1301 - พุ่งสู่โลก
1301 - พุ่งสู่โลก
เซียนเฒ่าไม่ได้กล่าวอะไรมาก เขานั่งกินเนื้อจระเข้อย่างเงียบๆแม้ว่าเย่ฟ่านจะพยายามสอดแทรกบทสนทนาแต่เขาเพียงยกมือขึ้นเพื่อให้เย่ฟ่านสงบปากสงบคำเท่านั้น
หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำแล้ว เซียนผู้เฒ่าก็เริ่มตัดหนังของจระเข้ออกมาทำเสื้อผ้า
ดวงตาของเย่ฟ่านร้อนผ่าวด้วยความอิจฉา แม้ว่าเขาจะได้รับหนังจระเข้เช่นกันแต่เขาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะนำมันมาสร้างเป็นชุดเกราะให้กับตัวเอง
จากนั้น ชายชราผู้ดุร้ายก็เริ่มล้างอุปกรณ์การทำอาหารของตัวเองภายในทะเลปีศาจเขาเก็บรวบรวมวัสดุทั้งหมดอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาสนทนากับเย่ฟ่านเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
เย่ฟ่านเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น เซียนเฒ่านั้นสมบูรณ์แบบมาก หากไม่นับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ตื่นขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เย่ฟ่านรู้สึกว่านี่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ
เซียนเฒ่าใช้เปลวไฟของตัวเองเผาผลาญเนื้อก้อนใหญ่เพื่อลบล้างความเครียดแค้นของบรรพชนจระเข้ออกไปทั้งหมดก่อนจะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นโลหิตไม่กี่หยดและมอบให้กับเย่ฟ่าน
แก่นแท้ของบรรพชนจระเข้นี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง หากฮั่วอวิ๋นเฟยซึ่งฝึกฝนทักษะอสูรคืนสวรรค์ได้รับสมบัติชิ้นนี้เขาอาจจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนได้เลย
เย่ฟ่านสูดดมโลหิตแก่นแท้ของบรรพชนจระเข้ ความดุร้ายทั้งหมดถูกขัดเกลาออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงกลิ่นหอมของยาเท่านั้น โลหิตแก่นแท้นี้มีมูลค่าไม่เป็นรองของเหลวจากยาเซียนอย่างแน่นอน
เย่ฟ่านมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่เซียนเฒ่าเงียบมากและแทบไม่กล่าวอะไรเลย เขาเดินไปรอบๆ ดวงตาทะเลปีศาจหลายรอบและใช้ความคิดอยู่ลำพังคนเดียว
เย่ฟ่านก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างและเขาไม่สามารถสอดแทรกบทสนทนาได้
เมื่อถึงเวลาเที่ยง ในที่สุดเซียนเฒ่าก็ขยับตัว เขายืมเตาหลอมยาของเย่ฟ่านใบหนึ่ง เย่ฟ่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมอบเตาเทพสุริยันออกมา
เซียนเฒ่าคนนี้มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เขานำอวัยวะภายในของบรรพชนจระเข้ใส่เข้าไปในหม้อจากนั้นก็เริ่มกลั่นมันเป็นเม็ดยาอย่างเงียบๆ
แม้ว่าอวัยวะของบรรพชนจระเข้จะมีมากมายมหาศาล แต่เมื่อพวกมันถูกกลัดออกมาเป็นเม็ดยากลับมีเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น
เย่ฟ่านอดทนและพูดคุยกับเซียนเฒ่าต่อไป แม้ว่าชายชราคนนี้จะค่อนข้างเพิกเฉย แต่นานๆ ครั้งเขาก็ยังหันกลับมาตอบคำถามอยู่บ้าง
ในท้ายที่สุด เย่ฟ่านก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสอบถามในสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด เมื่อตกกลางคืนเซียนผู้เฒ่าจะเกิดความบ้าคลั่งหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้หลบหนีออกจากดาวดวงนี้ทันที!
