Chapter 37 : ผู้จัดการหมายเลข2ลงมือ
...
[ชื่อ : เหวินเซี่ยง]
[ระดับ : เลเวล9ขอบเขต4]
[ค่าประสบการณ์ : 80ล้าน/90ล้าน]
[ค่าสถานะ : ความอดทน 62 , พละกำลัง 99 , พลังจิต 33 , ความเร็ว 61]
[สกิล : หมัดคริติคอล(ล้ำค่าสีม่วง) , ย่างก้าวอัสนี (ล้ำค่าสีม่วง)...]
[อุปกรณ์สวมใส่ : ถุงมือทองแดงภูเขา (ล้ำค่าสีม่วง) , เกราะโซ่ทักนักรบคลั่ง (ล้ำค่าสีม่วง)...]
...
สิ่งเดียวที่หลินเซวียนสนใจมีเพียงไอเทมและสกิลระดับล้ำค่าสีม่วงเท่านั้น สิ่งที่อยู่ต่ำกว่านี้เขาไม่ใคร่จะดูนัก
ยังไงก็ตามถึงกระนั้นแล้วเขาก็ยังพบว่าเหวินเซี่ยงผู้นี้ค่อนข้างโดดเด่นจริงๆ
“ค่าสถานะของเขาถูกจัดสรรอย่างลงตัว ด้วยการจัดสรรค่าสถานะแบบนี้ทั้งพลังชีวิต ความเร็วในการเคลื่อนที่ ความเร็วในการโจมตี อัตราคริติคอลและอัตราการหลบหลีกก็จะไม่ต่ำมาก ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการเอาตัวรอดเท่านั้นแต่ยังเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการจัดสรรค์ค่าสถานะแบบพื้นฐานที่เหมาะแก่การเอาตัวรอดที่สุดในโลกหลังโลกาวินาศแบบนี้เลยก็ว่าได้”
หลินเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้จัดการหมายเลข2เองก็มองมาที่เหวินเซี่ยงด้วยความระมัดระวังเล็กน้อย
ชายดุร้ายผู้นี้เองก็ถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่เขาตั้งความหวังเอาไว้สูง โชคไม่ดีนักที่หมายเลข3เสนอให้มากกว่าทำให้เหวินเซี่ยงเข้าร่วมกับฝั่งของหมายเลข3ไป
“โชคไม่ดีจริงๆที่ฉันช่วยเขาไว้ไม่ได้” เหวินเซี่ยงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอับจน
เมื่อเหวินเซี่ยงและนักสู้ที่ทรงพลังคนอื่นๆก้าวออกมาพวกเขาก็สามารถประคองสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว นักสู้และอสูรต่างตกอยู่ในภาวะก้ำกึ่ง
ในเวลานี้เองสิงโตเพลิงหลายตัวพลันล้อมกรอบเหวินเซี่ยง ลู่หลัวและคนอื่นๆเอาไว้หลังจากนั้นพวกมันก็พยายามใช้การเคลื่อนไหวตบตาเพื่อทำให้พวกเขาสับสนและพริบตาต่อมาก็กระโจนเข้าใส่นักสู้อีกคนที่อยู่แนวหลังแทน
พวกมันพบแล้วว่านักสู้ที่ใช้สกิลธาตุน้ำแข็งนั่นแหละคือเป้าหมายหลักที่พวกมันต้องกำจัดทิ้ง
นักสู้เหล่านี้ตกตะลึงยิ่งนัก พวกเขาใช้พลังเวทย์และพลังงานในการโจมตีไปจนเกือบหมดแล้ว เมื่อปราศจากการคุ้มครองของเหวินเซี่ยงและคนอื่นๆพวกขจึงไม่ต่างอะไรจากหนูน้อยหมวกแดงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวโคร่ง ไร้พลังจะต่อต้าน
หลินเซวียนส่ายหัว
ผู้จัดการหมายเลข2มองมาที่เขาหลายรอบแล้ว เขารู้สึกว่าถ้าเขายังไม่ลงมืออีกก็อาจจะทำให้ผู้จัดการหมายเลข2ไม่พอใจเอาได้
แน่นอนว่าผู้จัดการหมายเลข2จะชอบหรือไม่ชอบเขามันไม่สำคัญหรอก สิ่งที่เขาสนใจคือการได้เข้าและออกจากแดนลับที่ทางองค์กรครอบครองตามต้องการต่างหาก
ถ้าหมายเลข2ไม่พอใจและตัดสิทธิเขานั่นคงเป็นปัญหา
ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือ
หลินเซวียนกระชับโล่ทั้งสองเอาไว้ในมือแน่นและกระโจรออกไปราวกับกำแพงมนุษย์
เมื่อเงาร่างอันยิ่งใหญ่ของเขาปกคลุมนักสู้เหล่านี้ เหล่านักสู้ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจจนแทบจะหลั่งน้ำตา
ปัง ปัง!
สิงโตเพลิงเหล่านี้ราวกับพวกมันปะทะเข้ากับกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยหนามแหลม
เพียงเสี้ยวพริบตาหลังจากเข้าปะทะ เลือดก็พลันหลั่งไหลออกมาจากทั่วทั้งร่างกายของพวกมันและกลิ่นอายของพวกมันเองก็อ่อนโทรมลงอย่างมาก
พวกมันล้วนได้รับผลจากความเสียหายจากการสะท้อน
ดวงตาของเหวินเซี่ยงและลู่หลัวเปล่งประกายและรีบใช้จังหวะที่ได้เปรียบนี้ตอบโต้กลับ
หมัดเหล็กและเคียวทมิฬโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง สังหารสิงโตเพลิงหลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดพวกเขาจึงสามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์อันน่าอดสูมาได้
เหวินเซี่ยงเอ่ยปากชม “โล่วิญญาณน้องชายของฉันชื่นชมนายอยู่ตลอด นายนี่ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ”
หลินเซวียนสับสนมึนงง “ใครคือน้องชายของนาย?”
เหวินเซี่ยงยิ้มและเอ่ย “เหวินจวง เขาเป็นหนึ่งในคนที่ก่อตั้งทีมบิ๊กเบิร์ดโลเทชั่นในถ้ำหินยักษ์ ไม่กี่วันก่อนหมอนั่นพึ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขอบเขตที่2”
เมื่อได้ยินชื่อบิ๊กเบิร์ดโลเทชั่นหลินเซวียนก็รู้ทันที
หมายเลข2เองก็มองมาด้วยสายตายอมรับ
สมแล้วที่ได้สมญาว่าโล่วิญญาณ หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แม้จะพึ่งกลายมาเป็นขอบเขตที่4แต่ก็สามารถสู้กับอสูรที่เหนือกว่าขอบเขตที่4ได้เหมือนอย่างลู่หลัว
โม่หยวนที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักอ้าปากค้าง
ฉากที่โล่วิญญาณปะทะกับสิงโตเพลิงห้าตัวเมื่อครู่เขาก็เห็นเหมือนกัน
ต่อมาเขาก็พลันสังเกตได้ถึงบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
เขาคิดมาตลอดว่าโล่วิญญาณน่าจะต้องยัดแต้มค่าประสบการณ์จำนวนมากไปกับการเพิ่มค่าต้านทานพิษรุนแรงและเสียแก่นอุปกรณ์ไปเป็นจำนวนมากกับชุดเซ็ตหมอพิษ มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นอีกฝ่ายจึงจะสามารถสังหารราชันย์แดนลับมากประสบการณ์ของบึงยุงพิษได้เพียงลำพัง
การทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว หากแต่ค่าต้านทานพิษรุนแรงและชุดเซ็ตหมอพิษนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไร้ประโยชน์กับอสูรชนิดอื่น ยกตัวอย่างเช่นพวกมันแทบจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรเพลิงพวกนี้
เมื่อใดที่แต้มค่าประสบการณ์และแก่นอุปกรณ์ถูกลงไปกับสกิลหรืออุปกรณ์บางชิ้นนั่นก็หมายวามว่าคนผู้นั้นจะสูญเสียโอกาสในการยกระดับอย่างอื่นไปด้วย
ดังนั้นนักส่วนใหญ่จึงมักจะมุ่งเน้นไปที่สกิลที่ทรงพลังเพียงหนึ่งหรือสองสกิลและอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น พวกเขาจะอัพเลเวลของสกิลและอุปกรณ์ชิ้นอื่นบ้างตามแต่โอกาสและมักจะไม่ได้ลงทรัพยากรกับพวกมันมากเกินไปนักเพราะแต้มค่าประสบการณ์และแก่นอุปกรณ์นั้นหาได้ยากยิ่ง
ด้วยเหตุผลนี้ในเมื่อโล่วิญญาณมีค่าต้านทานพิษรุนแรงสูงปานนั้นก็ต้องหมายความว่าค่าต้านทานไฟของเขาควรจะต่ำมาก อย่างมากก็ควรจะอยู่ในระดับของนักสู้ทั่วๆไปเท่านั้น
ยังไงก็ตามโม่หยวนเพิ่งเห็นกับตาเมื่อครู่ว่าโล่วิญญาณนั้นไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับความเสียหายธาตุไฟเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเลยว่าเขาสามารถป้องกันความเสียหายธาตุไฟจากสิงโตเพลิงได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้ทำให้เขาสับสนยิ่งนัก
“อย่าบอกนะว่า...โล่วิญญาณมีแต้มค่าประสบการณ์และแก่นอุปกรณ์เยอะมากๆ? ไม่น่าจะใช่ ไม่ว่าเขาจะมีมากเท่าไหร่ก็ไม่ควรจะมีมากขนาดนั้น! หรือเขาจะมีมากกว่าเราสองเท่า? สามเท่า?” โม่หยวนคิดด้วยความสับสน
เขาอดใช้สกิลตรวจสอบกับโล่วิญญาณไม่ได้
...
[ชื่อ : ???]
