Chapter 23 : กระโดดลงสู่ใจกลางคลื่นอสูร
“เชี่ย...เจ้าหมอนี่หนีไปก่อนเวลาเลยงั้นหรอเนี่ย?”
“พวกเรากันกำแพงตะวันออกต่อไปไม่ไหวแล้ว ถอยกันเถอะ”
นักกู้ซากและเหล่าผู้อพยพต่างพากันกังวลและไม่กล้าจะลุยต่อ
ถ้าพวกเขาสู้ต่อสุดท้ายก็คงไม่พ้นต้องกลายเป็นอาหารของพวกอสูรเป็นแน่
ถ้าหนีไปตอนนี้และกลับไปยังเขตฐานขององค์กรก็อาจจะยังมีโอกาสรอด
ระหว่างตายตรงนี้เลยหรือไปตายเอาดาบหน้าไม่ว่าใครก็คงตอบได้ว่าแตกต่างกันเพียงใด
ในเวลานี้เองเงาร่างสองร่างก็พลันปรากฏตัว
“โล่วิญญาณมาแล้ว!” หนึ่งในทั้งสองคนนั้นตะโกนออกมา
หลินเซวียนที่ไปสวมใส่ชุดเกราะมารู้สึกแปลกๆในใจ
‘รู้สึกแปลกดีแฮะที่ต้องไปเรียกตัวเองมาเป็นกำลังเสริมแบบนี้’
เขาวิ่งไปที่เพิงและหาที่รกร้างไร้ผู้คนเพื่อเปิดใช้งานสกิลร่างแยกเพื่อสร้างร่างแยกขึ้นมา
ตอนนี้คนที่สวมใส่ชุดเกราะอยู่คือร่างหลักของเขาและคนที่ตะโกนออกมาเมื่อครู่คือร่างแยก
ทุกๆคนหันไปมองตามสัญชาตญาณและเห็นเงาร่างอันคุ้นตา
หน้ากากปิศาจ โล่สีดำขลับและชุดเกราะเต็มตัว
ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้คือดาวดวงใหม่อย่างโล่วิญญาณหรอกหรือ?!
ดวงตาของซุนจื่อเกาเบิกกว้าง “เชี่ย..หลินเซวียนนายกลับรู้จักกับโล่วิญญาณจริงๆด้วย! นายไม่เคยบอกฉันเลยนะ!”
“ใช่แล้วๆ ไม่คิดเลยว่านายจะซ่อนเอาไว้ดีขนาดนี้! บอกฉันทีซิว่านายเข้าไปรู้จักกับโล่วิญญาณได้ยังไง?”
นักกู้ซากที่รู้จักกับเขาเดินเข้ามาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เฮ้ๆๆ นายช่วยถ่ายรูปฉันกับโล่วิญญาณให้หน่อยได้ไหม? ฉันเคารพเขามาตลอดเลยแหละ!”
หลินเซวียนย่างเท้าขึ้นไปบนกำแพงเมืองและต่อยลิ้นของคางคกยักษ์จนปลิวกระเด็นออกไป จากนั้นเขาก็สบถออกมา “นี่มันใช่เวลามาคุยอะไรแบบนี้รึไง?!”
สีหน้าของอีกฝ่ายพลันรู้สึกผิดขึ้นมา “โทษทีๆ ฉันตื่นเต้นเกินไปหน่อย”
หลินเซวียนตะโกน “คอยคุ้มกันฉันที!”
กล่าวจบโล่วิญญาณผู้นั้นก็กระโดดลงจากกำแพงสูงแปดเมตรลงไปยังคลื่นอสูรเบื้องล่าง!
“เฮือก...” ดวงตาของซุนจื่อเกาเบิกกว้างจนเผลอกลืนน้ำลาย
“พี่ชายโล่วิญญาณอย่าได้ฆ่าตัวตายแบบนั้น!”
“เชี่ยเอ๊ย...แบบนี้เขาจะรอดได้ยังไง?”
นักกู้ซากเองก็พากันตกตะลึงไม่ต่างกัน
เพื่อต้านทานคลื่นอสูรโล่วิญญาณถึงขั้นกระโดดลงไปโดยตรง จิตวิญญาณเช่นนี้ช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น?
“เอ่อ...ดูเหมือนโล่วิญญาณจะยังสบายดีอยู่นะ...” หนึ่งในนักกู้ซากพลันเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าโล่วิญญาณไม่ได้ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆอย่างที่คาด
กลับกันเสียด้วยซ้ำ โล่วิญญาณกลับยังคงยืนนิ่งอย่างสงบ
โล่ขนาดมหึมาทั้งสองอันของเขาดูราวกับกำแพงเมืองอันกล้าแกร่ง ทั้งหนักแน่นและไม่อาจสั่นคลอน
ไม่เพียงเท่านั้นแต่ทันทีที่อสูรขอบเขตที่0กระโจนเข้ามาและปะทะเข้ากับโล่ขนาดมหึมานั่น ร่างกายของพวกมันก็จะแตกระเบิดออกราวกับพุ่งเข้าชนกับกำแพงดาบ
อสูรขอบเขตที่1อย่างมากก็ปะทะได้สามถึงสี่ครั้งก่อนที่ร่างกายจะระเบิดออกไม่ต่างกัน
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีอสูรกว่ายี่สิบตัวแล้วที่ล้มลงอยู่รอบตัวของโล่วิญญาณ!
