Chapter 41 : ราตรีนั้นมืดมิดสายลมนั้นรุนแรง
เหวินเซี่ยงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ทุกๆคนการสำรวจเสร็จสิ้นแล้ว ได้เวลากลับกันแล้วล่ะ”
เหล่านักสู้ทุกคนพยักหน้ารับ
ราชันย์แดนลับมากประสบการณ์การทั้งหมดถูกกำจัดลงแล้ว ประตูแสงของแดนลับก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ซักที เป้าหมายของพวกเขาลุล่วงแล้ว
ทุกๆคนพากันตบเท้าออกจากแดนลับทุ่งราบเพลิงผลาญและพบว่าผู้จัดการหมายเลข2กับแบล็คนั้นกำลังตีกันอยู่
ผู้จัดการหมายเลข2กล่าว “ทำไมนายถึงชอบทำให้ฉันขายหน้านัก? ฉันไล่นายออก!”
แบล็ค “โอ้..อึกๆๆ...”
ผู้จัดการหมายเลข2ย้ำ “นายถูกไล่ออกแล้ว!”
แบล็ค “อ่าฮะ..อึกๆๆ...”
ผู้จัดการหมายเลข2หมดคำจะพูดในทันที
แบล็ค “เอิ๊ก...อะไรกัน? ไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้วรึไง? ในฐานะของนายจ้างกล้าดียังไงถึงได้มาอารมณ์เสียใส่คนคุ้มกัน! ฉันจะลงโทษนาย!”
“ในเมื่อวันนี้นายอารมณ์เสียใส่ฉันถ้างั้นเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเหรียญทั่วไปที่นายต้องมอบให้ฉันทุกอาทิตย์จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
ผู้จัดการหมายเลข2 “...อย่ามาตลก ถ้าทำแบบนั้นฉันก็ไม่มีจะกินพอดี”
แบล็คเอ่ย “ถ้างั้นฉันก็จะไม่เป็นคนคุ้มกันให้นายแล้ว ไม่กี่วันก่อนหมายเลข3เองถึงขั้นเคยแอบคุยกับฉันโดยหวังว่าจะให้ฉันไปเป็นคนคุ้มกันให้กับเขาเชียวนะ”
ผู้จัดการหมายเลข2เอ่ยอย่างมั่นใจ “มิตรภาพระหว่างเรามันย่อมหนักแน่นดุจหินผาอยู่แล้ว”
พันธมิตรระหว่างพวกเขานั้นไร้ทางแตกแยก เช่นนี้แล้วมันจะถูกวัตถุพวกนั้นทำให้พังทลายได้ยังไง?
แบล็ค “อะไรนี่เพิ่งจะรู้วิธีใช้เหตุผลรึไง?”
ผู้จัดการหมายเลข2 “เออ...เอาตามที่นายว่าก็ได้”
แบล็คพยักหน้า “อึกๆๆ....มันก็ควรต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว นายจ้างจะมาบอกให้คนคุ้มกันทำนั่นทำนี่ได้ยังไง?”
คนอื่นๆ “...”
ผู้จัดการหมายเลข2กระแอมเบาๆและกลับมามีท่าทีสุขุมนุ่มลึกเหมือนเช่นเดิม
“พวกนายออกมากันแล้วรึ? เร็วกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะทีเดียว”
“เหวินเซี่ยงถ้าไม่มีอะไรผิดคาดน่าจะเป็นนายสินะที่พานักสู้คนอื่นๆเข้าไปสังหหารราชันย์แดนลับมากประสบการณ์น่ะ? กลับไปแล้วฉันจะตบรางวัลให้”
เหวินเซี่ยงยิ้มอย่างอับจน “ไม่ใช่ผมครับแต่เป็นโล่วิญญาณ เขาเป็นคนที่จัดการกับราชันย์แดนลับมากประสบการณ์ทั้งหมดเพียงลำพัง” ดวงตาของผู้จัดการหมายเลข2เบิกกว้าง
“ล้อเล่นรึเปล่า?”