เย่ฟ่านชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้า เขารู้สึกว่าหากเซียนเฒ่ายืนอยู่ในโลกฝั่งที่หมุนเข้าสู่ดวงอาทิตย์เขาก็จะอยู่ในเวลากลางวันตลอด ซึ่งจะทำให้ความบ้าคลั่งของเขาไม่ตื่นขึ้น
เซียนเฒ่าส่ายหน้าและคิดเงียบๆ เพียงคนเดียว เขาไม่ได้ให้ความสนใจเย่ฟ่านมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดถึงปัญหาของตัวเอง
“ข้าจะไปแล้ว” เซียนเฒ่ายืนขึ้นและกล่าวออกมาในที่สุด
“ผู้อาวุโสจะไปไหน” เย่ฟ่านถาม
โดยธรรมชาติแล้ว การสื่อสารของพวกเขานั้นดำเนินผ่านพลังวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เย่ฟ่านและชายชราซึ่งมีอายุห่างกันหลายล้านปีจะสนทนาภาษาเดียวกันได้
“ส่วนลึกอันเงียบสงบของจักรวาล สถานที่พลังแห่งความมืดจะเข้าไปไม่ถึง...” เซียนเฒ่ากระซิบ
เขาบอกเย่ฟ่านว่าสิ่งที่เรียกว่ากลางวันกลางคืนนั้นไม่ใช่แสงแดด แต่เป็นความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพซึ่งมีความสมดุลกันอยู่เสมอ
เย่ฟ่านรู้ว่าเขากำลังจะเนรเทศตัวเองไปชั่วนิรันดร์ เขากลัวที่จะทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะเดินทางไปยังส่วนลึกของทะเลดวงดาวโดยไม่กลับออกมาอีก
ในเวลาต่อมาเสียงโลหะเริ่มสั่นไหว โซ่สีแดงฉานซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเต๋าก็เริ่มผูกมัดร่างกายของชายชราอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสจะทำอะไร…”
“สิ่งนี้เป็นโซ่ตรวนที่ข้าสร้างขึ้น มันจะพังทลายลงก็ต่อเมื่อตัวข้าฟื้นคืนสติในช่วงเวลากลางวัน เมื่อถึงตอนกลางคืนสติของข้าจะสับสนและลืมวิธีที่จะทำลายสิ่งนี้ นั่นทำให้ข้าสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้สังหารผู้คนได้”
เย่ฟ่านถอนหายใจเบาๆ เซียนโบราณคนนี้ทรงพลังอย่างมาก แต่เขากลับมีโชคชะตาอันน่าเศร้า
“ข้าอาจจะผสานคัมภีร์สุริยันจันทราเข้าด้วยกันได้สักวันหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะออกตามหาเจ้าและมอบทักษะที่สมบูรณ์แบบนี้ให้..” เซียนเฒ่ากล่าว
หัวใจของเย่ฟ่านสั่นไหว จากนั้นเขาก็รีบถ่ายทอดอักขระเก้าตัวที่ได้รับจากจักรพรรดิสุริยันมอบให้ชายชรา เขาเชื่อว่าสิ่งนี้มันจะมีส่วนอย่างมากในการทำให้คัมภีร์สุริยันจันทราสมบูรณ์แบบ
“ทักษะที่มาจากคัมภีร์สุริยันที่เจ้าเรียนรู้นั้นแตกต่างกันกับข้าและมันเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษา น่าเสียดายที่ข้าไม่มีอะไรตอบแทนเจ้า คัมภีร์สุริยันจันทราที่ข้าเรียนรู้มานั้นมีข้อบกพร่องมันอาจทำให้เจ้ากลายเป็นคนแบบเดียวกันกับข้า”
เซียนเฒ่าเตือนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกเดินทาง เขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปิดประตูมิติก้าวออกจากโลกทันที
เย่ฟ่านตกอยู่ในอาการงุนงง เขาเฝ้ามองท้องฟ้าจากระยะไกล จากนั้นเขาก็รออยู่ครึ่งวันเพื่อดูว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นในโลกนี้หรือไม่
เย่ฟ่านท่องไปทั่วดวงดาวและเห็นซากปรักหักพังของสถานีอวกาศรวมทั้งเศษซากของหุ่นยนต์สำรวจกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง
“ยานโวเอเจอร์ 48 ฉางเอ๋อ 19...”
