บทที่ 5 ข้าไม่ใช่คนโง่
บทที่ 5
ข้าไม่ใช่คนโง่
ไม่ว่าด้วยอะไร ภาพลักษณ์ของนางตอนนี้คือคนโง่เขลา กระทำสิ่งใดผู้อื่นล้วนไม่คิดเอาความ นางจึงเกิดคิดว่าควรใช้เรื่องนี้ให้เกิดประโยชน์ หากไม่รีบฉกฉวยโอกาสเสียตอนนี้ ภายหน้าอาจไร้ซึ่งโอกาสได้กระทำอีก
หลิงอวี่จื้อที่ตัดสินใจไม่กังวลภาพลักษณ์ของตน ดังนั้นจึงเผยยิ้มไร้เดียงสาให้หวังเซียวเยี่ยนพร้อมกล่าวคำ “พี่ชายหล่อเหลายิ่งนัก”
"อวี่จื้อ ระวังคำพูด" หลิงจื่อเชิ่งเกรงว่าหลิงอวี่จื้อจะล่วงเกินหวังเซียวเยี่ยน เขารีบหยุดหลิงอวี่จื้อก่อนจะเหลือบมองหวังเซียวเยี่ยนอย่างระมัดระวัง
ไม่มีการแสดงออกใด ๆ บนใบหน้าของหวังเซียวเยี่ยน และเขายังถามกลับโดยสีหน้าที่นิ่งเฉยอีกว่า "จื่อเชิ่ง นี่คือคุณหนูใหญ่แห่งคฤหาสน์เสนาบดีหรือ?"
“ถูกต้องแล้วขอรับ นางคือน้องสาวของข้า และโง่เขลามาแต่กำเนิด ขอผู้แทนพระองค์ละเว้นความขุ่นเคืองต่อนางด้วยเถอะ”
โง่เขลาก็เป็นน้องสาว ใช่แล้ว โง่เขลาอย่างไรก็ยังเป็นน้องสาวของเขา
“ท่านพี่ เช่นนั้นข้าจึงขอตัวก่อน”
หลิงอวี่จื้อเกิดละทิ้งความสนใจผู้แทนพระองค์ตรงหน้า หากอีกฝ่ายมีใจก็คุ้มค่าเสี่ยง แต่สุดท้ายนั้นไร้ค่า นางจึงตัดสินใจหยุดเพียงเท่านี้ ภายหน้าค่อยหาวิธีกลับคืนความเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
หลิงจื่อเชิ่งพยักหน้า เขาลอบคิดในใจว่าจะมาพบกับ หลิงอวี่จื้อในภายหลัง จิตใจของหวังเซียวเยี่ยนไม่อาจคาดเดา เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเซียวเยี่ยน แม้แต่เขาก็ยังต้องระมัดระวังอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงหลิงอวี่จื้อที่ไม่เข้าใจโลกใบนี้
หลิงอวี่จื้อเดินไปตามที่สาวใช้นำทาง ผ่านพ้นไม่กี่ก้าวจึงได้พบหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายดูดี รูปกายของนางค่อนข้างมีน้ำมีนวล ผ่านการดูแลเป็นอย่างดี รูปลักษณ์ดูดี ไร้ซึ่งกลิ่นใด เพียงมองก็ทราบได้ว่าเป็นสตรีที่ชาญฉลาด
จากความทรงจำเท่าที่นึกออก นางทราบว่าสตรีผู้นี้คืออนุเหลียน* เป็นมารดาของหลิงอวี่หรง บ่อยครั้งมักกลั่นแกล้ง หลิงอวี่จื้อทางอ้อม และเป็นหลิงอวี่จื้อที่หน้าโง่ หาได้ทราบไม่ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง
*อนุเหลียน ย่อมาจาก อนุภรรยาเหลียน เป็นภรรยารองของบิดาหลิงอวี่จื้อ*
จริงด้วย นางยังไม่ได้เช็ดมือนี่? ที่ตรงนี้มีเซียวเยี่ยน นางเล็งเห็นโอกาสนี้สะสางป้าคนเลวตรงหน้า!
