว้นจินได้ตัดสินใจส่งไปแล้วฮ่องเต้แห่งแคว้นจินวางแผนที่จะเลือกเด็กที่มีแววบางส่วน เพื่อให้เข้าร่วมโรงเรียนแคว้นจินด้วย.”
“ในเวลาประมาณหนึ่งปี ยอดฝีมือที่แท้จริงสิบคนจะได้รับการดูแลและถูกส่งไปยังโรงเรียนสิบแคว้น”
นักพรตสี้จือบอกพวกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่างชัดเจน.
ทุกคนในห้องโถงหลักดูตกตะลึงอย่างมาก
“เจ้าสำนักขอรับ แปลว่าราชสำนักของแคว้นจินจะส่งยอดฝีมือเต๋ากระบี่เพื่อมาตรวจสอบและเฝ้าดูงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว ในครั้งนี้และจะเลือกเด็กที่มีแววไปงั้นหรือขอรับ?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งถาม.
"ใช่แล้ว." นักพรตสี้จือพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “นอกจากนี้ ข้ารู้แล้วว่าเป็นใคร”
นักพรตสี้จือกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม.
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"ใครกัน?"
“ในอดีตนั้น แคว้นจินจะส่งคนที่มีความสามารถและมีไหวพริบจำนวนมากไป สำรวจเด็กที่มีแววโดดเด่นใน แคว้นจิน เพื่อจุดประสงค์ในการรับพวกเขาเข้าสู่โรงเรียนและฟูมฟักพวกเขาให้เข้าร่วมโรงเรียนสิบแคว้นให้ได้. เหล่าแมวมองนั้นมักจะแฝงตัวเก่งเสมอ”
“บางครั้งพวกเขาอาจไม่เปิดเผยชื่อในสถานที่นั้นๆเป็นเวลาหลายสิบปี พวกเขาไม่สนใจชื่อเสียงและโชคลาภ และไม่สนใจความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่ง พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การทำงานให้กับแคว้นจินอย่างเต็มที่. ท่านเจ้าสำนัก ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรขอรับ.”
ผู้เฒ่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าแคว้นจินจะไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นในบรรดาสิบแคว้น แต่ก็ยังนับว่าเป็นแคว้นแคว้นหนึ่ง.
ในโลกแห่งการฝึกตนเป็นเซียน ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักและราชสำนักนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทำงานในทางที่ยอดเยี่ยม. ราชสำนักจะอนุญาตให้มีการก่อตั้งสำนักต่างๆ และสำนักใหญ่ๆ ล้วนได้รับการยอมรับทั้งสิน. ตราบใดที่ศูนย์รวมของชาติไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งสองอำนาจก็จะร่วมมือกันเพื่อปกป้องโลก.
ทว่าสถานะของราชสำนักนั้นสูงกว่าสำนักเซียนเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสำนักเซียนด้อยกว่า แต่เพราะทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำนักหนึ่งจะมีสมาชิกได้มากที่สุดถึง 100,000 คน ทว่าในราชสำนักนั้นมีมากกว่า 100,000 คนเสียอีก.
แน่นอนว่าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับประเภทของสำนักที่ราชสำนักต้องเผชิญ.
หากเป็นสำนักเซียนที่ดีที่สุดของ แคว้นจิน, ราชสำนักของ แคว้นจินก็จะต้องให้ความเคารพอย่างแน่นอน แต่สำนักที่ดีที่สุดใน ชิงโจว จะไม่มีความสำคัญมากกว่าราชสำนัก.
ในสายตาของผู้คนในสำนักสี่กระบี่อัสนี, ราชสำนักของแคว้นจินเปรียบเสมือนเจ้าโลกและมันยากสำหรับสำนักสี่กระบี่อัสนี ที่จะค้นหาสิ่งที่พวกเขากำลังวางแผนอยู่ ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่านักพรตสี้จือจะพบบุคคลที่กำลังจะมา"ตรวจสอบ" จริงๆ
สิ่งนี้จะไม่ทำให้ผู้เฒ่าตื่นเต้นได้อย่างไร?
หากพวกเขารู้ล่วงหน้าก่อน อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงการยั่วยุเขาได้ หากพวกเขาสามารถตีสนิทกับบุคคลนั้นได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อสำนักสี่กระบี่อัสนีมากๆ.