หลินเซวียนเองก็กังวลอยู่เหมือนกันในตอนแรกและค่อนข้างประหม่าว่าพวกมันจะทะลวงการป้องกันของเขาได้หรือเปล่า ยังไงซะจำนวนของพวกมันก็มีไม่ใช่น้อย
ยังไงก็ตามไม่นานเขาก็พบว่าเป็นเขาที่กังวลเกินเหตุ
แม้ว่าอสูรพวกนี้จะมีจำนวนมากแต่ค่าสถานะของพวกมันล้วนต่ำเตี้ยเลี่ยดิน
ยิ่งไปกว่านั้นค่าสถานะของพวกมันยังจัดอยู่ในระดับทั่วๆไปเท่านั้นเทียบกับเขาไม่ได้เลยซักนิด ยังไงซะเขาก็คือคนที่ลงค่าสถานะอิสระส่วนใหญ่ไปกับค่าความอดทน
ผลลัพธ์นั้นทำให้อสูรขอบเขตที่0 1และ2จำนวนมากไม่อาจทะลวงการป้องกันของเขาได้
ยังไงก็ตามความเสียหายจากการสะท้อนจากสกิลของเขาและโล่นักล่ามังกรกลับเป็นฝ่ายสังหารพวกมันลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเซวียนยังได้ครอบครองชิ้นส่วนสุดท้ายจากสามส่วนของเซ็ตรูน ‘ชุบทอง’ แล้วด้วย
ในช่วงที่ผ่านมาโต๊ะหลอมอุปกรณ์ในมิติส่วนตัวของเขานั้นทำงานอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดเขาจึงได้รูนส่วนที่สามของเซ็ตรูนชุบทองมาแล้ว
...
[ชื่อ : ชุบทอง (1/2/3)]
[เลเวล : เลเวล9ขอบเขตที่2]
[เกรด : สีทอง (ไร้ที่ติ)]
[ข้อจำกัดในการใช้งาน : โล่ที่มีระดับเหนือกว่าขอบเขตที่2]
[ความสามารถที่1 : พลังชีวิต+12%]
[ความสามารถที่2 : การโจมตีใดๆก็ตามที่ปะทะเข้ากับอุปกรณ์ที่ฝังรูนนี้เอาไว้จะมีโอกาสติดคริติคอลลดลง-80%]
[ความสามารถที่3 : การโจมตีใดๆก็ตามที่ปะทะเข้ากับอุปกรณ์ที่ฝังรูนนี้เอาไว้จะทำให้ผู้ใช้ฟื้นฟูพลังชีวิตได้25หน่วย]
...
เพื่อยกระดับรูนเขาจึงต้องใช้ค่าประสบการณ์ไปไม่น้อย เพื่อยกระดับอุปกรณ์เขาก็จำเป็นต้องใช้แก่นอุปกรณ์ไปมหาศาล หลังจากกลายเป็นนักสู้ขอบเขตที่2แล้วหลินเซวียนก็เพิ่มระดับของสกิล อุปกรณ์และรูนของเขาขึ้นมาเป็นขอบเขตที่2อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เซ็ตรูนชุบทองทั้งหมดถูกฝังเอาไว้ในโล่นักล่ามังกรแล้ว
ความสามารถของเซ็ตรูนชุบทองนั้นดีที่สุดยามต้องเผชิญกับอสูรจำนวนมาก
การโจมตีจากอสูรขอบเขตที่1ไม่เพียงแต่ไม่อาจทำให้เขาบาดเจ็บเท่านั้นแต่ยังฟื้นฟูพลังชีวิตของเขาแทนเสียอีก
หลินเซวียนมีความสุขยิ่งนัก “เยี่ยมมาก!”
“แบบนี้เราก็ชนกับพวกอสูรขอบเขตที่3พวกนั้นได้แบบตรงๆแล้ว!”