[ระดับ : เลเวล1ขอบเขต4]
[ค่าประสบการณ์ : 1,455 / 10ล้าน]
[ค่าสถานะ : ความอดทน ? , พละกำลัง 39 , พลังจิต 25 , ความเร็ว 35]
[สกิล : เกราะกระดูกครอบจักรวาล (?) , เปลือกพฤกษาบรรพกาล (?) , กายาหนาม (เกรดสีม่วง)...]
[อุปกรณ์สวมใส่ : ค้อนโล่ราชันย์มังกรดิน (?) , โล่นักล่ามังกร (?)....]
...
โม่หยวนยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาเห็นจากสกิลตรวจสอบถูกแทนที่ด้วยเครื่องหมายคำถาม กระทั่งชื่อของอีกฝ่ายก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามเลย
หัวใจของหลินเซวียนกระตุกเบาๆ
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนใช้สกิลตรวจสอบกับเขาเขาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ตัวเขามีสกิล ‘อ่อนแอ’ ที่สามารถลดระดับเลเวลและค่าสถานะได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่
นอกจากนี้ยังมีสกิล ‘ปลอมแปลง’ เกรดสีทองที่สามารถปลอมแปลงหรือซ่อนเลเวลและเกรดของสกิลทุกสกิลได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่อีกด้วย
สิ่งที่โม่หยวนเห็นจากสกิลตรวจสอบก็คือสิ่งที่หลินเซวียนตั้งใจเปลี่ยนให้เห็น
“ฮ่า...ในที่สุดพวกมันก็ตายหมดแล้ว”
ลู่หลัวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเก็บเคียวสีดำกลับไป
เมื่อมีปราการเหล็กกล้าอย่างโล่วิญญาณยื่นมือเข้ามาอีกคน เหล่านักสู้จึงสามารถโจมตีได้อย่างสบายใจ ท้ายที่สุดพวกเขาจึงสามารถสังหารอสูรละลอกที่สองลงได้อย่างง่ายดาย
“ดีมาก ส่วนอสูรที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง” ผู้จัดการหมายเลข2ยิ้มและก้าวออกมา
เหล่านักสู้ต่างโล่งใจ
ผู้จัดการหมายเลข2เป็นนักสู้ขอบเขตที่6 เมื่อนักสู้ขอบเขตที่6เผชิญหน้ากับอสูรขอบเขตที่4นั่นคงกล่าวได้เพียงว่าเป็นการบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว
เขาสามารถสังหารอสูรขอบเขตที่4จำนวนมากได้เพียงลำพัง
เหตุผลที่เขาไม่ช่วยสู้กับอสูรละลอกที่สองก็เพราะเขาอยากจะให้นักสู้เหล่านี้ได้ขัดเกลาตัวเอง
ถ้าอสูรทั้งหมดถูกผู้จัดการอย่างเขาเก็บกวาดถ้างั้นจะมีคนเหล่านี้ไว้ทำไม?
หลังจากเงียบไปซักพัก ประตูแสงก็พลันเกิดการผันผวนขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครา
หนนี้ดูราวกับเปลวเพลิงจะเริ่มลุกโหมอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าที่ผ่านๆมา
เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งก็ราวกับม่านพลังได้พังทลายลง กลุ่มอสูรเพลิงจำนวนมหาศาลจู่ๆก็พากันกรูออกมา
หลินเซวียนกวาดสายตามองดูและพบว่ามีอสูรอยู่มากกว่าหนึ่งพันตัว ที่อ่อนแอที่สุดคืออสูรเลเวล7ขอบเขตที่4และที่ทรงพลังที่สุดคืออสูรเลเวล9ขอบเขตที่4 นอกจากนี้ยังมีถึง200ตัวเลยด้วย!
“จำนวนขนาดนี้ถ้าเป็นเราจะทนได้ขนาดไหนนะ?”
หลินเซวียนคำนวณว่าถ้ามีแค่อสูรเลเวล4-เลเวล6ซัก500ตัวเขาก็น่าจะรับมือได้อย่างสมบูรณ์และใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความเสียหายสังหารพวกมันลงได้
หากแต่อสูรพวกนี้ล้วนมีเลเวลเกิน7ทั้งนั้น
ถ้าเขาฟื้นฟูไม่ทันก็อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นได้
หลินเซซียนไม่ได้รีบจะเสี่ยงชีวิตขนาดนั้น
วินาทีต่อมาพวกเขาทุกคนก็เห็นว่าผู้จัดการหมายเลข2หยิบคทาสีทองออกมาจากอุปกรณ์เก็บของของตัวเอง
คทานั้นยาวเกือบๆหนึ่งเมตรและทำมาจากเปลือกพฤกษาบรรพกาล ด้านบนยอดของคทามีรูนสามเม็ดต่างสีสันถูกฝังเอาไว้โดยพวกมันมีสีขาวน้ำแข็ง เขียวเข้มและฟ้าเข้มตามลำดับ
“ศาสตร์ลับมังกรเหมันต์!”
พร้อมกับเสียงคำรามลั่นของมังกร มังกรสีขาวปลอดที่มีลำตัวยาวกว่าสิบเมตรพลันส่งเสียงคำรามกึกก้องและพุ่งออกมาจากคทาสีทอง!