เพราะถึงยังไงเสียคนที่ถูกส่งมาตรวจสอบล้วนแต่เป็นยอดฝีมือและไม่ใช่คนโง่ที่ไร้ความสามารถ.
ผู้เฒ่าต่างพากันประหลาดใจ.
นักพรตสี้จือไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยื่นมือออกมา.
ทันใดนั้น ภาพวาดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา.
หลังจากนั้นในทันที ม้วนภาพก็ถูกคลี่ออกและฝูงชนก็ได้รับการต้อนรับด้วยทิวทัศน์ของยอดเขาในช่วงพระอาทิตย์ตกยามเย็น.
อารมณ์ของภาพวาดนั้นสวยงาม ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงนี้มีชีวิตอยู่มานานหลายศตวรรษ นอกเหนือจากการฝึกแล้ว พวกเขายังแสวงหาเวลาว่างเพื่อไปชมทิวทัศน์อีกด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชี่ยวชาญในศิลปะทั้งสี่ ดนตรี หมากรุก บทกวี และการประดิษฐ์ตัวอักษร แต่พวกเขาสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าภาพวาดนั้นสวยงามมาก.
“นี่เป็นทักษะการวาดภาพที่ยอดเยี่ยม ผู้วาดถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือของประเทศ. ยอดเขาในช่วงพระอาทิตย์ตกยามเย็นมีความสดใสและสมจริง โดยเฉพาะบุคคลในภาพนี้ที่ดูเหมือนมีความศักดิ์สิทธิ์และไม่แยแสเหมือนผู้ฝึกตนกระบี่. นี่เป็นภาพวาดที่ยอดเยี่ยมมาก”
"ไม่ไม่ไม่. ไม่เพียงแต่เป็นภาพวาดที่ดีเท่านั้น ดูบุคคลในภาพนี้ด้วยสิ. เขาดูเหมือนเซียนกระบี่ แม้ว่าเขาจะไม่แสดงความสามารถของเขา แต่เขาก็ดูเฉียบคมและน่าประทับใจอย่างไม่น่าเชื่อ. ภาพนี้เหมือนจะมีคลื่นกระบี่อยู่บ้าง”
“อา เดิมทีข้าคิดว่านี่เป็นผลงานจิตรกรรมที่ค่อนข้างน่าพอใจ แต่หลังจากได้ยินความคิดเห็นของเจ้าแล้ว มันก็ดูยอดเยี่ยมมากจริงๆ.”
“ยิ่งเจ้าดูภาพนี้มากเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะมุมด้านข้างของบุคคลนี้เท่านั้นที่ถูกวาด แต่เขาทำตัวเหมือนเซียนกระบี่จริงๆ”
“เจ้าสำนัก นี่หมายความว่าอย่างไรคะ?”
“ภาพวาดนี้สื่อถึงอะไร? หรือว่าเป็น?”
ผู้เฒ่าทุกคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น.
นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสบางคนที่ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว.
“ใช่แล้ว ชายในภาพนี้คือยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินส่งมา”
นักพรตสี้จือกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น ทุกคนก็เริ่มถามคำถามด้วยความตกใจ.
"จริงหรือ?"
“เจ้าสำนัก มีหลักฐานหรือขอรับ?”
“ใช่ คนๆ นี้ดูเหมือนยอดฝีมือ แต่เขาอายุน้อยมาก มันดูไม่น่าเป็นไปได้ ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว เจ้าสำนัก ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่าขอรับ?”
ผู้เฒ่าพูดกันทีละคนๆ เพราะพบว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป.
ทว่านักพรตสี้จือส่ายหัวและมองไปที่ผู้อาวุโส ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง.
"ตื้น. พวกเจ้าคิดตื้นเกินไป”
นักพรตสี้จือรู้สึกหมดหวังและเขาก็มีความผิดหวังอยู่บ้างในสายตาของเขา.
เหล่าผู้เฒ่าสับสนเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะถึงยังไงนักพรตสี้จือก็มีสถานะที่สูงในใจพวกเขา.
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าใครวาดภาพนี้?”
นักพรตสี้จือถาม.