เขากระชับค้อนโล่ราชันย์มังกรดินเอาไว้ในมือแน่นและฟาดเข้าใส่กลุ่มอสูรเบื้องหน้าจนพวกมันกลายเป็นเนื้อบดก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าใส่คางคกยักษ์
เขาใช้สกิลตรวจสอบดูแล้วเมื่อครู่ คางคกยักษ์ตัวนี้เป็นแค่อสูรขอบเขตที่3ทั่วๆไปเท่านั้น ค่าสถานะของมันเรียงลำดับตามนี้ ความอดทน31 , พละกำลัง41 , พลังจิต33และความเร็ว25
ยิ่งไปกว่านั้นค่าสถานะของอีกฝ่ายยังถูกสกิล ‘อำนาจของราชันย์แดนลับมากประสบการณ์’ ของเขากดข่มอีกด้วย
ค่าสถานะของอีกฝ่ายจึงไมอาจเทียบกับค่าสถานะของเขาได้เลย
คางคกยักษ์ทั้งตกใจและกราดเกรี้ยวเมื่อเห็นว่านักสู้เผ่ามนุษย์ผู้นี้กลับกล้าท้าทายคลื่นอสูรเพียงลำพัง ลิ้นที่เต็มไปด้วยน้ำลายของมันพุ่งกรีดอากาศจนบังเกิดเสียงลมหวีดหวิวและตรงมายังตำแหน่งปากของหลินเซวียน
หลินเซวียนแค่นเสียงแต่กลับเดินเข้าหาโดยไม่คิดจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
เคล้ง!
ลิ้นขนาดใหญ่ปะทะเข้ากับโล่นักล่ามังกร ไม่เพียงแต่ไม่อาจทำให้โล่กระเด็นได้เท่านั้นแต่ลิ้นของมันกลับฉีกขาดและบังเกิดเลือดสาดกระจาย
คางคกยักษ์ดึงลิ้นกลับเพราะความเจ็บปวดแต่กลับถูกหลินเซวียนคว้าลิ้นเอาไว้และใช้แรงดึงกลับนั้นส่งร่างของเขาเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายในชั่วพริบตา
จากนั้นเขาก็เงื้อค้อนโล่ราชันย์มังกรดินขึ้นและฟาดลงไปเต็มแรง!
ปัง!
ผิวหนังและเลือดเนื้อของคางคกยักษ์ถูกหวดจนเสียรูปพร้อมๆกับเลือดที่สาดกระจายออกมาจากร่างกาย!
มันเปล่งเสียงกรีดร้องน่าสังเวชออกมา
อสูรขอบเขตที่3ที่อยู่ใกล้ๆเร่งรุดเข้ามาช่วยเหลือมันในทันที
เพียงเสี้ยวพริบตาหลินเซวียนก็ถูกอสูรขอบเขตที่3นับสิบกลุ้มรุมเสียแล้ว นอกจากนี้ยังมีอสูรขอบเขตที่3อีกหลายตัวที่กำลังตรงมาทางนี้
หลินเซวียนเปิดใช้งานสกิลทั้งหมดและยังใช้สกิลประจำเซ็ตจ้าวเหนือหัวเพื่ออัญเชิญมดทหารห้าตัวออกมาช่วยอีกด้วย
ค่าสถานะของมดทหารเหล่านี้อยู่ที่50%จากค่าสถานะของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือค่าความอดทนของพวกมันคือ42 พละกำลัง20 พลังจิต20และความเร็ว18
ค่าสถานะนี้ดูแล้วอ่อนแอกว่าอสูรขอบเขตที่3อยู่เล็กน้อยแต่ก็ทรงพลังกว่าอสูรขอบเขตที่2มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเซวียนยังสามารถเปลี่ยนชนิดของมดทหารได้ตามใจอีกด้วย หนนี้เขาเลือกให้ทั้งห้าตัวนั้นเป็นมดทหารแดงเพลิง
กรดพิษของมดแดงเพลิงนั้นส่งผลต่ออสูรจากแดนลับเมืองบาดาลได้อย่างร้ายกาจ
นักกู้ซากและผู้อพยพบนกำแพงเมืองเองต่างก็เห็นภาพอันตระการตานี้เช่นเดียวกัน
อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าจู่โจมโล่วิญญาณประดุจดั่งคลื่นสาดซัดแต่โล่วิญญาณกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่ว่าคลื่นนั้นจะรุนแรงและน่าหวาดผวาเพียงใดเขาก็ยังคงหนักแน่นดุจหินผา!
“ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนี้...หมาป่าเดียวดายทรงพลังได้ถึงขั้นนี้จริงๆหรือนี่?” ซุนจื่อเกาตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
“ฉันติดสินใจแล้ว ฉันจะออกจากองค์กรพรุ่งนี้และกลายเป็นหมาป่าเดียวดาย!”
“ฉันด้วยๆ! ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว!”
ร่างแยกของหลินเซวียนได้ยินคำกล่าวทั้งหมดนี้และส่งมันกลับไปยังร่างหลัก
หลินเซวียนที่อยู่ใจกลางคลื่นอสูรอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
ถ้านักกู้ซากพวกนี้ไปเป็นหมาป่าเดียวดายจริงๆ ไม่เกินสามถึงห้าวันก็คงถึงฆาตแล้ว