บทที่ 40 ข้าเป็นลุงของเจ้ากระมัง
บทที่ 40
ข้าเป็นลุงของเจ้ากระมัง
ทันทีที่นางนั่งลง เสี่ยวเอ้อร์ก็ก้าวเข้ามาหาบริการ หลิงอวี่จื้อ พลางส่งยิ้มให้อย่างกระตือรือร้น “คุณชายน้อย ท่านคงมาที่นี่เพื่อพบท่านซื่อจื่อ วันนี้ท่านซื่อจื่อไม่ได้มาขอรับ”
หลิงอวี่จื้อชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเข้าใจความหมายของคำพูดเสี่ยวเอ้อร์ ที่แท้เขาจำนางได้ นางจึงยิ้มให้ “วันนี้ข้ามาดื่ม นำสุรามาให้ข้าไหหนึ่ง ถั่วจานหนึ่ง แล้วก็เนื้อวัวอีกครึ่งชั่ง”
“ได้ขอรับ เค่อกวน* รอสักครู่ขอรับ”
*เค่อกวน สรรพนามสุภาพที่ใช้เรียกแขกหรือลูกค้าที่โรงแรมหรือร้านอาหาร
เสี่ยวเอ้อร์รีบร้อนไปจัดการให้
หนานเยี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามหลิงอวี่จื้อ “คุณหนู ท่านจะกินเนื้อวัวครึ่งชั่งหมดหรือ?”
“เจ้าโง่หรืออย่างไร หากกินไม่หมดก็ห่อกลับไปให้ หลูเยี่ยนกินสิ ไว้ค่อยคุยกันตอนกลับไป ตอนนี้ฟังข่าวลือก่อนเถิด”
หลิงอวี่จื้อเงี่ยหูฟัง เมื่อเห็นหลิงอวี่จื้อดูสนอกสนใจเรื่องนี้นัก หนานเยี่ยนจึงคิดว่าหากเป็นคุณหนูคนอื่น เมื่อได้ข่าวเช่นนี้เกรงว่าคงไม่กล้าออกไปไหน ทว่าคุณหนูของนางกลับมาดื่มสุราเพื่อฟังผู้คนนินทาตนเอง
“เจ้าได้ยินเรื่องลูกสาวอัครเสนาบดีหรือไม่? หญิงเหลวแหลกอย่างนี้จะมีบุรุษชายตาแลได้อย่างไร”
“นางอายุได้ 17 ปีแล้ว ข้าได้ยินว่ารูปงามไม่น้อย หากแต่กลับทำให้ตระกูลอัครเสนาบดีเสียหน้า”
อีกคนเอ่ยทับถมผู้อื่นอย่างสนุกปาก
“ใช่แล้ว ฉางผิงโหวได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วไม่รู้จะคิดเห็นอย่างไร ซื่อจื่อจูมีความสามารถเพียงนี้ กลับถูกสวมหมวกเขียวเสียได้ ต่อไปเขาคงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก การแต่งงานคงถูกล้มเลิก”
“ชื่อเสียงป่นปี้เช่นนี้ ใครจะกล้ามาสู่ขอคุณหนูใหญ่ผู้นี้อีก นางไม่มีทางได้แต่งงานแน่ หญิงหน้าไม่อายพรรค์นี้ควรจับเข้าบวชที่สำนักนางชี”
“หากเข้าบวชที่สำนักนางชีแล้วไปยุ่งเกี่ยวกับพระเข้าล่ะ?”
หนานเยี่ยนโกรธมาก หากแต่หลิงอวี่จื้อกลับเผยสีหน้านิ่งเฉย คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางสะทกสะท้านแต่อย่างใด ข่าวฉาวนับเป็นสิ่งปกติสำหรับวงการบันเทิง จึงเคยพบเจอกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว นางพลันลุกขึ้น หนานเยี่ยนตามไปห้าม หลิงอวี่จื้อเอาไว้ จะก่อเรื่องที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด
หลิงอวี่จื้อเดินมายังโต๊ะที่พูดคุยกันเมื่อครู่ ก่อนเอ่ย “ซงไท่*ทั้งหลายกล่าวผิดแล้ว จะมีพระอยู่ในสำนักนางชีได้อย่างไร หรือซ่งไท่จะไปบวชเป็นพระที่นั่น?”
*ซงไท่ คำเรียกผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกัน
“เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าเป็นลุงของเจ้ากระมัง”
พวกเขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนได้สติ หนึ่งในพวกเขาตบโต๊ะอย่างแรง “ไอ้เด็กบ้านี่มาจากไหนกัน กล้าพูดกับเราแบบนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”
“เป็นเจ้าต่างหากที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ข้าเป็นคนของ ฉางผิงโหว ไม่คู่ควรเป็นลุงของเจ้าหรืออย่างไร?”
พวกเขาสบตากัน ฉางผิงโหวมีคนแบบนี้เป็นบริวารตั้งแต่เมื่อไร ในขณะที่พวกเขานึกสงสัย หลิงอวี่จื้อก็โบกมือไปทางจูจิ่นที่ก้าวเข้ามา “อาจิ่น คนพวกนี้นินทาท่านลับหลัง เหตุใดจึงไม่สั่งสอนพวกเขาสักหน่อยเล่า?”
เมื่อได้ยินเสียงของหลิงอวี่จื้อ จูจิ่นก็เดินเข้ามาทันที เขารีบสาวเท้ามาหา ทำให้เห็นว่าคุณชายน้อยตรงหน้ารู้จักกับจูจิ่นจริง ๆ พวกเขาตะโกนเว้าวอนอย่างสำนึกผิด “ข้าน้อยพูดเหลวไหลไปแล้ว ขอใต้เท้าอย่าได้ถือโทษข้าน้อย”
“ข้าไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้า เจ้าลอบใส่ความซื่อจื่อ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หลิงอวี่จื้อเอียงคอมองพวกเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า จูจิ่นนิ่งเงียบ ปล่อยให้หลิงอวี่จื้อใช้วิธีสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ**
**สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ คนที่ใช้อำนาจของผู้อื่น หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่มากดขี่ข่มเหง หรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
“ท่าน เราดื่มจนเมาแล้วจึงพูดจาไร้สาระ ท่านจะว่าอย่างไร?”
“ข้าว่าเจ้าเป็นคนหาเรื่องต่อว่าก่อน ดังนั้นเอามาคนละสองร้อยตำลึงเงิน แล้วจะถือว่าเรื่องนี้สิ้นสุด ไม่อย่างนั้น...” หลิงอวี่จื้อส่งเสียงข่มขู่
นางมองเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราของคนเหล่านี้ และรู้ว่าพวกเขาคงเป็นบุตรชายตระกูลชนชั้นสูง หากมากเกินไปนางคงไม่รีดไถจากพวกเขา พวกเขามีกันอยู่หกคน คนละสองร้อยตำลึงเงิน รวมแล้วมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน ออกมาข้างนอกครั้งนี้นับว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว