Chapter 20 : เขาตัวคนเดียวแต่พวกเรามีตั้งสาม! พวกเราได้เปรียบ!
หลินเซวียนปรายตามองนักกู้ซากทั้งสามคนและเปิดใช้งานสกิลตรวจสอบที่เขามี
สกิลตรวจสอบของเขาตอนนี้อยู่ในระดับเลเวล3ขอบเขตที่2แล้วแถมยังเป็นเกรดสีทองอีกด้วย เขาสามารถตรวจสอบได้ทั้งระดับ ค่าสถานะ สกิลและอุปกรณ์สวมใส่ของนักสู้ในขอบเขตเดียวกัน
หลังจากมองดูแล้วหลินเซวียนก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้
ค่าสถานะพวกนี้มันอะไรกันนะ?
คนทั้งสามพัฒนาไปในทิศทางคล้ายๆกัน สองในสามนั้นมุ่งเน้นไปที่พละกำลังและอีกคนมุ่งเน้นไปทางด้านความเร็ว ยังไงก็ตามพวกนั้นกลับไม่กล้ายัดค่าสถานะที่ได้มาทั้งหมดลงกับตัวเองเหมือนกับที่หลินเซวียนทำ กลับกันคนพวกนี้ตัดสินใจลงแต้มที่มีไปกับค่าสถานะอื่นที่เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ค่าสถานะที่สูงที่สุดของคนทั้งสามอยู่ที่ 54 56และ51แต้มตามลำดับแต่ค่าความอดทนของหลินเซวียนนั้นสูงถึง85แต้มไปแล้ว
นี่แค่ค่าสถานะพื้นฐานเท่านั้น หากรวมกับค่าสถานะที่ได้จากอุปกรณ์และสกิลอีกความแตกต่างก็จะยิ่งกว้างขึ้นไปอีก
“ไม่คิดเลยว่าตัวเราจะห่างไกลจากนักสู้ทั่วๆไปขนาดนี้แล้ว สมใจดี” หลินเซวียนยิ้มอย่างมีความสุข
นักกู้ซากร่างสูงผอมเอ่ย “กำลังจะตายแท้ๆยังจะหัวเราะอีกงั้นหรอ?”
นักกู้ซากร่างอ้วนเอ่ยสำทับ “โล่วิญญาณพวกเรารอแกอยู่นี่มานานแล้ว”
นักกู้ซากตาเดียวเองก็พูดขึ้นเช่นกัน “พวกเรามีทางเลือกให้แกสองทาง หนึ่งสู้กับพวกเราสามคนเพียงลำพัง สองเข้าร่วม...”
หลินเซวียนเอ่ยขัดคอทันที “ข้อหนึ่งนั่นแหละ”
พอกล่าวจบเขาก็ยืนปักหลักลงบนพื้นพร้อมกับกระชับโล่นักล่ามังกรและโล่ค้อนราชันย์มังกรดินเอาไว้มั่นในมือ
นักกู้ซากทั้งสามคนหัวเราะออกมาด้วยท่าทีขุ่นเคือง
นักกู้ซากร่างสูงผอมเอ่ย “โล่วิญญาณแกนี่โอหังยิ่งกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ”
นักกู้ซากที่อยู่ภายในสถานีไร้ภัยต่างพากันถอนหายใจไปตามๆกัน
“นี่มันไม่ดีแล้วสิ หรือโล่วิญญาณจะเกิดอีโก้ขึ้นมาหลังจากท้าทายราชันย์แดนลับมาได้หลายต่อหลายตัว?”
“นอกจากโล่วิญญาณจะมีพลังต่อสู้ระดับสัตว์ประหลาดไม่เช่นนั้นอย่างมากเขาก็สู้ได้แค่สองคนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือคนทั้งสามได้เพียงลำพัง”
“แถมยังใช้โล่ตั้งสองอันด้วย! เขาคิดจริงๆหรือว่าโล่สองอันมันจะช่วยป้องกันการโจมตีจากคนสามคนได้น่ะ?”
ในเวลานี้เองเสียงย่ำเท้าก็ได้ดังขึ้น
เป็นโจวเฟิงที่เดิมทีควรจะวนเวียนอยู่ที่แดนลับขอบเขตที่1อย่างรังมดอสูรแต่เมื่อได้ยินข่าวการปรากฏตัวของโล่วิญญาณเขาก็รีบมาทันที
เขามองดูนักกู้ซากทั้งสามคนที่กำลังล้อมกรอบไอดอลของตัวเองเอาไว้
‘ทำยังไงดีนะ?!’
เขาคิดอยากจะตะโกนหยุดคนเหล่านั้นหากแต่มีมือข้างหนึ่งมาดึงเขาเอาไว้เสียก่อน
นักสู้ชุดดำดึงเขามาอยู่ข้างกายและเอ่ยบอก “อย่าส่งเสียง ดูไปก่อน”
โจวเฟิงชะงักไป
เขารู้จักคนผู้นี้ คนผู้นี้มักจะอยู่ข้างกายบิดาของเขาเสมอและยากนักจะที่ปรากฏกาย
“คุณจะลงมือต่อเมื่อเขาตกอยู่ในอันตรายเท่านั้นสินะ?” โจวเฟิงคาดเดาได้ทันที
นักสู้ชุดดำพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้วแต่คุณต้องสัญญากับผมก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ไอดอลของผมได้รับบาดเจ็บ เขาเพิ่งจะมาถึงทะเลราชันย์พฤกษาและพยังไม่ได้ยั่วยุใครเลยแต่นักกู้ซากสามคนนี้กลับกระโดดออกมาสร้างปัญหาให้กับเขาแล้ว” โจวเฟิงพึมพำ
นักสู้ชุดดำหัวเราะในลำคอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดา “นับตั้งแต่ที่เขาโด่งดังขึ้นมาก็ได้เป็นการยั่วยุองค์กรเจอร์มินัลแล้ว”
แทบทุกคนไม่ได้หวังเลยว่าโล่วิญญาณจะชนะ
พวกเขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของโล่วิญญาณ ถ้าสู้กัน1-1โอกาสสูงถึง90%ที่เขาจะชนะ ต่อให้สองคนรุมก็อาจจะไร้เทียมทาน
หากแต่หนึ่งต่อสามน่ะหรือ? น่าขัน กลับบ้านไปล้างเนื้อล้างตัวนอนดีกว่า
มีเพียงนักสู้ขอบเขตที่3เท่านั้นที่สามารถจัดการกับนักสู้ขอบเขตที่2สามคนได้อย่างง่ายดาย
นักสู้ในขอบเขตเดียวกันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนี้ได้
ยังไงก็ตามการต่อสู้นี้กลับทำให้พวกเขาประหลาดใจตั้งแต่เริ่ม
โล่วิญญาณยืนนิ่งไม่ไหวติง การโจมตีของนักกู้ซากทั้งสามคนที่โถมเข้าใส่เขาดูราวกับไร้ตัวตนและถูกโล่ยักษ์นั่นขวางกั้นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ไม่เพียงเท่านั้นแต่นักกู้ซากทั้งสามยังได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนกลับอีกด้วยทำให้พลังชีวิตของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
“เชี่ยเอ๊ย...แมร่งเป็นความเสียหายจริงนี่หว่า!” นักกู้ซากร่างผอมสูงก่นด่า
อุปกรณ์สวมใส่งั้นหรอ? หรือเป็นความสามารถจากสกิล? นักกู้ซากร่างอ้วนพึมพำอยู่ในใจ
“การโจมตีของฉันเจาะการป้องกันของมันไม่ได้เลยงั้นหรอ?” นักกู้ซากตาเดียวตกตะลึงยิ่งกว่าผู้ใด
ลู่หลัวเดิมทีคิดจะเข้าไปหยุดการต่อสู้แต่กลับต้องเห็นว่าโล่วิญญาณยังปลอดภัยไร้เรื่องราวแต่เป็นฝ่ายคนทั้งสามแทนที่กำลังเหงื่อแตกและพลังชีวิตลดลงอย่างบ้าคลั่ง
“โล่วิญญาณคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก” ความสนใจของเจ้าหล่อนเพิ่มมากขึ้นจนผมหางม้าของเจ้าหล่อนแกว่งไกวไปมาขณะที่สายตาก็จับต้องมองดูการต่อสู้อย่างสนอกสนใจ
แปดนาทีให้หลัง
หลินเซวียนมองดูหลอดพลังชีวิตของตนเอง ‘ยังเต็มอยู่’
และพอมองไปที่คนทั้งสาม ‘ดูเหมือนใกล้จะตายกันแล้ว’
คนพวกนั้นได้รับบาดเจ็บทั้งใจและกายจากความสามารถของโล่นักล่ามังกร มันสามารถท้อนความเสียหายจริงและทำให้อีกฝ่ายติดสถานะบาดเจ็บสาหัสได้ พลังชีวิตของคนทั้งสามจะไม่อาจฟื้นฟูได้ตามธรรมชาติและทำได้เพียงใช้โพชั่นเพื่อฟื้นฟูเท่านั้น
ยังไงก็ตามโพชั่นนั้นใช่ว่าอยากจะหาก็หาได้ มีเพียงนักสู้ที่มีสกิล ‘ทำยา’ เท่านั้นที่สามารถปรุงขึ้นมาได้
สิ่งนี้ยังทำให้เห็นอีกด้วยว่ากำลังผลิตโพชั่นเหล่านี้นั้นค่อนข้างต่ำและมีเพียงพวกนักสู้ระดับสูงเท่านั้นที่มีในครอบครอง
คนทั้งสามเองก็มีโพชั่นฟื้นฟูแต่พวกมันล้วนเป็นไพ่ตายสำหรับช่วยชีวิตจะให้เอามาใช้ง่ายๆได้ยังไง?
“ยังอยากสู้ต่อไหม?” หลินเซวียนถามด้วยท่าทีเกียจคร้าน
นักกู้ซากทั้งสามอยากจะร้องไห้ยิ่งนัก
พวกเขาไม่เคยเห็นการป้องกันระดับนี้มาก่อนเลยในชีวิต
กระทั่งราชันย์มังกรดินสิบตัวเองก็ต้านทานเขาไม่ไหวหรอกมั้ง?
“ไม่แล้ว...พี่ชายโล่วิญญาณพวกเราสามคนจะทำเป็นว่าไม่เห็นคุณก็แล้วกัน” นักกู้ซากร่างผอมสูงหยุดมือและรีบเอ่ยออกมา
ถ้าสู้กันต่อความเสียหายจริงจากการสะท้อนคงฆ่าพวกเขาจนตายเรียบแน่
พวกเขาจะเป็นคนกลุ่มแรกเลยแหละที่ ‘ฆ่าตัวตาย’
นักกู้ซากคนอื่นๆที่มามุงดูความสนุกพบว่าคนทั้งสามหนีหางจุกตูดไปแล้ว
หลังจากวันนี้เป็นต้นไปสถานะของโล่วิญญาณภายในใจของพวกเขาก็จะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก
“โล่วิญญาณสุดยอดมาก!”
“โล่วิญญาณไม่คิดเข้าร่วมกับองค์กรเจอร์มินัล! นายคือฮีโร่ในดวงใจของพวกเรา!”
“หมาป่าเดียวดายแล้วยังไง หมาป่าเดียวดายที่พึ่งความพยายามของตัวเองก็ยังสามารถก้าวล้ำนำองค์กรขนาดใหญ่ได้!”
แววตาของโจวเฟิงเปล่งประกายระยิบระยับ “ไอดอลของฉันเก่งขนาดนี้เชียว?”
นักสู้ชุดดำเองก็ไม่ค่อยพอใจนัก เขาอุส่าห์รอยื่นมือช่วยหากโล่วิญญาณตกอยู่ในสถานการณ์ขับคันเพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความประทับใจ แต่โอกาสนั้นกลับไม่เคยมีเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ลู่หลัวยิ้มกว้างและอดกำหมัดแน่นไม่ได้ “ดีมาก!”
หลังจากจัดการคนทั้งสามแล้วหลินเซวียนก็เดินจากไปภายใต้สายตายื่นชมของเหล่านักกู้ซากจำนวนมาก
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดเดิมและกลับไปที่องค์กรเจอร์มินัลตามปกติ
...
ครึ่งเดือนให้หลังร่างอวตารฝึกฝนของหลินเซวียนได้เริ่มฝึกที่เขตที่4ของทะเลราชันย์พฤกษาแล้ว
“สกิลนี้ไม่เลวเลย”
หลินเซวียนจ้องมองหน้าปกหนังสือสกิลที่มีชื่อว่า ‘เทคนิคร่างแยก’ และเกิดความสนใจขึ้นมา
ความสามารถของสกิลนี้คือสามารถสร้างร่างแยกที่มีค่าสถานะ20%ของร่างต้นขึ้นมาได้ ร่างแยกนั้นจะอยู่ได้30นาทีและร่างหลักสามารถควบคุมร่างแยกได้
“เรียนเลย! บางทีอาจจะได้ใช้ซักวัน”
นอกจากนี้หลินเซวียนยังคงเพิ่มระดับให้คนทั่วๆไปเห็นอีกด้วย ตอนนี้ระดับที่คนภายนอกเห็นของเขาอยู่ที่เลเวล9ขอบเขตที่0แล้ว หลังจากร่วมทีมกับซุนจื่อเกาและคนอื่นๆในการท้าทายราชันย์แดนลับของถ้ำหินยักษ์แล้ว เขาก็ทำการ ‘เลื่อนขั้น’ เป็นนักสู้ขอบเขตที่1 ยิ่งไปกว่านั้นระดับในองค์กรของเขายังเพิ่มเป็นหกดาวแล้วด้วย
ในช่วงที่ผ่านมานี้มีนักกู้ซากคนแล้วคนเล่ารอบกายของหลินเซวียนที่ตกตายในแดนลับ ยังไงก็ตามหลินเซวียนยังคงรอดมาตลอด
ไม่เพียงแต่รอดได้เท่านั้นเขายังกระทั่งเลื่อนขั้นเป็นนักสู้ขอบเขตที่1ได้อีกด้วย
ตัวอย่างอันดีนี้ทำให้นักกู้ซากหลายๆคนเกิดแรงบันดาลใจ
ใบหน้าของผู้ดูแลเขตBหยางเว่ยมืดครึ้มลงเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยส่งลูกสมุนไปก่อปัญหาให้หลินเซวียน
หากแต่นักกู้ซากเหล่านั้นหาตัวหลินเซวียนไม่พบเลยซักครั้งหรือถ้าไม่งั้นก็มักจะถูกกิ้งก่ากลืนทองโจมตีโดยไร้เหตุผล
“โมโหโว้ย เป็นถึงผู้ดูแลแท้ๆแต่กลับทำอะไรนักกู้ซากคนนึงไม่ได้” หยางเว่นสบถ
ในเวลานี้เองเสียงแจ้งเตือนพลันดังขึ้น แสงแจ้งเตือนสีแดงส่องสว่างไปทั่วห้องพัก หอประชุมและพื้นที่อื่นๆ
น้ำเสียงนิ่งเรียบของผู้จัดการหมายเลข1ดังผ่านทางวิทยุ
“กลุ่มอสูรปิศาจกำลังมุ่งมาตรงมายังเมืองทะเลสาบตะวันออก จากการคำนวนคาดว่ามันจะมาถึงฝั่งตะวันออกของเมืองในอีกเจ็ดชั่วโมง ผู้ดูและนักกู้ซากทุกคนจงรีบมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองเขตตะวันออกของเมืองทะเลสาบตะวันออกเพื่อวางแผนการรับมือทันที!”