เหวินเซี่ยงเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน “ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”
เมื่อมองไปที่โล่วิญญาณที่มีทีท่าสงบนิ่ง ผู้จัดการหมายเลข2ก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ
“ดี ดีมาก ดีมากๆ! โล่วิญญาณนายทำได้ดีมาก!”
“แบล็คปิดประตูแสงซะ พวกเราจะกลับไปที่ฐานกัน!”
ผู้จัดการหมายเลข2สะบัดมือด้วยท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง
แบล็คเดินไปหยุดข้างๆประตูแสงและยกมันขึ้นมาอย่างสบายๆ ประตูแสงถูกเขายกเอาไว้ด้วยมือเดียวราวกับไม่มีอะไร
หลินเซวียนคิดหนักทันทีเมื่อเห็นภาพนี้
ใครๆก็สามารถเก็บประตูแสงได้งั้นหรอ? หรือมีเพียงขอบเขตที่7ขึ้นไปเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่นักสู้ระดับแบล็คใครจะทำได้?
หนึ่งวันให้หลังข่าวอันน่าสะเทือนขวัญก็แผร่กระจายไปทั่วทั้งฐานขององค์กรเจอร์มินอล
ข่าวนั้นว่ากันว่าเหวินเซี่ยง โล่วิญญาณ ลู่หลัวและนักสู้ขอบเขตที่4อีกหลายคนตามผู้จัดการหมายเลข2ไปเพื่อสำรวจแดนลับแห่งใหม่อย่างทุ่งราบเพลิงผลาญ
ในการสำรวจครั้งนี้ราชันย์แดนลับมากประสบการณ์ทั้ง9ตัวของทุ่งราบเพลิงผลายถูกโล่วิญญาณเพียงคนเดียวสังหารจนสิ้น! นี่คือสถิติระดับประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ขององค์กรเลยก็ว่าได้
โล่วิญญาณคนเดียวจัดการกับราชันย์แดนลับมากประสบการณ์9ตัวเพียงลำพัง!
ผู้อพยพและนักกู้ซากทุกคนต่างอยากจะเข้าหาโล่วิญญาณเพื่อเลียแข้งเลียขาเขา
หากแต่แม้จะตามหาทั่วทั้งเมืองทะเลสาบตะวันออกแล้วพวกเขาก็ไม่อาจหาตัวของโล่วิญญาณพบอยู่ดี
ราตรีนั้นมืดมิดและสายลมเองก็รุนแรง
หลินเซวียนบังเอิญไปพบเข้ากับซากบ้านธรรมดามากๆหลังหนึ่งภายในเมืองทะเลสาบตะวันออก
“ใช้สกิลร่างแยกทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่นี่เพื่อดูว่ารอบๆเมืองทะเลสาบตะวันออกมันอันตรายขนาดไหนแล้วกัน”
เมื่อเขาได้สกิลร่างแยกมาก่อนหน้านี้มันมีระดับเพียงเกรดสีฟ้าเท่านั้น ตอนนั้นมันสามารถสร้างร่างแยกที่มีค่าสถานะเพียง20%จากร่างหลักและยังอยู่ได้แค่30นาทีเท่านั้น
หากแต่ตอนนี้หลังจากเขาอัพเกรดมันจนสุดสกิลร่างแยกนี้ก็เลื่อนเป็นเกรดสีทอง ตอนนี้เขาสามารถสร้างร่างแยกที่มีค่าสถานะเท่ากับร่างหลักได้เป็นเวลาถึง3ชั่วโมง
“ให้อุปกรณ์ของจอมเวทย์เอาไว้แล้วกันจะได้ใช้โอกาสนี้ลองทดสอบอุปกรณ์กับรูนที่พึ่งได้มาด้วย”
หลินเซวียนค่อนข้างคาดหวังกับมันเอาไว้สูงมาก
พิมพ์เขียวอุปกรณ์เกรดสีทองที่ได้มาจากลู่หลัวคือหนังสือเวทย์มนตร์ที่เหมาะกับจอมเวทย์
...
