บทที่ 189 : เนลม์ไฮมฟ์ (10-1)
บทที่ 189 : เนลม์ไฮมฟ์ (10-1)
ทว่าในท้ายที่สุดดาบก็ไม่อาจไปถึงตัวรีเจียนได้
เขาเปลี่ยนท่าทางและปัดป้องมันอย่างราบรื่น ฉันมองดูมือขวาที่สั่นเทาของตัวเองเบาๆ การเคลื่อนไหวที่ฉันเพิ่งทำนั้นเฉียบคมและซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใดที่ฉันเคยทำมาก่อน
“มันดีกว่าครั้งที่แล้วมากนายท่าน”
รีเจียนลดดาบของเขาลง
เท้าของรีเจียนไม่ได้ขยับเลยตั้งแต่เราเริ่มฝึกซ้อม เขาก็ถอยหลังไปแค่หนึ่งก้าว
“ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แตกต่างกันงั้นเหรอ?”
“สำหรับนายท่าน การสังเคราะห์ไม่ใช่แค่การดูดซับคะแนนประสบการณ์เท่านั้น”
รีเจียนลดเสียงของเขาลง
“แต่ต้องระวัง ประสิทธิภาพที่สูงไม่ได้ดีกว่าเสมอไป มีความเสี่ยงที่ข้อมูลระหว่างนายท่านกับเป้าหมายอาจจะปะปนกันหรืออาจส่งผลเสีย”
ฉันพยักหน้า
ฉันได้รับการปรับเปลี่ยนบางอย่างในด้านดาบผ่านการสังเคราะห์ร่วมกับเชย์ มันช่วยส่งเสริมการเติบโตของฉันอย่างแน่นอน
ฮีโร่ระดับต่ำที่ไม่มีความสามารถโดดเด่นอาจได้รับประโยชน์จากมัน แต่หากสังเคราะห์ฮีโร่ที่มีอันดับสูงกว่า พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์ที่คล้ายกัน
ซึ่งทำให้สิ่งนี้มันไม่ได้ไม่มีข้อบกพร่องเลย
“แต่ถ้าทำการสังเคราะห์มากเกินไป…”
ข้อมูลจะปะปนกัน
“มีเหตุผลว่าทำไมนายท่านที่ใช้ดาบไม่สามารถเรียนรู้ทักษะการป้องกันได้ ทิศทางของพรสวรรค์อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่…”
“เราควรระวังสินะ”
ยังไม่มีฮีโร่ขั้นสูงในทาวน์เนียที่เป็นฮีโร่ระดับ 4 ดาวหรือสูงกว่า
เมื่อห้องรอขยายและจำนวนชั้นเพิ่มขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีฮีโร่สองสามคนที่อาจจะถูกรวมเข้ากับฉันในระหว่างนี้
'แต่ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจ'
นายท่านแห่งทาวน์เนียไม่ใช่ฉัน
แม้ว่าฉันจะเป็นผู้นำในห้องรอ แต่ฉันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้สังเคราะห์โดยพละการ
ทว่าฉันก็ยังคงมีอิทธิพลต่อไรก็ได้ในทางอ้อม ฉันจำเป็นต้องคิดในมุมนี้ด้วย
“ฉันยกระดับขึ้นหนึ่งระดับในเวลาเพียงหนึ่งวัน ฉันคิดว่าจะใช้เวลาสิบวันก็น่าจะพอแล้ว”
“สมกับเป็นพรสวรรค์ของนายท่าน…”
“หยุดชมฉันเถอะ มันน่าอาย หากความคืบหน้าเร็วกว่าที่ฉันคาดไว้ ทักษะการต่อสู้ระดับกลางเพียงอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอ”
"หากเป็นเช่นนั้น…"
“ฉันต้องการเรียนรู้ทักษะ 'วิญญาณดาบสวรรค์'”
'วิญญาณดาบสวรรค์ไม่ใช่ของทั่วไป
เท่าที่ฉันรู้รีเจียนเป็นฮีโร่เพียงคนเดียวที่ครอบครอง 'วิญญาณดาบสวรรค์'
'วิญญาณดาบสวรรค์' เป็นทักษะพิเศษที่มีผู้ครอบครองเพียงคนเดียว
“ด้วยความยินดีครับ”
รีเจียนก้มศีรษะมาที่ฉัน
“แต่ก่อนหน้านั้น นายท่านต้องฝ่าฟันทักษะการต่อสู้ระดับกลางให้ได้เสียก่อน”
“มีข้อจำกัดในเรื่องนั้นหรือเปล่า?”
“ไม่ครับแต่การเรียนรู้มันอาจเป็นไปได้ และผมต้องขอโทษล่วงหน้า แม้ว่าผมจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว นายท่านก็อาจจะไม่สามารถเรียนรู้มันได้”
“ไม่สำคัญหรอก ฉันจะไม่ตำหนินายเลย ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงเป็นเพราะฝีมือของฉันเอง”
รีเจียนทุ่มเททุกอย่างให้กับฉัน
หากฉันไม่สามารถเรียนรู้ได้ นั่นถือว่าเป็นความอ่อนแอของฉันเอง
'ฉันควรเปลี่ยนตารางฝึกสักหน่อย'
ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับมากกว่าที่ฉันคิดจากที่นี่
ฉันต้องลงทุนเวลาอีกสักหน่อย
'ฉันต้องเว้นจากการฝึกความแข็งแกร่ง'
การฝึกความแข็งแกร่งเป็นการฝึกที่สามารถทำได้หลังจากกลับไปแล้ว
แต่การซ้อมและฝึกซ้อมกับรีเจียนถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ฉันควรจะขอให้ ยูเน็ตจัดเวลาช่วงเย็นด้วย การเว้นว่างไว้นานเกินไปอาจทำให้ฉันพลาดท่าได้
“ถ้าอย่างนั้นการฝึกฝนครั้งต่อไป…”
"นายท่าน"
ฉันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เมื่อมองไปด้านข้าง ฉันสังเกตเห็นนิดเลสซึ่งกำลังลากรถเข็นหลายชั้นเข้ามา บนรถเข็นมีอาหารหลากหลายวางอยู่บนจานคุณภาพสูง
“ถึงเวลาอาหารแล้ว นายท่านมาหยุดพักด้วยกันรับประทานอาหารเถอะค่ะ”
นิดเลสจับผ้ากันเปื้อนของเธอ และโต๊ะไม้เล็กๆ ก็ปรากฏขึ้น
เธอจัดเก้าอี้ วางจานต่างๆ ไว้บนโต๊ะ แล้วโค้งคำนับก่อนจะหายตัวไป เธอก็ยังเป็นคนยุ่งตลอดเวลาเหมือนเดิม ฉันเก็บดาบของฉันเข้าไปในฝัก
“ฉันว่าเราควรกินข้าวก่อน”
หลังจากทานอาหารเสร็จฉันก็พักสักหน่อย
จากนั้นฉันก็เผชิญหน้ากับรีเจียนอีกครั้ง ฉันพยายามดึงความรู้สึกที่ฉันรู้สึกเมื่อเพิ่มระดับทักษะอาวุธออกมาขณะฟันดาบลงไป
“มันยังไม่ค่อยดี”
มันรู้สึกเหมือนเป็นโชคของมือใหม่ ความรู้สึกนั้นบางเบบายิ่ง
แต่มันก็ไม่ได้หายไปหมด มันค้างอยู่ในมือของฉันอย่างแผ่วเบา ฉันมองไปที่รีเจียนท่าทางเขายังคงเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ฉันยกดาบขึ้นแล้วรีบเข้าไป
เคล้ง!
ดาบปะทะกันและเกิดเสียงดัง
ทุกครั้งที่ฉันแทงรีเจียน เขาจะเปลี่ยนทิศทางดาบของเขาอย่างราบรื่น หันเหและสกัดกั้นดาบฉันได้อย่างง่ายดาย แม้จะสังเกตมาหลายชั่วโมง การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังคงเป็นปริศนา
“เทคนิคของนายท่านดีขึ้นแล้ว” รีเจียนพูดพร้อมปัดป้องการฟันแนวทแยงของฉันอย่างง่ายดาย
“นั่นเพราะฉันไม่ได้ใช้ทักษะความบ้าคลั่ง”
สำหรับการซ้อมช่วงบ่าย เราตัดสินใจต่อสู้ด้วยวิธีที่ต่างออกไป
ในขณะที่การฝึกช่วงเช้าเน้นไปที่ความแข็งแกร่งและความเร็ว คราวนี้เราวางแผนที่จะทดสอบแนวทางที่เน้นเทคนิคมากขึ้น แม้ว่าจะหมายถึงต้องอ่อนลงและช้าลงเล็กน้อยก็ตาม
“การเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นธรรมชาติบางครั้งปรากฏขึ้นในวิชาดาบของนายท่าน ดูเหมือนจะเป็นเพราะทักษะคนๆ นั้นสินะครับ” รีเจียนให้ความเห็น
“นั่นไม่ใช่เสียทีเดียว” ฉันตอบพร้อมแกว่งโล่
ฉันวาดดาบเป็นครึ่งวงกลมขณะที่ปัดไปที่โล่
รีเจียนหยุดชั่วครู่แล้วพูดต่อ “เมื่อนายท่านไปถึงระดับ 10 นายท่านควรพิจารณาเรื่องแยกทักษะออกนะครับ”
“ฉันก็คิดเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
เพื่อเปลี่ยนทักษะ คุณต้องมีไอเท็มพิเศษที่เรียกว่า “ยาปลุกพลัง” มันต้องใช้วัสดุหายากหลายชนิดและการเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูง แต่ที่นี่มันธรรมดาพอๆ กับก้อนกรวด การนำวัตถุดิบมาสักสองสามอย่างก็ทำได้แล้ว
มีหลายอย่างมากมายให้ฉันทำ
นั้นก็คือ การปรับตัวและการเรียนรู้วิชาดาบถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ฉันต้องบรรลุเป้าหมายนี้ แม้ว่ามันจะหมายถึงการพลาดอะไรไปอีกหล่ายอย่างก็ตาม
ประการที่สอง ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนประเภทของดาบของฉัน
โล่นั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเอาชนะวิกฤติต่างๆ มากมายได้ก็ต้องขอบคุณมัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมาะกับความสามารถของฉัน เพื่อก้าวไปสู่ทักษะการใช้ดาบระดับสูงขึ้น ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการใช้ดาบกับโล่มาเป็นการใช้ดาบแบบปกติ
เป้าหมายที่สามคือการได้รับทักษะ “วิญญาณดาบสวรรค์”
หลักการอาจซับซ้อน แต่ผลลัพธ์นั้นเรียบง่าย ขยายพลังและความเร็วที่ใช้กับอาวุธ หากประสานกันอย่างเหมาะสม มันจะติดปีกให้กับทักษะความบ้าคลั่งของฉัน มันเทียบเท่ากับการปรับค่าสถานะของฉันขึ้นไปสองเท่า
ประการที่สี่คือการเพิ่มระดับทักษะความบ้าคลั่ง
ดังที่ฉันรู้สึกและตามที่รีเจียนกล่าวไว้ การเปิดใช้ทักษะความบ้าคลั่งดูเหมือนจะมีโทษมากกว่าผลที่ได้ แต่หากฉันสามารถชดเชยมันด้วยข้อดีได้ล่ะก็…
'แต่มันจะเยอะเกินกว่าที่ฉันจะทำได้หรือเปล่านะ?'
เวลามีจำกัดเกินกว่าจะทำสำเร็จในครั้งเดียว
แต่หากทำสำเร็จ ฉันก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่มีที่เปรียบ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเก็บเรื่องประการที่สี่ไว้ในใจและบอกตัวเองอย่าหักโหมจนเกินไป