“อนุเหลียน ให้ข้ากอดท่าน!”
หลิงอวี่จื้อไม่รอให้อนุเหลียนกล่าวตอบ นางพุ่งเข้าไปคว้าแขนของอีกฝ่าย และเช็ดมูลนกทั้งหมดบนแขนเสื้อของ อนุเหลียนอย่างมั่นเหมาะ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของอนุเหลียนเผยความรังเกียจ นางผลักหลิงอวี่จื้อออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ตอนนี้หลิงจื่อเชิ่งและผู้แทนพระองค์อยู่ไม่ไกลนัก นางจึงไม่กล้ากลั่นแกล้งเด็กสาว จึงทำได้เพียงผลักออกเบา ๆ เท่านั้น
แต่ผู้ใดกันนึกคิดว่าหลิงอวี่จื้อจะทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮออกมา “อนุเหลียน น้องสามรังแกข้า ท่านก็ยังกลั่นแกล้งข้า ไม่เพียงกลั่นแกล้งข้า แต่ถึงกับกลั่นแกล้งผู้แทนพระองค์! กล่าวว่าผู้แทนพระองค์เป็นชู้กับไทเฮา แสร้งทำตัวเป็นฮ่องเต้น้อย แต่ข้าไม่คิดเชื่อ ผู้แทนพระองค์ที่หล่อเหลาเพียงนั้น มีหรือจะกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นที่ว่า!”
ทั้งหมดคือคำพูดต้องห้าม หลิงอวี่จื้อร้องเสียงดังเพื่อให้หวังเซียวเยี่ยนและหลิงจื่อเชิ่งได้ยิน ทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจน หลิงจื่อเชิ่งพลันตื่นตระหนก และรู้สึกสั่นสะท้านอย่างไร้ควบคุม ทว่าใบหน้าของหวังเซียวเยี่ยนไร้ซึ่งอารมณ์ใด เขาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า หลิงจื่อเชิ่งได้สติจึงรีบวิ่งตามเขามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังเดินเข้ามา ขาทั้งสองข้างของ อนุเหลียนถึงกับอ่อนแรงราวกับเป็นอัมพาต
หลิงอวี่จื้อเป็นคนโง่ เหตุใดนางถึงพูดเช่นนั้น? ผู้ใดสั่งสอนนาง?
อนุเหลียนคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวอย่างรีบร้อน "ท่านผู้แทนพระองค์ ข้าราชบริพารไม่เคยกล่าวเช่นนี้ ทั้งหมดที่คุณหนูใหญ่กล่าวนั้นเป็นวาจาไร้สาระ!”
ดวงตาหลิงอวี่จื้อรื้นด้วยน้ำตา นางเงยหน้าขึ้นพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อนุเหลียน บรรพชนสั่งสอนว่าไม่ให้โกหก เรื่องราวที่พวกท่านพูดกล่าวข้าหรือจะลืมได้ แต่เป็นจดจำได้แม่นยำ”
“เจ้า...” อนุเหลียนจ้องมองหลิงอวี่จื้อราวกับจะฉีกเนื้อหนัง นางรู้สึกโกรธแค้น และรู้สึกว่าตนถูกคนโง่ข่มเหงรังแก “เจ้า… ข้าจะกล่าววาจาหยาบคายเช่นนั้นได้อย่างไร...”
“ท่านกล่าวว่าข้าโง่และไม่มีวันเข้าใจ เป็นข้าไม่ทราบความหมาย แต่ข้าจดจำได้ อนุเหลียน หรือข้าไม่ใช่คนโง่? แต่เป็นท่านที่โง่”
หลิงอวี่จื้อมองอนุเหลียนอย่างโกรธเคือง ทำแก้มป่องไม่พึงพอใจ เผยสีหน้าซื่อประหนึ่งเด็กน้อย ทั้งน่ารักและน่าชัง