[ชื่อ : ตำราเพลิงผลาญ]
[ระดับ : เลเวล9ขอบเขต4]
[คุณภาพ : ไร้ที่ติสีทอง]
[ข้อจำกัดของอุปกรณ์ : พลังจิต 70]
[ความสามารถ : พลังจิต+5]
[ความสามารถที่2 : ความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทย์+15% , อัตราการใช้มานาเมื่อใช้เวทย์ไฟ-10% , ความเสียหายจากเวทย์ไฟ+60%]
…
แม้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะไม่ใช่ชุดเซ็ตแต่ความสามารถในฐานะของอุปกรณ์แยกชิ้นนั้นก็ยังทรงพลังอยู่ดี หลินเซวียนชอบมันยิ่งนัก
ไม่นานนักเงาร่างสีดำที่คลุมร่างด้วยชุดคลุมสีดำก็ออกเดินมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนเหนือของเมืองทะเลสาบตะวันออกอย่างรวดเร็ว
หนึ่งกิโลเมตร สองกิโลเมตร สามกิโลเมตร...
ร่างแยกของหลินเซวียนแทบจะไม่เจออุปสรรคใดๆเลย อสูรทั้งหมดที่พบเจอระหว่างทางล้วนอ่อนแอยิ่งนักเป็นเพียงขอบเขตที่1 สองหรือสามเท่านั้น
เขาสามารถระเบิดพวกมันจนกลายเป็นฝุ่นได้ทันทีด้วยบอลเพลิงลูกเล็กๆ
สี่กิโลเมตร ห้ากิโลเมตร หกกิโลเมตร...
ระดับของอสูรที่ร่างแยกพบเจอค่อยๆสูงขึ้นเป็นขอบเขตที่2 สามและสี่
เวทย์มนตร์ที่ร่างแยกใช้เองก็เปลี่ยนจากบอลเพลิงลูกเล็กๆไปเป็นบอลเพลิงขนาดปกติและสกิลวงแหวนเพลิงในที่สุด
ยังไงก็ตามต้องขอบคุณสกิล ‘ราชันย์ปิศาจแห่งความโกรธ’ และรูน ‘ให้เพลิงชำระล้างทุกสิ่ง’ กับ ‘คลื่นสีชาด’ โดยแท้ที่ทำให้ความเสียหายจากเวทย์ไฟของเขาสูงจนน่าพรั่นพรึง กระทั่งอสูรบางตัวที่มีค่าต้านทานไฟสูงลิบก็ยังทานรับไม่ไหวและตายลงหลังจากถูกโจมตีเพียงสองครั้ง
หลินเซวียนโยนเวทย์ออกไปตลอดทาง ความเร็วในการฟื้นฟูมานาของเขารวดเร็วมากและอัตราการใช้มานาจากการใช้สกิลเองก็ค่อนข้างต่ำมากเช่นกัน
เขาสามารถใช้สกิลหนึ่งได้ในทุกๆไม่กี่วินาทีซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
สถานที่ที่เขาผ่านไปทั้งหมดจะหลงเหลือเพียงซากร่างดำถ่าน
ในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองเล็กๆที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วแห่งหนึ่ง
เมืองเล็กๆเมืองนี้ไม่มีประตูสู่แดนลับดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีองค์กรใดมาตั้งรกรากที่นี่
เมื่อปราศจากองค์กรใดๆก็ย่อมไม่มีผู้อพยพมารวมตัวกัน
นี่คือแดนสวรรค์สำหรับอสูรโดยแท้
ร่างแยกของหลินเซวียนเดินไปบนถนนอย่างสบายๆ เหม่อมองไปยังร้านค้าที่ถูกทิ้งร้างบนถนนสองฝากฝั่งและถอนหายใจออกมา
“เมืองนี้น่าจะเป็นเมืองไป๋สุ่ยที่อยู่ถัดจากเมืองทะเลสาบตะวันออก มันเป็นแค่เมืองทั่วๆไปเท่านั้นแหละมีขนาดเล็กมาก”
หุ่นลองเสื้อด้านในหน้าต่างร้านขายเสื้อฟ้ายังคงสวมใส่ชุดแต่งงานสีดำเหมือนเช่นเคย
โฆษณามอสหนังวัวบนเสาร์ออกอากาศก็ยังคงไม่ล่วงลงมาแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
หลินเซวียนอดขบคิดไม่ได้ว่าไอ้ป้ายโฆษณานี่มันใช้กาวอะไรกันนะ ทำไมถึงได้ติดแน่นทนนนานนัก?