“เจ้าบ้านชิงเหลียนขอรับ. ข้าเคยได้ยินมาเล็กน้อยเกี่ยวกับบุคคลนี้. เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงใน แคว้นจิน และมีคนกล่าวว่าแม้แต่ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินก็ยังชื่นชอบผลงานของเจ้าบ้านชิงเหลียนเป็นพิเศษ ทว่าเขาได้หายตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้”
ผู้เฒ่าบางคนที่รู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้วาดภาพเริ่มพูดถึงที่มาของเขา.
"ใช่." นักพรตสี้จือพยักหน้า.
เขาพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คนที่วาดภาพนี้คือเจ้าบ้านชิงเหลียน แม้ว่าข้าไม่เคยพบเขามาก่อน แต่เขามีพรสวรรค์อย่างมาก. ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินไม่เพียงชอบบทกวีของเขาเท่านั้น ขุนนางใหญ่ๆบางคนของแคว้นจินยังชื่นชอบผลงานเขียนของเขาอีกด้วย”
“นอกจากนี้ เจ้าบ้านชิงเหลียนก็หายตัวไปเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ลองคิดดูสิ. พวกเจ้าคิดว่าเขาหายไปไหนล่ะ.”
นักพรตสี้จือให้เบาะแสบางอย่างแก่พวกเขา.
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาได้เข้าร่วมสำนักเล็กๆ เพื่อฝึกฝนการเป็นเซียน?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดา.
"เป็นไปไม่ได้หรอก. เจ้าบ้านชิงเหลียนมีชื่อเสียงมาก ทำไมเขาถึงต้องไปเข้าร่วมสำนักเล็กๆด้วย? หากเขาเต็มใจที่จะเข้าร่วมสำนักสี่กระบี่อัสนี ข้าก็ยินดีที่จะก้าวก่ายอำนาจของเจ้าและรับเขาเป็นลูกศิษย์”
“ใช่แล้ว คนที่มีความสามารถเช่นนี้จะเข้าร่วมสำนักได้อย่างไร?”
"โอ้ข้ารู้แล้วขอรับ. เจ้าสำนัก. เจ้าบ้านชิงเหลียนได้รับคำสั่งจากราชสำนัก ใช่ไหมขอรับ?”
หลายคนคัดค้านการคาดเดาของผู้อาวุโสคนแรก บางคนยังคิดว่าเขาได้รับคำสั่งจากราชสำนักอีกด้วย.
นักพรตสี้จือพยักหน้า.
“ถูกต้อง. เจ้าบ้านชิงเหลียนมีพรสวรรค์อย่างไม่น่าเชื่อ หากเขาสามารถเป็นที่ชื่นชอบของคนใหญ่คนโตในแคว้นจินได้. ก็ไม่แปลกที่จะได้รับคำสั่งจากราชสำนักหรอกนะ”
“ในแคว้นจิน มีจอทยุทธกระบี่ผู้ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอัจฉริยะของโรงเรียนสิบแคว้น ทว่าด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ เขาถูกไล่ออกและในที่สุดก็ได้กลายเป็นแม่ทัพหน่วยตรวจสอบของ แคว้นจินไป.”
“บุคคลนี้มีความพิเศษอย่างยิ่งและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากฮ่องเต้แห่งแคว้นจิน เห็นได้ชัดว่าเจ้าบ้านชิงเหลียนได้พบกับเขาแล้วแน่. หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักเขาจึงวาดรูปของยอดฝีมือนั้นให้เพราะทึ่งกับความสามารถของเขา”
“หรือไม่ก็, ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินได้ขอให้เจ้าบ้านชิงเหลียนวาดภาพของเขาออกมา.”
“ทว่า ยอดฝีมือผู้นี้ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของฮ่องเต้ได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงลงเอยด้วยการวาดออกมาเป็นมุมด้านข้างของเขาแทน.”
นักพรตสี้จือวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล.
ทว่าในที่สุดก็มีคนถามด้วยความสงสัย.
“เจ้าสำนัก นี่เป็นเพียงการคาดเดาของท่านเท่านั้น ท่านมีหลักฐานหรือเปล่าขอรับ?”
ผู้อาวุโสถามอย่างนั้นไป แม้ว่าเขาจะเชื่อใจนักพรตสี้จือแต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ.
ทว่านักพรตสี้จือหัวเราะแสยะอย่างเย็นชาก่อนที่จะแตะภาพ.
ในช่วงเวลาต่อมา พลังของกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้น.