เย่ฟ่านสังเกตอย่างระมัดระวัง ย่านเหล่านี้ล้วนได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกมันมาจากสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ และมีบางส่วนที่มาจากจีน
หลังจากมองดูดาวอังคารเป็นครั้งสุดท้ายร่างของเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อกลับสู่โลก แม้ว่าเย่ฟ่านแต่ยังอยู่ห่างจากโลกมนุษย์หลายล้านลี้แต่ระยะทางเพียงเท่านี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงของเขา
จากข้อมูลในอดีตเย่ฟ่านรู้ว่าโลกและดาวอังคารอยู่ห่างกันประมาณแปดสิบเอ็ดล้านกิโลเมตร ระยะทางนี้มากกว่าระยะทางจากตงหวงไปจงโจวประมาณยี่สิบเท่า
ในที่สุดร่างของเย่ฟ่านก็หลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร เขากวาดสายตามองหาทิศทางของโลกด้วยความระมัดระวัง
แน่นอนว่าหากเขาเดินทางด้วยวิธีการบินต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ไม่มีทางกลับถึงโลกอย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะกลับมาจักรพรรดิดำได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลให้เขาจำนวนหนึ่ง สิ่งนี้จะนำทางเขากลับสู่โลกอย่างง่ายดาย
เย่ฟ่านน้ำตาไหลออกมา เขาออกจากบ้านมาหลายสิบปีแล้วไม่รู้ว่าตลอดหลายปีนี้บิดามารดาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ในอดีต เขาเคยประสบกับการต่อสู้ครั้งใหญ่มานับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้จิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวลยากที่จะสงบลงได้
“โลก ฉันกลับมาแล้ว…”
ดวงตาของเย่ฟ่านเต็มไปด้วยน้ำตา เขาเดินทางไปกับโลงศพทองแดงเป็นเวลากว่ายี่สิบปี และตอนนี้เขาก็มีโอกาสที่จะกลับบ้านแล้ว
ความคิดที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเย่ฟ่านไม่สามารถสงบลงได้
เมื่อมองจากระยะไกลในอวกาศ ดาวสีน้ำเงินน้ำดูงดงามมาก มันเป็นเหมือนเพชรสีน้ำเงินที่เปล่งประกายอยู่กลางท้องฟ้า
เย่ฟ่านนำแท่นหยกที่บรรจุค่ายคนเคลื่อนย้ายทางไกลออกมาใช้หลายสิบชิ้นกว่าที่เขาจะเดินทางกลับมาถึงโลกได้
ตอนนี้บ้านเกิดของเขาอยู่ห่างไม่กี่กิโลเมตรแล้ว โลกใบนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโลกอำพรางสวรรค์แล้วมันมีขนาดเล็กมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมาอีกครั้งเย่ฟ่านกลับมีความรู้สึกว่ามันมีขนาดใหญ่โตมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้
“มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันใหญ่กว่าโลกที่ฉันรู้จักหลายเท่า มันแทบจะมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับดาวจื่อเว่ยได้เลย”
เย่ฟ่านหยุดอยู่ด้านนอกของโลกและสำรวจด้วยความระมัดระวัง
เขามองออกไปจากระยะไกลและรู้สึกว่าโลกนี้น่ากลัวกว่าที่เขาเคยรู้จัก มันเหมือนกับสัตว์ร้ายโบราณที่กำลังนอนหลับไหล
ในตอนนี้เขามีฐานการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งเมื่อกลับมาที่โลกอีกครั้งเขาย่อมสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ได้ มันเป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ทันใดนั้น มีดาวดวงหนึ่งเลื่อนตัวผ่านท้องฟ้า เมื่อมองอย่างระมัดระวังแล้วเย่ฟ่านก็รู้สึกว่ามันคือดวงจันทร์นี่เอง
บนนั้นมีหลุมอุกกาบาตเรียงกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน สภาพของมันแตกต่างจากโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง
“มันมีบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ” เย่ฟ่านประหลาดใจเป็นอย่างมาก
……..