นอกจากนี้เขายังเห็นร้านขายหนังสือที่วางขายหนังสือหมวดหมู่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หนังสือสอบเข้านี้มีอยู่ทุกประเภท กระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังคงมองเห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในยุคสมัยหลายสิบปีก่อนได้ไม่ยาก
โฮก!
จู่ๆเสียงคำรามอันน่าตกตะลึงของอสูรก็พลันดังขึ้น
หลินเซวียนมองตามที่มาของเสียงและพบกับอสูรเสือหน้าตาดุร้ายที่มีลำตัวยาวกว่าหกเมตรตัวหนึ่งยืนอยู่ที่สุดปลายถนน
มันคืออสูรเลเวล6ขอบเขตที่5 - เสือตาห้อย
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาจากแดนลับไหน
เสือดุร้ายตัวนี้จู่ๆก็พลันกระโจนเข้าใส่เขาพร้อมๆกับสายลมเหม็นคาวคละคลุ้งสายหนึ่งที่ตีเข้าที่ใบหน้าของหลินเซวียน
หลินเซวียนเหยียดมือออก ทันใดนั้นพลันปรากฏวงแหวนเพลิงขนาดมหึมาขึ้นมาขับไล่เสือตาห้อยจนต้องกระโดดหลบหนีห่างออกไป
ขนบนร่างของมันเกิดประกายไฟขึ้นในทันที
หลินเซวียนเหยียดมือออกอีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวบอลเพลิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรก็พลันก่อร่างและพุ่งทะลวงผ่านร่างของเสือตาห้อยซึ่งยังคงลอยอยู่กลางอากาศในชั่วพริบตาทิ้งเอาไว้เพียงรูขนาดใหญ่บนหน้าท้องของมัน
เลือดและเนื้อสาดกระจาย
บอลเพลิงไม่ได้หมดสิ้นพลังเพียงเท่านั้นแต่ยังลอยไปกระแทกเข้ากับรถประจำทางผุพังที่อยู่ด้านหลังอีกด้วย นอกจากนี้มันยังระเบิดใส่ร้านหนังสือที่ขายหนังสือแนะนำการสอบเข้าจนทำให้กระจกภายในร้านแตกกระจายจนหมด หลังจากหนังสือจำนวนมากถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านบอลเพลิงจึงหายไปในที่สุด
หลินเซวียนหยิบอุปกรณ์เกรดสีขาวที่อีกฝ่ายดรอปเอาไว้ขึ้นมาจากร่างของเสือตาห้อยและโยนมันใส่โต๊ะหลอมอุปกรณ์ภายในมิติส่วนตัวอย่างลวกๆ
เมื่อเห็นพลังทำลายล้างอันน่าตกตะลึงนี้เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“กระทั่งบอลเพลิงยังสร้างความเสียหายได้ระดับนี้ ถ้าเราได้เวทย์ไฟที่แข็งแกร่งๆมาจะไม่ระเบิดตึกได้เลยหรอ?”
หลินเซวียนคิดจะโยนบอลเพลิงออกไปอีกเพื่อเติมเต็มความปรารถนาในการทำลายล้างของตัวเอง
หากแต่ในเวลานี้เองสกิล ‘ตรวจจับ’ ของเขาพลันเกิดปฏิกิริยา พริบตานั้นเขาพลันสัมผัสได้ถึงคนบางคนที่อยู่ห่างออกไปจากเขาราวหนึ่งร้อยเมตร
“มีคนอยู่ที่นี่ เอาเป็นว่าเก็บอุปกรณ์เข้ามิติส่วนตัวแล้วยกเลิกร่างแยกก่อนแล้วกัน” หลินเซวียนยกเลิกร่างแยกทันที
ร่างแยกของเขาพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับระเหยไปในอากาศ